ศพ – ตอนที่ 144 ตำบลหม่าหวาง

ตอนที่ 144 ตำบลหม่าหวาง

แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องราวสั้นๆ แต่ก็ไม่ได้เสียเวลามากนัก

และสิ่งที่ไม่คาดคิดยิ่งไปกว่านั้นคือ หลังจากวันนี้ ปมทั้งหมดจะถูกคลายออก

ในอนาคต พี่คนขับรถคนนี้จะเป็นคนที่ช่วยชีวิตของพวกเราทั้งสามคน……

 

กลับเข้าสู่เนื้อเรื่อง

หลังจากรถเคลื่อนตัวอีกครั้ง ผมก็เก็บดาบเข้าไปในฝัก สำรวจด้านนอกผ่านกระจกรถ

แถวนี้รกร้างมากจริงๆ มีสถานที่บางแห่งถูกทุบไปแล้ว และดูเก่ามากๆ และไม่มีใครดูแล

คนขับรถเป็นคนพูดเก่งมาก เมื่อรู้ว่าพวกเราทำอาชีพอะไร เขาก็ชวนพวกเราคุยไม่หยุด

 

ประมาณว่าตอนนี้มีคนใช้คาถาอาคมได้น้อยลงเรื่อยๆ แถมคนที่มาประกาศว่าตัวเองมีวิชาอาคม ก็เป็นพวกหลอกลวงซะส่วนใหญ่

ยังถามว่าพวกเรามาจากสำนักไหน เป็นลูกศิษย์ที่ลงมาจากเขาเหมาซานรึเปล่า

ผมไม่ได้สนใจมาก เพียงตอบกลับ “ อืออืออาอา ” ก็เท่านั้น

ที่นี่อยู่ห่างจากตำบลหม่าหวางไม่ไกล หลังจากนั่งรถมาประมาณ 10 นาที คนขับรถก็พูดกับพวกเราว่า

“ ใกล้จะถึงแล้ว เลยผ่านโค้งข้างหน้าไป ก็จะถึงตำบลหม่าหวางแล้ว ! ”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ พวกเราสามคนก็แสดงสีหน้าเคร่งเครียด

นั่งตัวตรง ยืดคอตั้งตรงทันที

 

พวกเรามองโค้งที่อยู่ด้านหน้า ภายใต้แสงจันทร์ พวกเราเห็นบ้านเรือนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลจริงๆ

ถึงจะมองเห็นไม่ค่อยชัด แต่ก็เดาว่านั่นน่าจะเป็นตำบลหม่าหวาง

ทันใดนั้น ผมก็กำหมัดและแอบพูดในใจ เสี่ยวม่าน รอฉันก่อนนะ !

คนขับรถเริ่มเพิ่มความเร็วมากกว่าเดิม แต่ไม่รอให้ได้เข้าตำบล รถกลับหยุดลงดื้อๆ

“ สมควรตาย ไปข้างหน้าต่อไม่ได้แล้ว ! ”

จู่ๆก็ได้ยินคนขับรถพูดแบบนั้น พวกเราจึงมองไปข้างหน้าทันที

ทันใดนั้นพวกเราก็พบว่าถนนด้านหน้ามีหินปิดกลั้นทางเอาไว้จำนวนมาก รถยนต์ไม่สามารถขับผ่านไปได้

 

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ในเมื่อมาถึงเขตของตำบลหม่าหวางแล้ว พวกเราสามารถเดินเข้าไปได้

“ ไม่เป็นไรครับ พวกเราเดินเข้าไปก็ได้ ! ”

ขณะที่พูด ผมก็เหลือบมองดูราคาที่ต้องจ่าย ทั้งหมด 300 หยวน

มาไกลขนาดนี้ ราคา 300 หยวนถือเป็นเรื่องปกติ

ผมเคยบอกว่าจะให้ 5 เท่า ก็เท่ากับ 1,500 หยวน

ผมมองเงินที่พกมา พบว่ามันไม่พอ จึงเอ๋ยปากขอยืมเฟิงเฉ่วหาน

แต่คนขับรถกลับพูดกับผมว่า “ น้องชาย ครั้งนี้พี่ชายรับแค่ 300 หยวน หวังว่าพวกนายจะปลอดภัยกลับมานะ ! ”

 

ขณะที่พูด คนขับก็หยิบเงินไปแค่ 300 หยวน ส่วนที่เหลือเขาไม่มีที่ท่าว่าจะเอาไปเลย

นี่ทำให้ผมลำบากใจ แต่ช่วยคนสำคัญกว่า ผมจึงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้

“ ขอบคุณพี่คนขับมากครับ ! ” หลังจากพูดจบ ผมก็ถือสัมภาระเปิดประตูและลงจากรถทันที

หยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานเองก็รีบลงจากรถ หลังจากนั้นคนขับก็โบกมือให้กับพวกเรา “ พวกนายระวังๆกันด้วยนะ ! ”

พวกเราหันกลับมามองคนขับรถ จากนั้นก็โบกมือให้เขา

คนขับรถเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อ จึงกลับรถ และขับออกไปจากที่นี่ทันที ……

 

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้หยุดพักอยู่กับที่ “ พวกเราก็ไปกันเถอะ ! ”

ขณะที่พูด ผมก็เดินไปตามถนน ข้ามผ่านกองหินที่ถล่มลงมา

ในเวลานี้จู่ๆหยางเฉ่วก็ถามว่า “ ติงฝาน เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ”

ตอนอยู่บนรถและตอนคุยโทรศัพท์ ผมไม่ได้อธิบายให้ชัดเจน ดังนั้นหยางเฉ่วจึงถามถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ผมก็ไม่ปิดบัง

พูดออกมาตรงๆว่า “ เพื่อนสมัยเด็กของฉันส่งข้อความเสียงมาขอความช่วยเหลือ บอกว่าเจอผี และถูกขังอยู่ที่ตำบลหม่าหวาง ”

 

“ ตอนนี้ยังติดต่อกับเขาได้ไหม ” หยางเฉ่วถาม

ผมส่ายหัว “ ไม่ได้ ดังนั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ เผื่อเกิดเรื่องร้ายขึ้น ! ”

หลังจากพูดจบ ผมยังเปิดข้อความเสียงที่เสี่ยวม่านส่งมาให้หยางเฉ่วฟัง

เมื่อเข้ามาใกล้ถึงตำบลหม่าหวาง ในใจของผมก็ยิ่งกระวนกระวาย

แต่เพื่อรีบไปช่วยเสี่ยวม่าน จึงเร่งฝีเท้าขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ผมเดินตรงไปตามถนนเรื่อยๆ

ตำบลหม่าหวางมีขนาดไม่ใหญ่ เทียบกับขนาดตำบลชิงฉือของพวกเราไม่ติด มันมีขนาดที่เล็กกว่ามาก

ผมคิดว่าใช้คำว่าหมู่บ้านขนาดใหญ่มาอธิบายสถานที่แห่งนี้ น่าจะเหมาะสมที่สุด

 

แต่พวกเราไม่ได้ประมาท เพราะตอนที่พวกเรามาถึงปากทางเข้าตำบลหม่าหวาง ก็พบว่าที่ตำบลหม่าหวางแห่งนี้มีปัญหาอยู่จริงๆ

สถานที่แหล่งนี้มีพลังหยินรุนแรง อากาศหนาวเย็น และถนนที่ปรากฎสู่สายตารกร้างว่างเปล่า

“ พลังหยินของที่นี่แรงมาก ! ” เฟิงเฉ่วหานอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

ผมและหยางเฉ่วพยักหน้า ในเวลาเดียวกันก็ได้ยินผมพูดว่า “ ที่นี่อันตราย ทุกคนเปิดตากันก่อนเถอะ ! ”

หลังจากพูดจบ ผมก็หยิบขวดน้ำตาวัวออกมาป้ายตา

หยางเฉ่วรีบใช้ยันต์เปิดตาอย่างรวดเร็ว ขณะที่ความเย็นเกิดขึ้น ภาพถนนที่ดำมืดก็เริ่มชัดเจนขึ้นกว่าเดิม

 

ผมเห็นเพียงถนนถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่รกๆ เต็มไปด้วยพุ่มไม้และก่อหญ้า

บ้านที่อยู่รอบๆก็ทรุดโทรมมาก นอกจากจะมีเถาวัลย์ขึ้นเต็มไปหมด บางที่ก็ถูกทุบไปแล้ว ในอากาศยังมีกลิ่นเหม็นอับลอยอบอวลไปหมด

พวกเราสามคนมองไปรอบๆ ทันใดนั้นก็ได้ยินหยางเฉ่วพูดกับผมว่า “ ติงฝาน ต่อไปพวกเราจะหาเพื่อนนายยังไง ”

ผมขมวดคิ้ว ผมก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไงเหมือนกัน

แต่จะยืนโง่ๆอยู่แบบนี้ไม่ได้ จึงตอบหยางเฉ่วว่า “ ตำบลนี้เล็กมาก พวกเราก็เดินไปตามถนน

ที่ไหนมีพลังหยินแรงที่สุด พวกเราก็เข้าไปดู ! จะต้องเจอเธอแน่ ”

 

ตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ดังนั้นหยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานจึงพยักหน้าเห็นด้วย

หลังจากนั้น พวกเราสามคนก็ดึงดาบออกมา เดินตามถนนตรงไปข้างหน้าทีละนิด

ยิ่งเดินเข้าไป พลังหยินก็ยิ่งแรง ระหว่างนั้น พลังชั่วร้ายที่แอบซ่อนอยู่ก็เริ่มปรากฎออกมา

ความรู้สึกกดดันคนแบบนั้น ไม่รู้ว่าเข้ามาปกคลุมพวกเราตั้งแต่เมื่อไหร่

ไม่ใช่แค่นั้น เดินเข้ามาไม่นาน จู่ๆพวกเราก็ได้ยินเสียงจากพุ่มหญ้าที่อยู่ไม่ไกล มันกำลังมีเสียงแปลกๆดังขึ้น

ผมขมวดคิ้ว ส่งสัญญาณให้ทุกคนระวังตัว

ในเวลาเดียวกันก็จับดาบในมือให้แน่น เดินเข้าไปที่ต้นเสียง จากนั้นก็ค่อยๆใช้ดาบแหวกหญ้าออก

 

ทันใดนั้น ก็เป็นใครบางคนปรากฎตัวขึ้น

คนๆนั้นกำลังสะพายกระเป๋า หันหลังให้กับพวกเรา นั่งยองๆอยู่กับพื้น ตอนนี้ดูเหมือนกำลังกินอะไรบางอย่างอยู่

เสียงแปลกๆนั้น ก็ถูกส่งออกมาจากปากของเขา

เฟิงเฉ่วหานและหยางเฉ่วเห็นคน และเขาก็มีเงา ร่างกายยังไม่บุบสลาย เป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่ง

แต่ผู้ชายคนนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เสี่ยวม่าน

แต่เมื่อมองกระเป๋าและเสื้อผ้าที่ดูใหม่เอี่ยม เหมือนกับนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็คที่เข้ามาที่นี่ได้ไม่นาน ก็น่าจะเป็นเพื่อนที่เข้ามาที่นี่พร้อมกับเสี่ยวม่านแน่ๆ

 

และข้อความช่วยเหลือที่เสี่ยวม่านส่งมา ก็ใช้คำว่า “ พวกเรา ” แต่ไม่ใช่ “ ฉัน ”

ดังนั้นผมจึงพูดกับชายคนนั้นว่า “ เพื่อน ดึกขนาดนี้นายมาทำอะไรที่นี่ ”

เสียงพึ่งเงียบลง จู่ๆผู้ชายที่กำลังก้มกินอะไรอยู่นั้นก็หยุดลงดื้อๆ

เมื่อผมเห็นว่าชายตรงหน้าไม่ยอมพูด จึงพูดกับเขาอีกครั้ง “ เพื่อน นายรู้จักจ้าวเสี่ยวม่านไหม ”

แต่เสียงเพิ่งหยุดออกจากปาก ทันใดนั้นผู้ชายที่นั่งยองๆอยู่ก็หัวเราะ “ ฮึฮึฮึ ” ในเวลาเดียวกันยังพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ ฮึฮึฮึ เสี่ยวม่าน จ้าวเสี่ยวม่าน…… ”

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะแปลกๆ ในใจของผมก็อดไม่ได้ที่จะระแวง

 

แต่เมื่อได้ยินเขาพูดชื่อเสี่ยวม่าน ดวงตาของผมก็เบิกกว้าง รีบพยักหน้าให้ทันที “ ใช่ จ้าวเสี่ยวม่าน พวกนายรู้จักกันใช่ไหม ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ”

ผมร้อนรน แต่ผู้ชายคนนั้นกลับค่อยๆลุกขึ้นมา

เสียงหัวเราะที่แปลกประหลาดนั้นอยู่ๆก็หยุดลง เขานิ่งเงียบไป ประมาณ 3 วินาที

ผมเห็นเขาไม่พูดอีก จึงเตรียมจะถามต่อ

แต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆผู้ชายคนนั้นก็หันมา ใบหน้าขาวใส ปรากฎขึ้นตรงหน้าของพวกเรา

แต่เมื่อพวกเราเห็นว่าที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาเบิกกว้าง ท่าทางโมโห และเหมือนต้องการจะระบายออกมา

 

และหน้าซีกซ๊ายของเขา ยังมีผิวหน้าหายไปบางส่วน จนเผยให้เห็นฟันและกระดูก

ส่วนรอบๆคอของเขา ก็มีร่องรอยเหมือนถูกเขี้ยวที่แหลมคมกัด และมีเลือดไหลออกมาจากสองรูนั้น

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือในมือของเขา กำลังถือชิ้นส่วนมือของใครบางคนอยู่

เห็นได้ชัด ว่าสิ่งที่ชายคนนี้กำลังกินอยู่เมื่อกี้ ก็คือชิ้นส่วนมือนี้

เมื่อเห็นสิ่งนี้ พวกเราก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ขนหัวตั้ง ขนลุกแล้วลุกอีก

ในใจมีเสียงดัง “ กึก ” ผมแอบพูดในใจว่าท่าไม่ดีแล้ว

เจ้าเฮงซวยนี่เป็นคนที่ไหนละ มันเป็นศพเดินได้ เป็นซากศพที่ไร้วิญญาณชัดๆ

 

พวกเราสามคนต่างทำหน้าตกใจ อดไม่ได้ที่จะถอยไปข้างหลังหลายก้าว

แต่เจ้าศพนั้น กลับยกชิ้นส่วนมือที่หักขึ้นมา หัวเราะให้กับพวกเรา “ จ้าวเสี่ยวม่าน คืนให้นาย…… ”

หลังจากพูดจบ เขาก็โยนชิ้นส่วนมือที่หักมาตรงหน้าของผม……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset