ตอนที่ 144 ตำบลหม่าหวาง
แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องราวสั้นๆ แต่ก็ไม่ได้เสียเวลามากนัก
และสิ่งที่ไม่คาดคิดยิ่งไปกว่านั้นคือ หลังจากวันนี้ ปมทั้งหมดจะถูกคลายออก
ในอนาคต พี่คนขับรถคนนี้จะเป็นคนที่ช่วยชีวิตของพวกเราทั้งสามคน……
กลับเข้าสู่เนื้อเรื่อง
หลังจากรถเคลื่อนตัวอีกครั้ง ผมก็เก็บดาบเข้าไปในฝัก สำรวจด้านนอกผ่านกระจกรถ
แถวนี้รกร้างมากจริงๆ มีสถานที่บางแห่งถูกทุบไปแล้ว และดูเก่ามากๆ และไม่มีใครดูแล
คนขับรถเป็นคนพูดเก่งมาก เมื่อรู้ว่าพวกเราทำอาชีพอะไร เขาก็ชวนพวกเราคุยไม่หยุด
ประมาณว่าตอนนี้มีคนใช้คาถาอาคมได้น้อยลงเรื่อยๆ แถมคนที่มาประกาศว่าตัวเองมีวิชาอาคม ก็เป็นพวกหลอกลวงซะส่วนใหญ่
ยังถามว่าพวกเรามาจากสำนักไหน เป็นลูกศิษย์ที่ลงมาจากเขาเหมาซานรึเปล่า
ผมไม่ได้สนใจมาก เพียงตอบกลับ “ อืออืออาอา ” ก็เท่านั้น
ที่นี่อยู่ห่างจากตำบลหม่าหวางไม่ไกล หลังจากนั่งรถมาประมาณ 10 นาที คนขับรถก็พูดกับพวกเราว่า
“ ใกล้จะถึงแล้ว เลยผ่านโค้งข้างหน้าไป ก็จะถึงตำบลหม่าหวางแล้ว ! ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ พวกเราสามคนก็แสดงสีหน้าเคร่งเครียด
นั่งตัวตรง ยืดคอตั้งตรงทันที
พวกเรามองโค้งที่อยู่ด้านหน้า ภายใต้แสงจันทร์ พวกเราเห็นบ้านเรือนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลจริงๆ
ถึงจะมองเห็นไม่ค่อยชัด แต่ก็เดาว่านั่นน่าจะเป็นตำบลหม่าหวาง
ทันใดนั้น ผมก็กำหมัดและแอบพูดในใจ เสี่ยวม่าน รอฉันก่อนนะ !
คนขับรถเริ่มเพิ่มความเร็วมากกว่าเดิม แต่ไม่รอให้ได้เข้าตำบล รถกลับหยุดลงดื้อๆ
“ สมควรตาย ไปข้างหน้าต่อไม่ได้แล้ว ! ”
จู่ๆก็ได้ยินคนขับรถพูดแบบนั้น พวกเราจึงมองไปข้างหน้าทันที
ทันใดนั้นพวกเราก็พบว่าถนนด้านหน้ามีหินปิดกลั้นทางเอาไว้จำนวนมาก รถยนต์ไม่สามารถขับผ่านไปได้
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ในเมื่อมาถึงเขตของตำบลหม่าหวางแล้ว พวกเราสามารถเดินเข้าไปได้
“ ไม่เป็นไรครับ พวกเราเดินเข้าไปก็ได้ ! ”
ขณะที่พูด ผมก็เหลือบมองดูราคาที่ต้องจ่าย ทั้งหมด 300 หยวน
มาไกลขนาดนี้ ราคา 300 หยวนถือเป็นเรื่องปกติ
ผมเคยบอกว่าจะให้ 5 เท่า ก็เท่ากับ 1,500 หยวน
ผมมองเงินที่พกมา พบว่ามันไม่พอ จึงเอ๋ยปากขอยืมเฟิงเฉ่วหาน
แต่คนขับรถกลับพูดกับผมว่า “ น้องชาย ครั้งนี้พี่ชายรับแค่ 300 หยวน หวังว่าพวกนายจะปลอดภัยกลับมานะ ! ”
ขณะที่พูด คนขับก็หยิบเงินไปแค่ 300 หยวน ส่วนที่เหลือเขาไม่มีที่ท่าว่าจะเอาไปเลย
นี่ทำให้ผมลำบากใจ แต่ช่วยคนสำคัญกว่า ผมจึงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้
“ ขอบคุณพี่คนขับมากครับ ! ” หลังจากพูดจบ ผมก็ถือสัมภาระเปิดประตูและลงจากรถทันที
หยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานเองก็รีบลงจากรถ หลังจากนั้นคนขับก็โบกมือให้กับพวกเรา “ พวกนายระวังๆกันด้วยนะ ! ”
พวกเราหันกลับมามองคนขับรถ จากนั้นก็โบกมือให้เขา
คนขับรถเองก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อ จึงกลับรถ และขับออกไปจากที่นี่ทันที ……
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้หยุดพักอยู่กับที่ “ พวกเราก็ไปกันเถอะ ! ”
ขณะที่พูด ผมก็เดินไปตามถนน ข้ามผ่านกองหินที่ถล่มลงมา
ในเวลานี้จู่ๆหยางเฉ่วก็ถามว่า “ ติงฝาน เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ”
ตอนอยู่บนรถและตอนคุยโทรศัพท์ ผมไม่ได้อธิบายให้ชัดเจน ดังนั้นหยางเฉ่วจึงถามถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ผมก็ไม่ปิดบัง
พูดออกมาตรงๆว่า “ เพื่อนสมัยเด็กของฉันส่งข้อความเสียงมาขอความช่วยเหลือ บอกว่าเจอผี และถูกขังอยู่ที่ตำบลหม่าหวาง ”
“ ตอนนี้ยังติดต่อกับเขาได้ไหม ” หยางเฉ่วถาม
ผมส่ายหัว “ ไม่ได้ ดังนั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ เผื่อเกิดเรื่องร้ายขึ้น ! ”
หลังจากพูดจบ ผมยังเปิดข้อความเสียงที่เสี่ยวม่านส่งมาให้หยางเฉ่วฟัง
เมื่อเข้ามาใกล้ถึงตำบลหม่าหวาง ในใจของผมก็ยิ่งกระวนกระวาย
แต่เพื่อรีบไปช่วยเสี่ยวม่าน จึงเร่งฝีเท้าขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ผมเดินตรงไปตามถนนเรื่อยๆ
ตำบลหม่าหวางมีขนาดไม่ใหญ่ เทียบกับขนาดตำบลชิงฉือของพวกเราไม่ติด มันมีขนาดที่เล็กกว่ามาก
ผมคิดว่าใช้คำว่าหมู่บ้านขนาดใหญ่มาอธิบายสถานที่แห่งนี้ น่าจะเหมาะสมที่สุด
แต่พวกเราไม่ได้ประมาท เพราะตอนที่พวกเรามาถึงปากทางเข้าตำบลหม่าหวาง ก็พบว่าที่ตำบลหม่าหวางแห่งนี้มีปัญหาอยู่จริงๆ
สถานที่แหล่งนี้มีพลังหยินรุนแรง อากาศหนาวเย็น และถนนที่ปรากฎสู่สายตารกร้างว่างเปล่า
“ พลังหยินของที่นี่แรงมาก ! ” เฟิงเฉ่วหานอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
ผมและหยางเฉ่วพยักหน้า ในเวลาเดียวกันก็ได้ยินผมพูดว่า “ ที่นี่อันตราย ทุกคนเปิดตากันก่อนเถอะ ! ”
หลังจากพูดจบ ผมก็หยิบขวดน้ำตาวัวออกมาป้ายตา
หยางเฉ่วรีบใช้ยันต์เปิดตาอย่างรวดเร็ว ขณะที่ความเย็นเกิดขึ้น ภาพถนนที่ดำมืดก็เริ่มชัดเจนขึ้นกว่าเดิม
ผมเห็นเพียงถนนถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่รกๆ เต็มไปด้วยพุ่มไม้และก่อหญ้า
บ้านที่อยู่รอบๆก็ทรุดโทรมมาก นอกจากจะมีเถาวัลย์ขึ้นเต็มไปหมด บางที่ก็ถูกทุบไปแล้ว ในอากาศยังมีกลิ่นเหม็นอับลอยอบอวลไปหมด
พวกเราสามคนมองไปรอบๆ ทันใดนั้นก็ได้ยินหยางเฉ่วพูดกับผมว่า “ ติงฝาน ต่อไปพวกเราจะหาเพื่อนนายยังไง ”
ผมขมวดคิ้ว ผมก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไงเหมือนกัน
แต่จะยืนโง่ๆอยู่แบบนี้ไม่ได้ จึงตอบหยางเฉ่วว่า “ ตำบลนี้เล็กมาก พวกเราก็เดินไปตามถนน
ที่ไหนมีพลังหยินแรงที่สุด พวกเราก็เข้าไปดู ! จะต้องเจอเธอแน่ ”
ตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ดังนั้นหยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานจึงพยักหน้าเห็นด้วย
หลังจากนั้น พวกเราสามคนก็ดึงดาบออกมา เดินตามถนนตรงไปข้างหน้าทีละนิด
ยิ่งเดินเข้าไป พลังหยินก็ยิ่งแรง ระหว่างนั้น พลังชั่วร้ายที่แอบซ่อนอยู่ก็เริ่มปรากฎออกมา
ความรู้สึกกดดันคนแบบนั้น ไม่รู้ว่าเข้ามาปกคลุมพวกเราตั้งแต่เมื่อไหร่
ไม่ใช่แค่นั้น เดินเข้ามาไม่นาน จู่ๆพวกเราก็ได้ยินเสียงจากพุ่มหญ้าที่อยู่ไม่ไกล มันกำลังมีเสียงแปลกๆดังขึ้น
ผมขมวดคิ้ว ส่งสัญญาณให้ทุกคนระวังตัว
ในเวลาเดียวกันก็จับดาบในมือให้แน่น เดินเข้าไปที่ต้นเสียง จากนั้นก็ค่อยๆใช้ดาบแหวกหญ้าออก
ทันใดนั้น ก็เป็นใครบางคนปรากฎตัวขึ้น
คนๆนั้นกำลังสะพายกระเป๋า หันหลังให้กับพวกเรา นั่งยองๆอยู่กับพื้น ตอนนี้ดูเหมือนกำลังกินอะไรบางอย่างอยู่
เสียงแปลกๆนั้น ก็ถูกส่งออกมาจากปากของเขา
เฟิงเฉ่วหานและหยางเฉ่วเห็นคน และเขาก็มีเงา ร่างกายยังไม่บุบสลาย เป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่ง
แต่ผู้ชายคนนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เสี่ยวม่าน
แต่เมื่อมองกระเป๋าและเสื้อผ้าที่ดูใหม่เอี่ยม เหมือนกับนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็คที่เข้ามาที่นี่ได้ไม่นาน ก็น่าจะเป็นเพื่อนที่เข้ามาที่นี่พร้อมกับเสี่ยวม่านแน่ๆ
และข้อความช่วยเหลือที่เสี่ยวม่านส่งมา ก็ใช้คำว่า “ พวกเรา ” แต่ไม่ใช่ “ ฉัน ”
ดังนั้นผมจึงพูดกับชายคนนั้นว่า “ เพื่อน ดึกขนาดนี้นายมาทำอะไรที่นี่ ”
เสียงพึ่งเงียบลง จู่ๆผู้ชายที่กำลังก้มกินอะไรอยู่นั้นก็หยุดลงดื้อๆ
เมื่อผมเห็นว่าชายตรงหน้าไม่ยอมพูด จึงพูดกับเขาอีกครั้ง “ เพื่อน นายรู้จักจ้าวเสี่ยวม่านไหม ”
แต่เสียงเพิ่งหยุดออกจากปาก ทันใดนั้นผู้ชายที่นั่งยองๆอยู่ก็หัวเราะ “ ฮึฮึฮึ ” ในเวลาเดียวกันยังพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ ฮึฮึฮึ เสี่ยวม่าน จ้าวเสี่ยวม่าน…… ”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะแปลกๆ ในใจของผมก็อดไม่ได้ที่จะระแวง
แต่เมื่อได้ยินเขาพูดชื่อเสี่ยวม่าน ดวงตาของผมก็เบิกกว้าง รีบพยักหน้าให้ทันที “ ใช่ จ้าวเสี่ยวม่าน พวกนายรู้จักกันใช่ไหม ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ”
ผมร้อนรน แต่ผู้ชายคนนั้นกลับค่อยๆลุกขึ้นมา
เสียงหัวเราะที่แปลกประหลาดนั้นอยู่ๆก็หยุดลง เขานิ่งเงียบไป ประมาณ 3 วินาที
ผมเห็นเขาไม่พูดอีก จึงเตรียมจะถามต่อ
แต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆผู้ชายคนนั้นก็หันมา ใบหน้าขาวใส ปรากฎขึ้นตรงหน้าของพวกเรา
แต่เมื่อพวกเราเห็นว่าที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาเบิกกว้าง ท่าทางโมโห และเหมือนต้องการจะระบายออกมา
และหน้าซีกซ๊ายของเขา ยังมีผิวหน้าหายไปบางส่วน จนเผยให้เห็นฟันและกระดูก
ส่วนรอบๆคอของเขา ก็มีร่องรอยเหมือนถูกเขี้ยวที่แหลมคมกัด และมีเลือดไหลออกมาจากสองรูนั้น
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือในมือของเขา กำลังถือชิ้นส่วนมือของใครบางคนอยู่
เห็นได้ชัด ว่าสิ่งที่ชายคนนี้กำลังกินอยู่เมื่อกี้ ก็คือชิ้นส่วนมือนี้
เมื่อเห็นสิ่งนี้ พวกเราก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ขนหัวตั้ง ขนลุกแล้วลุกอีก
ในใจมีเสียงดัง “ กึก ” ผมแอบพูดในใจว่าท่าไม่ดีแล้ว
เจ้าเฮงซวยนี่เป็นคนที่ไหนละ มันเป็นศพเดินได้ เป็นซากศพที่ไร้วิญญาณชัดๆ
พวกเราสามคนต่างทำหน้าตกใจ อดไม่ได้ที่จะถอยไปข้างหลังหลายก้าว
แต่เจ้าศพนั้น กลับยกชิ้นส่วนมือที่หักขึ้นมา หัวเราะให้กับพวกเรา “ จ้าวเสี่ยวม่าน คืนให้นาย…… ”
หลังจากพูดจบ เขาก็โยนชิ้นส่วนมือที่หักมาตรงหน้าของผม……