ตอนที่ 162 ช่วยชีวิตเรียบร้อย
เทพคุ้มครองบ้าน หรือ “ เทพดิน ” เขาจะคอยคุ้มครองบ้านให้ปลอดภัย
ในทางใต้ของพวกเราจะพบเห็นกันไม่บ่อยนัก แต่ทางตะวันออกเฉียงเหนือมันเป็นสิ่งที่เจอกันจนชินชา
ในปัจจุบัน เขตชนบทบนภูเขาหลายแห่ง หรือแม้แต่ในเขตตำบลเล็กๆ ทุกบ้านก็ต่างมีป้ายวิญญาณของเทพคุ้มครองบ้านเอาไว้กราบไหว้กันทั้งนั้น แม้กระทั่งวัดพวกเขาก็ยังมี
และพวกเทพดิน เทพบ้านเหล่านี้ ก็ไม่ใช่เทพเจ้าที่พวกเราจะรู้จัก แต่เป็นเทพเจ้าสัตว์ในภูเขา หรือปีศาจร้ายนั่นเอง
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เทพคุ้มครองบ้านแบ่งออกเป็นห้าเทพ คือหนู พังพอน จิ้งจอก เม่น และงู สัตว์ห้าตัวที่คนเราเคยเห็นกันตามปกติ
เมื่อก่อนผมเคยได้ยินอาจารย์เล่าว่า เพราะประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่น มนุษย์ชาติใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสัตว์เหล่านี้ พวกเขาจึงค่อยๆพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
ขณะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์ทั้งห้าก็เริ่มพัฒนาและลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ เพราะสัตว์มีจิตวิญญาณ เกิดมาพร้อมกับศีลธรรมอันดี พวกเขาจึงคอยช่วยเหลือชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบๆป่า
เมื่อเวลาผ่านไป คนที่เคยได้รับพรหรือความช่วยเหลือจากเทพเจ้าสัตว์เหล่านี้ ก็ทำเพื่อเป็นการขอบคุณพวกเทพเจ้าสัตว์ พวกเขาจึงตั้งป้ายบูชาเอาไว้ในบ้าน
และยังมีคนที่ทำยิ่งกว่านั้น คือเขาสร้างวัดขึ้นมา เพื่อให้ผู้คนเข้าไปกราบไหว้
เพราะมีคนกราบไหว้ ดังนั้นการบำเพ็ญเพียรของเทพเจ้าสัตว์เหล่านี้จึงราบรื่นยิ่งกว่าเดิม และยังสามารถออกมาสร้างบุญกุศลด้วยตัวเองได้อีกด้วย
เทพเจ้าสัตว์เหล่านี้เริ่มช่วยเหลือมนุษย์อย่างสุดกำลัง ปกป้องความปลอดภัย ขับไล่ความชั่วร้าย เปิดรับสาวก จนเกิดคนปราบสิ่งชั่วร้ายขึ้น
จากนั้นคำว่า “ เทพคุ้มครองบ้าน ” ก็ปรากฎขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์ การกราบไหว้ในบ้านจึงเป็นเรื่องปกติ
เพียงเกิดเรื่องขึ้นกับคนในบ้าน พวกเขาก็แค่ไปหาพวกสาวก หรือขอร้องเทพที่บ้านก็ได้แล้ว
แต่การพัฒนาของสังคม ทำให้ตอนนี้ประเพณีกราบไหว้เทพคุ้มครองบ้านลดน้อยลง
เมื่อหยางเฉ่วและพี่เฟิงได้ยินผมพูดว่า “ เทพคุ้มครองบ้าน ” สามคำนี้ ก็ต่างนิ่งไป พวกเขาหันมามองหน้ากันทันที
หลังจากนั้นผมก็ได้ยินหยางเฉ่วพูดว่า “ ติงฝาน บ้านนายบูชาเทพด้วยเหรอ แล้วเทพที่นายว่านี่ท่านไหนเหรอ ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ในใจผมก็ยิ้มอย่างขมขื่นทันที
บ้านฉันบูชาเทพที่ไหนละ ที่บูชาน่ะผีเมียฉันต่างหาก
แต่ท่าทางของผมกลับแกล้งทำเป็นจริงจังมาก “ ใช่แล้ว บ้านฉันบูชาเทพ แต่เทพของบ้านฉันนิสัยไม่ค่อยดี ขี้โมโห ไม่ชอบให้ใครรู้ว่ามีเธออยู่ ดังนั้นฉันเลยไม่กล้าพูดมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นฉันก็คงไม่ให้พวกนายหลับตา…… ”
หยางเฉ่วและพี่เฟิงต่างทำอาชีพเดียวกัน มันจึงไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร ทุกคนต่างเข้าใจเรื่องนี้ดี
แม้จะไม่ได้บูชาเทพคุ้มครองบ้าน แต่ก็ได้ยินเรื่องเล่าของเทพคุ้มครองบ้านเหล่านี้บ่อยครั้ง
แม้เทพคุ้มครองบ้านจะมีคำว่า “ เทพ ” อยู่ในนั้น แต่พูดตามหลักของทางใต้เรา พวกเขาก็เป็นแค่กลุ่มสัตว์ประหลาดในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น
ในเมื่อพวกเขาเป็นสัตว์ประหลาด แน่นอนว่าจะต้องมีอารมณ์ ความรู้สึก นิสัย และความชอบของตัวเอง นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เมื่อหยางเฉ่วและพี่เฟิงเห็นผมพูดจริงจังขนาดนั้น พวกเขาจึงไม่อยากจะถามต่อ
แม้ว่าเทพคุ้มครองบ้านของทางใต้จะไม่เป็นที่นิยมมาก แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องต้องห้ามอะไร
ทั้งสองคนคิดกันอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าให้ผม และพวกเขาก็ไม่ถามต่ออีกเลย เรื่องนี้จึงจบลงด้วยคำโกหก
ในใจของผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ทันใดนั้นหยางเฉ่วก็พูดกับผมว่า “ พอนายกลับบ้านไปแล้วฉันฝากขอบคุณเทพคุ้มครองบ้านนายด้วยนะ ถ้าไม่ได้เธอช่วยเอาไว้ คืนนี้พวกเราทุกคนคงไม่ได้กลับไปแล้ว ! ”
“ ใช่ ! เจ้าเด็กน้อย เทพบ้านนายทรงพลังมาก ตอนที่จัดการยายแก่เหมือนเธอจะไม่ต้องทำอะไรมากเลยนะ ! ” พี่เฟิงก็พูดเหมือนกัน
ผมไม่อยากจะพูดมาก จึงหัวเราะ “ แฮะแฮะ ” จากนั้นก็พูดเพิ่มอีกนิดหน่อย
หลังจากนั้น ผมก็เปลี่ยนหัวข้อในการสนทนา
แม้ว่าพวกเราจะช่วยเสี่ยวม่านออกมา และจัดการกับผีในตำบลหม่าหวางที่อันตรายได้แล้ว
แต่คนตระกูลจางในตำบลหม่าหวางทั้ง 11 คน กลับมีชีวิตต่อไม่ได้ ทุกคนต่างวิญญาณแตกสลาย
สำหรับเรื่องนี้ ในใจของผมยังคงรู้สึกผิดและตำหนิตัวเอง
พวกเราพยายามสุดความสามารถแล้วจริงๆ และพยายามให้ตระกูลจางมีชีวิตต่อไปให้มากที่สุดแล้ว
แต่สุดท้ายสัญลักษณ์ตาผีบนตัวของพวกเขา ก็ถูกหมอผีควบคุม พวกเขาไม่สามารถหลีกหนีจากชะตาชีวิตที่น่าขันได้
หรือมันอาจเหมือนกับตอนที่ผีตาแก่พูดเอาไว้ก่อนวิญญาณจะแตกสลายว่า บางทีนี่ก็คือ “ ชะตาชีวิต ! ”
ในใจของผมรู้สึกเจ็บปวด แต่ผมก็มั่นใจมาก
ว่าเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่องค์กรตาผีสร้างขึ้น เป็นยายแก่คนนั้นที่ทำมัน
ถ้ายังไม่ได้ฆ่าร่างจริงของยายแก่คนนั้น หรือกำจัดเจ้าองค์กรตาผีที่ชั่วร้ายนี้
ต่อไปก็จะมีคนอย่างเจ้าเชี่ยนเชี่ยน และวิญญาณ 11 ตนที่บริสุทธิ์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายวิญญาณของพวกเขาก็ต้องแตกสลายไป……
ในใจของผมกำลังแอบตัดสินใจ องค์กรตาผี ยายแก่ เรื่องมันไม่จบแค่นี้หรอก สักวันผมจะต้องทำลายพวกมันให้สิ้นซาก
ต่อจากนั้น พวกเราก็พักอยู่ที่นี่อีกแป๊บหนึ่ง ขณะเดียวกันพวกเราก็ทำแผลของตัวเอง ตรวจสอบวิญญาณที่ถูกดึงไปจากร่างของเจ้าแว่นและเจ้าอ้วนพักหนึ่ง ขณะนั้นผมก็กลับมารู้สึกเสียใจอีกครั้ง
พวกเรานำศพของพวกเขาไปไม่ได้ ทำได้แค่รอให้ออกจากที่นี่แล้ว พวกเราถึงจะคิดวิธีบอกคนในครอบครัวของพวกเขาให้มาเก็บศพที่นี่
เมื่อมองดูเวลาอีกครั้ง ผมก็พบว่าตอนนี้ตี 4 แล้ว อีกไม่นาน ฟ้าก็จะสว่างแล้ว
พี่เฟิงเองก็ไม่ได้กลับเข้าไป เขากำลังนั่งบ่น บอกว่าเวลาของตัวเองใกล้มาถึงแล้ว
และยังบอกว่าหลังจากพระอาทิตย์ขึ้น เขาก็จะกลับไปหลับอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกันยังด่าเฟิงเฉ่วหานเป็นเจ้าขยะ ไม่เอาเวลาไปฝึกฝนวิชา ทำให้ร่างกายอ่อนแออะไรประมาณนั้น
และเขาก็ยังเตือนผมอีกครั้ง บอกว่าหลังจากเขากลับไป จะต้องบอกกับเฟิงเฉ่วหานว่า ให้เขาใช้เวลาฝึกฝนบ่อยๆ
แต่จากคำพูดของพี่เฟิงผมก็เข้าใจว่า พลังของพี่เฟิงมีผลเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนของเฟิงเฉ่วหานโดยตรง เพียงแต่พี่เฟิงไม่พูดมาก ผมเองก็ไม่ถามให้มากเรื่อง
เพราะความสัมพันธ์ของพี่เฟิงและเฟิงเฉ่วหานทั้งพิเศษและแปลกประหลาด หนึ่งชีวิตมีวิญญาณสองดวง เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบนโลก
หลังจากพวกเราพักผ่อนกันมาสักพัก พวกเราก็ลุกขึ้นเก็บสัมภาระ และเดินออกมาจากที่นี่ทันที
หลังจากพวกเราเดินออกมาจากตำบลหม่าหวาง ผมก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองมันอีกครั้ง
ตำบลหม่าหวางยังคงมืดมน เหมือนกับตอนที่พวกเรามาถึง เพียงแค่ที่นั้นไม่มีผีร้ายอยู่อีกแล้ว……
ผมถอนหายใจ จากนั้นก็เดินตามทุกคนไปข้างหน้าเรื่อยๆ
แต่เมื่อพวกเรามาถึงถนนที่มีหินถล่มของเส้นทางไปตำบลหม่าหวาง ทันใดนั้นพวกเรากลับเห็นเงาของใครคนหนึ่ง เขากำลังยืนมองพวกเราจากบนแนวก้อนหิน
นี่เป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ทำไมจู่ๆก็มีคนปรากฎตัวได้ นี่จึงทำให้พวกเราอดที่จะหวาดระแวงไม่ได้
แต่ทันใดนั้นเองผมกลับคิดว่าเงาของใครคนนั้นดูคุ้นตา แต่ไม่รอให้ผมได้มองเห็นอย่างชัดเจน
ทันใดนั้นเขาคนนั้นก็ตะโกนมาทางพวกเราว่า “ พวกน้องนักพรต พวกน้องนักพรตเป็นพวกนายรึป่าว พวกนายไม่เป็นอะไรใช่ไหม ! ”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ในใจของพวกเราก็มีเสียงดัง “ กึก ”
นี่มัน นี่มันไม่ใช่คนขับแท็กซี่ที่พาพวกเรามาส่งที่นี่เหรอ !
เขาไม่ได้ออกไปแล้วเหรอ ทำไมยังอยู่ที่นี่ละ
“ พี่ชาย พี่ไม่ได้ออกไปจากที่นี่แล้วเหรอ ” ผมตะโกนด้วยความสงสัย
ผลลัพธ์เสียงเพิ่งจางหาย ทันใดนั้นคนขับแท็กซี่ก็หัวเราะ “ ฮ่าฮ่าฮ่า ” “ เป็นพวกนายจริงๆด้วย ! ดีจริงๆ ดีจริงๆ พวกนายยังมีชีวิตอยู่…… ”
ขณะที่พูด คนขับรถแท็กซี่ก็วิ่งเข้ามา เห็นได้ว่าเขากำลังดีใจมาก
หลังจากที่เขามาถึงตรงหน้าของพวกเรา เขาก็เห็นว่าพวกเราบาดเจ็บ บนร่างกายมีคราบเลือด จึงทำหน้าประหลาดใจทันที
“ น้องชาย พวก พวกนายเป็น ”
ผมยิ้มอย่างขมขื่น “ ไม่เป็นไรครับ เจ้าพวกนั้นเป็นคนทำน่ะครับ ! ”
คนขับรถแท็กซี่ตกใจทันที เขาเผยท่าทางหวาดกลัว “ งั้น งั้นพวกเขา พวกเขา…… ”
“ พวกเขาวิญญาณแตกสลายไปหมดแล้ว…… ” พี่เฟิงกำลังสูบบุหรี่ เขาพูดออกมาหน้าตาเฉย
เมื่อคนขับรถแท็กซี่ได้ยิน เขาก็สูดหายใจเข้าหนึ่งครั้ง พร้อมกับหน้าตาที่ตกตะลึง
หลังจากนั้นไม่นาน คนขับรถแท็กซี่ก็พูดด้วยความประหลาดใจ “ ทั้งสามคนเก่งจริงๆ ! ฉันกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกนาย ดังนั้นหลังจากขับไปได้ครึ่งทาง ฉันก็วนรถขับกลับมาอีกครั้ง ! ”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันมามองหน้าเสี่ยวม่านและวูน่า
แม้จะสงสัยว่าทำไมถึงมีคนเพิ่มมาสองคน แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไร
เพียงหมุนตัวไปข้างหน้า และพูดว่า “ ไปกันเถอะ รถของฉันอยู่ตรงนั้น ตอนนี้ฉันจะพาพวกนายไปส่ง…… ”
เมื่อกี้ผมยังกังวลอยู่ ถ้าเดินกลับไปทั้งๆแบบนี้ จะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ก็ไม่รู้
ตอนนี้มีรถแล้ว เป็นธรรมดาที่ผมจะดีใจขึ้นมา
พวกเราไม่พูดมาก หลังจากข้ามหินที่ถล่มมาได้ ก็เห็นรถแท็กซี่จอดอยู่อีกฝั่ง
พวกเราไม่เกรงใจ เข้าไปนั่งในรถทันที
ตอนมาพวกเรามีกันสามคน แต่ตอนนี้มีห้าคน ดังนั้นตอนกลับจึงค่อนข้างอึดอัดนิดหน่อย
แต่โชคดีที่หยางเฉ่ว เสี่ยวม่าน และวูน่าทั้งสามคนต่างมีรูปร่างดี พวกเราพยายามนั่งเบียดกันที่เบาะหลังสี่คน จนพูดได้ว่าแทบนั่งไม่ลง
หลังจากนั้นคนขับรถก็ไม่ได้คิดจะอยู่นาน เขากลับรถและขับออกไปจากที่นี่ทันที
แต่ตอนนี้คนขับรถดูดีใจมาก เพิ่งขับออกมาไม่นาน เขาก็รอไม่ไหวรีบพูดกับพวกเราทันที “ น้องชาย เร็ว รีบเล่าให้พี่ฟังหน่อย เมื่อคืนพวกนายไปเจออะไรมาบ้าง เจ้าพวกนั้นร้ายกาจมากไหม ”