ตอนที่ 163 เรื่องสืบเนื่องของการเดินทางกลับ
คนขับรถใจร้อนมาก แต่เขาก็เป็นคนดี ไม่อย่างนั้นก็คงไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยของพวกเรา และขับรถกลับมาหาพวกเราที่ตำบลหม่าหวางแน่
แต่นอกจากเรื่องที่เกิดขึ้นในตำบลหม่าหวางแล้ว แน่นอนว่าผมไม่ยอมพูด เรื่องภายในกับใครทั้งสิ้น
และหนึ่งในนั้นก็คือเรื่ององค์กรณ์ตาผี ดังนั้นผมจึงพูดว่า “ ก็ไม่มีอะไรมากครับ มีสิ่งชั่วร้ายที่มีใจเครียดแค้นอยู่ไม่กี่ตัว ไม่จัดว่าร้ายกาจมาก แถมตอนนี้พวกนั้นก็หายไปแล้ว เลยไม่มีอะไรแล้วครับ ! ”
ผมพูดเบาๆ แต่คนขับรถกลับดูตื่นเต้นมาก
เรื่องนี้สดใหม่มาก เขาจึงถามอีกสองสามคำถาม แต่พวกเราล้วนตอบกลับอย่างง่ายๆ เพียงพูดพอหอมปากหอมคอเท่านั้น
ถึงพวกเราจะคุยกันไม่มาก แต่เมื่อคนขับรถได้ยินเขาก็นิ่งอึ้งในทันที เขายังรู้สึกว่ามันน่ากลัวมาก แถมยังชมพวกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเก่งมากๆ
ในเวลาเดียวกันยังขอช่องทางการติดต่อจากผม บอกว่าถ้าวันหน้าเจอเรื่องพวกนี้เข้า เขาจะได้ติดต่อพวกเราง่ายๆ
ผมเองก็ไม่ลังเล หยิบนามบัตรให้กับคนขับรถแท็กซี่ทันที
เมื่อคนขับรถเห็นชื่อธุรกิจบนนามบัตรของผม ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย เห็นได้ชัดว่าเขากำลังดีใจมาก
เขายังบอกว่าบ้านเกิดของเขาตั้งอยู่บนแผนการทำทางหลวงเส้นใหม่ และกำลังต้องการย้ายสุสานของบรรพบุรุษพอดี
ถ้าเรื่องนี้ถูกประกาศออกมาเมื่อไหร่ เขาก็จะเชิญพวกเราไปย้ายสุสานให้ตระกูล
ผมกลับไม่ได้สนใจมากนัก เพียงส่งยิ้มให้เขา ตอบตกลง และบอกว่าเมื่อถึงเวลานั้นก็ให้เขาโทรหาผมอีกที……
เพราะสู้รบมาตลอดทั้งคืน ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นจิตใจหรือร่างกายของทุกคน มันก็ต่างอ่อนล้ามากแล้ว
หลังจากคุยกันบนรถได้ไม่นาน ทุกคนก็เริ่มนอนหลับไปทีละคนๆ
เมื่อพวกเราลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองอยู่ในเขตตัวเมือง หน้ามหาวิทยาลัยชิงชานแล้ว
หยางเฉ่วลูบตา เมื่อเห็นว่ามาถึงหน้าประตูมหาลัยแล้ว เธอก็ยืดเส้นยืดสาย เผยให้เห็นรูปร่างที่งดงามทันที
ในรถแท็กซี่ผมจ้องเธออย่างไม่ละสายตา แต่หยางเฉ่วก็ไม่ได้สนใจ
หลังยืดตัวเสร็จ เธอก็หาวให้พวกเราและพูดว่า “ อ่า ! ฉันถึงแล้ว พวกนายระวังตัวด้วยละ ! ถึงบ้านแล้วก็ทักมาบอกฉันด้วยนะ ”
หลังจากพูดจบ หยางเฉ่วก็เปิดประตูรถ และเดินลงไปทันที
จากนั้นเธอก็ไม่หันมา พูดแซวอะไรผมอีก เธอเดินตรงเข้าไปในมหาวิทยาลัย ด้วยท่าทางที่สบายมากๆ
พวกเราค่อนข้างชินแล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรไร้สาระ
ผมเพียงมองดูหยางเฉ่วผ่านกระจกรถ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่ารูปร่างของหยางเฉ่วดูดีแค่ไหน แม้แต่ด้านหลังของเธอก็ยังดูดีมีราคาเลย
เมื่อเสี่ยวม่านที่อยู่ข้างๆเห็นผมยังจ้องอยู่ เธอก็อดกลอกตาใส่ผมไม่ได้ “ ยังมองอยู่อีก เขาไปแล้วย่ะ ! ”
เมื่อได้ยินเสี่ยวม่านพูด ผมถึงได้รู้สึกตัวอีกครั้ง แต่ผมกลับไม่ได้สนใจคำพูดของเธอ เพียงบอกให้คนขับออกรถเท่านั้น
ผลลัพธ์ผมกลับไม่รู้ว่าเสี่ยวม่านกินอะไรผิดมา ในเวลานี้เธอหลี่ตามองผม จากนั้นก็ด่าออกมาทันที
“ ไอ้ลามก ”
“ ลามกงั้นเหรอ ” ผมทำหน้างงทันที
“ นายไม่ใช่คนลามกงั้นเหรอ จ้องก้นของเธอซะขนาดนั้น…… ” เสี่ยวม่านเถียงกลับมาทันที
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็แทบกระอักเลือดออกมา ผมมองหยางเฉ่วแค่แป๊บเดียว นี่ก็เรียกว่าจ้องก้นเธอแล้วเหรอ
ต้องด่าฉันแบบนั้นเลยเหรอ ! ผลลัพธ์วูน่าและคนขับรถแท็กซี่ ก็ต่างอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ผมกลอกตาทันที ขี้เกียจจะอธิบาย เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง
ผ่านไปไม่นาน ผมก็เห็นป้ายรถเมล์อยู่ข้างหน้า ผมและเฟิงเฉ่วหานจึงเตรียมตัวลงรถ
ดังนั้นผมจึงพูดกับเสี่ยวม่านและวูน่าว่า “ เสี่ยวม่าน วูน่า พวกฉันจะลงรถข้างหน้านะ ตอนนี้ฉันมียันต์อยู่สองแผ่น พวกเธอเอากลับไปชุบเลือดไก่ที่บ้านนิดหน่อย จากนั้นก็แปะเอาไว้ที่หัวเตียง หลังจากนั้นสามเดือนก็ฉีกออกได้แล้ว ! ”
หลังจากพูดจบ ผมก็ยื่นยันต์ให้กับทั้งสองคน
เสี่ยวม่านยังงอนผมอยู่ แต่หลังจากที่สองคนผ่านประสบการณ์เมื่อคืนมา พวกเธอจึงกลัวเรื่องพวกนั้นมาก และกลัวว่าตัวเองจะต้องเจอกับสิ่งชั่วร้ายอีก
ดังนั้นเสี่ยวม่านจึงนำยันต์ที่ผมยื่นให้เก็บเอาไว้อย่างดี แต่เธอก็ยังไม่พูดกับผมเหมือนเดิม
แต่วูน่ากลับพูดว่า “ ขอบคุณมากค่ะ ” เมื่อพวกเรามาถึงป้ายรถเมล์ ผมก็สะกิดเฟิงเฉ่วหานที่กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ให้ตื่นขึ้นมา
เพราะฟ้าสว่างแล้ว การปรากฎตัวของพี่เฟิงจึงมาถึงขีดสุด ดังนั้นคนที่ตื่นขึ้นมาก็คือเฟิงเฉ่วหาน
เฟิงเฉ่วหานมึนนิดหน่อย “ ที่ ที่นี่ที่ไหน ”
ในเวลานี้ผมยังไม่มีเวลาอธิบายให้เขาฟัง จึงพูดว่า “ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง ตอนนี้ลงจากรถก่อน ! ”
ขณะที่พูด ผมก็เปิดประตูรถ และออกมาจากรถกับเฟิงเฉ่วหาน
จากนั้นก็ได้ยินเสียงผมพูดกับคนขับแท็กซี่ว่า “ พี่คนขับ รบกวนไปส่งพวกเธอที่หน้าประตูหมู่บ้านด้วยนะครับ ! ”
แม้คนขับรถจะตาแดงแล้ว แต่เขายังมีสติอยู่ “ ได้เลย ! ไปก่อนนะน้องชาย…… ”
หลังจากพูดจบ คนขับรถก็เหยียบคันเร่ง ขับรถออกไปทันที
เสี่ยวม่านกวาดสายตาของผมหนึ่งครั้ง ส่วนวูน่าก็โบกมือให้ จากนั้นภาพของพวกเธอก็หายไปจากสายตาของพวกเรา
เฟิงเฉ่วหานมองรถแท็กซี่ที่เคลื่อนตัวออกไป พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่สงสัย “ เหล่าติง เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น เหมือนร่างกาย ร่างกายของฉันจะบาดเจ็บหนักเลย ”
ผมหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด จากนั้นก็เล่าเรื่องหลังจากที่พี่เฟิงปรากฎตัว ให้เหล่าเฟิงฟังทั้งหมด
เมื่อเหล่าเฟิงฟังจบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้า “ เป็นองค์กรตาผีนั้นอีกแล้ว ถึงว่าแม้แต่พี่ของฉันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ ไม่รู้จริงๆว่าในองค์กรนั้นมีคนร้ายกาจอยู่มากขนาดไหน ! ”
ผมขมวดคิ้วและพยักหน้า “ ใช่ แต่ไม่ช้าก็เร็วยังไงพวกเราก็จะกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก ! ”
ผมพูดเบาๆ ในเวลาเดียวกันก็เดินไปทางป้ายรถเมล์กับเฟิงเฉ่วหาน……
หลังจากขึ้นรถ ผมสองคนก็พูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นครั้งคราว
นอกจากเรื่องมู่หลงเหยียนที่ผมพูดถึงไม่ได้แล้ว เรื่องอื่นๆผมก็เล่าให้เฟิงเฉ่วหานฟังทั้งหมด
ขณะที่เฟิงเฉ่วหานฟังเขาก็ตื่นตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์ของเมื่อคืนจะอันตรายถึงขนาดนี้ แถมยายแก่คนนั้นยังพลังสูงถึงขนาดนั้น เขาจึงสามารถจินตนาการถึงอันตรายที่เกิดขึ้นได้ทันที
แต่สิ่งที่พวกเราสองคนมั่นใจคือ หลังจากเรื่องนี้ ยายแก่คนนั้นจะต้องเกลียดพวกเราเข้ากระดูกดำแน่ๆ
และพวกเรายังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับองค์กรตาผีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นในอนาคตพวกเราจะต้องตกเป็นเป้าหมายของคนพวกนี้ หรือแม้แต่ถูกล้างแค้นอย่างแน่นอน
และยังมีจางจึเทาที่รู้ข้อมูลของผมอย่างละเอียด ถ้าพวกเขาติดต่อกัน สืบหาตัวตนของพวกเรา ถึงเวลานั้นพวกเราจะต้องตกเป็นที่เสียเปรียบ และพบเจอกับอันตรายที่คาดไม่ถึงแน่
ดังนั้น ผมและเฟิงเฉ่วหานจึงแอบตัดสินใจด้วยตัวเอง ว่าหลังจากกลับไปพวกเราจะต้องฝึกหนักขึ้น ต้องพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นกว่านี้
ต้องทำแบบนี้เท่านั้น ถึงจะสามารถรับมือกับ อันตรายครั้งต่อไปได้
เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ๆผมก็นึกถึงคำพูดที่พี่เฟิงพูดเอาไว้เมื่อคืน
พี่เฟิงบอกว่า พลังของเขากับความแข็งแกร่งของเหล่าเฟิงเกี่ยวข้องกัน ยังบอกให้ผมเตือนสติเหล่าเฟิงว่า ต้องฝึกฝนวิชาจะมานั่งผ่อนคลายอยู่ไม่ได้
ดังนั้นในเวลานี้ผมจึงถามเขาเพิ่ม “ เหล่าเฟิง พลังของนายกับพี่เฟิง เกิดขึ้นได้ยังไง เมื่อคืนพี่เฟิงบอกว่า พลังของเขา ขึ้นอยู่กับนายซะส่วนใหญ่ ! ”
เมื่อเฟิงเฉ่วหานได้ยินผมถาม เขากลับไม่ได้แสดงอารมณ์ออกมาเท่าไหร่
เพียงลังเลเล็กน้อย เหมือนกำลังคิดว่าจะบอกผมดีไหม
ผมเองก็ไม่ได้กดดัน เพียงมองเขาเงียบๆเท่านั้น
ผ่านไปไม่นาน เฟิงเฉ่วหานก็ถอนหายใจ เขาพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เล่าเรื่องระหว่างเขาและพี่เฟิงให้ผมฟังเป็นครั้งแรก
ตอนนี้ผมได้ยินเขาพูดเบาๆว่า “ ใช่แล้ว ถึงฉันกับเขาจะอยู่ในร่างเดียวกัน แต่ผู้นำกลับเป็นฉัน…… ”