ศพ – ตอนที่ 163 เรื่องสืบเนื่องของการเดินทางกลับ

ตอนที่ 163 เรื่องสืบเนื่องของการเดินทางกลับ

คนขับรถใจร้อนมาก แต่เขาก็เป็นคนดี ไม่อย่างนั้นก็คงไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยของพวกเรา และขับรถกลับมาหาพวกเราที่ตำบลหม่าหวางแน่

แต่นอกจากเรื่องที่เกิดขึ้นในตำบลหม่าหวางแล้ว แน่นอนว่าผมไม่ยอมพูด เรื่องภายในกับใครทั้งสิ้น

และหนึ่งในนั้นก็คือเรื่ององค์กรณ์ตาผี ดังนั้นผมจึงพูดว่า “ ก็ไม่มีอะไรมากครับ มีสิ่งชั่วร้ายที่มีใจเครียดแค้นอยู่ไม่กี่ตัว ไม่จัดว่าร้ายกาจมาก แถมตอนนี้พวกนั้นก็หายไปแล้ว เลยไม่มีอะไรแล้วครับ ! ”

ผมพูดเบาๆ แต่คนขับรถกลับดูตื่นเต้นมาก

เรื่องนี้สดใหม่มาก เขาจึงถามอีกสองสามคำถาม แต่พวกเราล้วนตอบกลับอย่างง่ายๆ เพียงพูดพอหอมปากหอมคอเท่านั้น

ถึงพวกเราจะคุยกันไม่มาก แต่เมื่อคนขับรถได้ยินเขาก็นิ่งอึ้งในทันที เขายังรู้สึกว่ามันน่ากลัวมาก แถมยังชมพวกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเก่งมากๆ

 

ในเวลาเดียวกันยังขอช่องทางการติดต่อจากผม บอกว่าถ้าวันหน้าเจอเรื่องพวกนี้เข้า เขาจะได้ติดต่อพวกเราง่ายๆ

ผมเองก็ไม่ลังเล หยิบนามบัตรให้กับคนขับรถแท็กซี่ทันที

เมื่อคนขับรถเห็นชื่อธุรกิจบนนามบัตรของผม ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย เห็นได้ชัดว่าเขากำลังดีใจมาก

เขายังบอกว่าบ้านเกิดของเขาตั้งอยู่บนแผนการทำทางหลวงเส้นใหม่ และกำลังต้องการย้ายสุสานของบรรพบุรุษพอดี

ถ้าเรื่องนี้ถูกประกาศออกมาเมื่อไหร่ เขาก็จะเชิญพวกเราไปย้ายสุสานให้ตระกูล

ผมกลับไม่ได้สนใจมากนัก เพียงส่งยิ้มให้เขา ตอบตกลง และบอกว่าเมื่อถึงเวลานั้นก็ให้เขาโทรหาผมอีกที……

 

เพราะสู้รบมาตลอดทั้งคืน ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นจิตใจหรือร่างกายของทุกคน มันก็ต่างอ่อนล้ามากแล้ว

หลังจากคุยกันบนรถได้ไม่นาน ทุกคนก็เริ่มนอนหลับไปทีละคนๆ

เมื่อพวกเราลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองอยู่ในเขตตัวเมือง หน้ามหาวิทยาลัยชิงชานแล้ว

หยางเฉ่วลูบตา เมื่อเห็นว่ามาถึงหน้าประตูมหาลัยแล้ว เธอก็ยืดเส้นยืดสาย เผยให้เห็นรูปร่างที่งดงามทันที

ในรถแท็กซี่ผมจ้องเธออย่างไม่ละสายตา แต่หยางเฉ่วก็ไม่ได้สนใจ

หลังยืดตัวเสร็จ เธอก็หาวให้พวกเราและพูดว่า “ อ่า ! ฉันถึงแล้ว พวกนายระวังตัวด้วยละ ! ถึงบ้านแล้วก็ทักมาบอกฉันด้วยนะ ”

หลังจากพูดจบ หยางเฉ่วก็เปิดประตูรถ และเดินลงไปทันที

 

จากนั้นเธอก็ไม่หันมา พูดแซวอะไรผมอีก เธอเดินตรงเข้าไปในมหาวิทยาลัย ด้วยท่าทางที่สบายมากๆ

พวกเราค่อนข้างชินแล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรไร้สาระ

ผมเพียงมองดูหยางเฉ่วผ่านกระจกรถ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่ารูปร่างของหยางเฉ่วดูดีแค่ไหน แม้แต่ด้านหลังของเธอก็ยังดูดีมีราคาเลย

เมื่อเสี่ยวม่านที่อยู่ข้างๆเห็นผมยังจ้องอยู่ เธอก็อดกลอกตาใส่ผมไม่ได้ “ ยังมองอยู่อีก เขาไปแล้วย่ะ ! ”

เมื่อได้ยินเสี่ยวม่านพูด ผมถึงได้รู้สึกตัวอีกครั้ง แต่ผมกลับไม่ได้สนใจคำพูดของเธอ เพียงบอกให้คนขับออกรถเท่านั้น

ผลลัพธ์ผมกลับไม่รู้ว่าเสี่ยวม่านกินอะไรผิดมา ในเวลานี้เธอหลี่ตามองผม จากนั้นก็ด่าออกมาทันที

“ ไอ้ลามก ”

 

“ ลามกงั้นเหรอ ” ผมทำหน้างงทันที

“ นายไม่ใช่คนลามกงั้นเหรอ จ้องก้นของเธอซะขนาดนั้น…… ” เสี่ยวม่านเถียงกลับมาทันที

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็แทบกระอักเลือดออกมา ผมมองหยางเฉ่วแค่แป๊บเดียว นี่ก็เรียกว่าจ้องก้นเธอแล้วเหรอ

ต้องด่าฉันแบบนั้นเลยเหรอ ! ผลลัพธ์วูน่าและคนขับรถแท็กซี่ ก็ต่างอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

ผมกลอกตาทันที ขี้เกียจจะอธิบาย เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง

ผ่านไปไม่นาน ผมก็เห็นป้ายรถเมล์อยู่ข้างหน้า ผมและเฟิงเฉ่วหานจึงเตรียมตัวลงรถ

 

ดังนั้นผมจึงพูดกับเสี่ยวม่านและวูน่าว่า “ เสี่ยวม่าน วูน่า พวกฉันจะลงรถข้างหน้านะ ตอนนี้ฉันมียันต์อยู่สองแผ่น พวกเธอเอากลับไปชุบเลือดไก่ที่บ้านนิดหน่อย จากนั้นก็แปะเอาไว้ที่หัวเตียง หลังจากนั้นสามเดือนก็ฉีกออกได้แล้ว ! ”

หลังจากพูดจบ ผมก็ยื่นยันต์ให้กับทั้งสองคน

เสี่ยวม่านยังงอนผมอยู่ แต่หลังจากที่สองคนผ่านประสบการณ์เมื่อคืนมา พวกเธอจึงกลัวเรื่องพวกนั้นมาก และกลัวว่าตัวเองจะต้องเจอกับสิ่งชั่วร้ายอีก

ดังนั้นเสี่ยวม่านจึงนำยันต์ที่ผมยื่นให้เก็บเอาไว้อย่างดี แต่เธอก็ยังไม่พูดกับผมเหมือนเดิม

แต่วูน่ากลับพูดว่า “ ขอบคุณมากค่ะ ” เมื่อพวกเรามาถึงป้ายรถเมล์ ผมก็สะกิดเฟิงเฉ่วหานที่กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ให้ตื่นขึ้นมา

 

เพราะฟ้าสว่างแล้ว การปรากฎตัวของพี่เฟิงจึงมาถึงขีดสุด ดังนั้นคนที่ตื่นขึ้นมาก็คือเฟิงเฉ่วหาน

เฟิงเฉ่วหานมึนนิดหน่อย “ ที่ ที่นี่ที่ไหน ”

ในเวลานี้ผมยังไม่มีเวลาอธิบายให้เขาฟัง จึงพูดว่า “ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง ตอนนี้ลงจากรถก่อน ! ”

ขณะที่พูด ผมก็เปิดประตูรถ และออกมาจากรถกับเฟิงเฉ่วหาน

จากนั้นก็ได้ยินเสียงผมพูดกับคนขับแท็กซี่ว่า “ พี่คนขับ รบกวนไปส่งพวกเธอที่หน้าประตูหมู่บ้านด้วยนะครับ ! ”

แม้คนขับรถจะตาแดงแล้ว แต่เขายังมีสติอยู่ “ ได้เลย ! ไปก่อนนะน้องชาย…… ”

หลังจากพูดจบ คนขับรถก็เหยียบคันเร่ง ขับรถออกไปทันที

 

เสี่ยวม่านกวาดสายตาของผมหนึ่งครั้ง ส่วนวูน่าก็โบกมือให้ จากนั้นภาพของพวกเธอก็หายไปจากสายตาของพวกเรา

เฟิงเฉ่วหานมองรถแท็กซี่ที่เคลื่อนตัวออกไป พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่สงสัย “ เหล่าติง เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น เหมือนร่างกาย ร่างกายของฉันจะบาดเจ็บหนักเลย ”

ผมหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด จากนั้นก็เล่าเรื่องหลังจากที่พี่เฟิงปรากฎตัว ให้เหล่าเฟิงฟังทั้งหมด

เมื่อเหล่าเฟิงฟังจบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้า “ เป็นองค์กรตาผีนั้นอีกแล้ว ถึงว่าแม้แต่พี่ของฉันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ ไม่รู้จริงๆว่าในองค์กรนั้นมีคนร้ายกาจอยู่มากขนาดไหน ! ”

 

ผมขมวดคิ้วและพยักหน้า “ ใช่ แต่ไม่ช้าก็เร็วยังไงพวกเราก็จะกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก ! ”

ผมพูดเบาๆ ในเวลาเดียวกันก็เดินไปทางป้ายรถเมล์กับเฟิงเฉ่วหาน……

หลังจากขึ้นรถ ผมสองคนก็พูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นครั้งคราว

นอกจากเรื่องมู่หลงเหยียนที่ผมพูดถึงไม่ได้แล้ว เรื่องอื่นๆผมก็เล่าให้เฟิงเฉ่วหานฟังทั้งหมด

ขณะที่เฟิงเฉ่วหานฟังเขาก็ตื่นตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์ของเมื่อคืนจะอันตรายถึงขนาดนี้ แถมยายแก่คนนั้นยังพลังสูงถึงขนาดนั้น เขาจึงสามารถจินตนาการถึงอันตรายที่เกิดขึ้นได้ทันที

แต่สิ่งที่พวกเราสองคนมั่นใจคือ หลังจากเรื่องนี้ ยายแก่คนนั้นจะต้องเกลียดพวกเราเข้ากระดูกดำแน่ๆ

 

และพวกเรายังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับองค์กรตาผีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นในอนาคตพวกเราจะต้องตกเป็นเป้าหมายของคนพวกนี้ หรือแม้แต่ถูกล้างแค้นอย่างแน่นอน

และยังมีจางจึเทาที่รู้ข้อมูลของผมอย่างละเอียด ถ้าพวกเขาติดต่อกัน สืบหาตัวตนของพวกเรา ถึงเวลานั้นพวกเราจะต้องตกเป็นที่เสียเปรียบ และพบเจอกับอันตรายที่คาดไม่ถึงแน่

ดังนั้น ผมและเฟิงเฉ่วหานจึงแอบตัดสินใจด้วยตัวเอง ว่าหลังจากกลับไปพวกเราจะต้องฝึกหนักขึ้น ต้องพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นกว่านี้

ต้องทำแบบนี้เท่านั้น ถึงจะสามารถรับมือกับ อันตรายครั้งต่อไปได้

เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ๆผมก็นึกถึงคำพูดที่พี่เฟิงพูดเอาไว้เมื่อคืน

 

พี่เฟิงบอกว่า พลังของเขากับความแข็งแกร่งของเหล่าเฟิงเกี่ยวข้องกัน ยังบอกให้ผมเตือนสติเหล่าเฟิงว่า ต้องฝึกฝนวิชาจะมานั่งผ่อนคลายอยู่ไม่ได้

ดังนั้นในเวลานี้ผมจึงถามเขาเพิ่ม “ เหล่าเฟิง พลังของนายกับพี่เฟิง เกิดขึ้นได้ยังไง เมื่อคืนพี่เฟิงบอกว่า พลังของเขา ขึ้นอยู่กับนายซะส่วนใหญ่ ! ”

เมื่อเฟิงเฉ่วหานได้ยินผมถาม เขากลับไม่ได้แสดงอารมณ์ออกมาเท่าไหร่

เพียงลังเลเล็กน้อย เหมือนกำลังคิดว่าจะบอกผมดีไหม

ผมเองก็ไม่ได้กดดัน เพียงมองเขาเงียบๆเท่านั้น

 

ผ่านไปไม่นาน เฟิงเฉ่วหานก็ถอนหายใจ เขาพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เล่าเรื่องระหว่างเขาและพี่เฟิงให้ผมฟังเป็นครั้งแรก

ตอนนี้ผมได้ยินเขาพูดเบาๆว่า “ ใช่แล้ว ถึงฉันกับเขาจะอยู่ในร่างเดียวกัน แต่ผู้นำกลับเป็นฉัน…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset