ศพ – ตอนที่ 171 เปลี่ยนเป็นเต้าจวิน

ตอนที่ 171 เปลี่ยนเป็นเต้าจวิน

จู่ๆท่านนักพรตตู๋ก็ระเบิดออกมา อย่าว่าแต่หมอผีเลย แม้แต่ผมและเฟิงเฉ่วหาน ก็ยังต้องมองตาค้าง

พวกเราคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านนักพรตตู๋จะเล่นใหญ่ขนาดนี้

พวกเราเห็นเขาถูกรัดเอาไว้ชัดๆ แต่ตาข่ายกลับขาดออก เขาใช้พลังภายใน พัดพวกแมลงที่กำลังลอยเข้ามาให้ออกไปทันที

การกระทำนี้ พลังแบบนี้ มันแตกต่างจากพลังของพวกเราหลายเท่าตัว

ตอนนี้พลังของผมและเหล่าเฟิงอยู่ในขั้นของนักพรต ลำดับพลังที่อยู่ถัดจากพวกเรา ก็คืออาจารย์ลัทธิเต๋า เต้าจวิน หรือที่สูงกว่านั้นเต้าหวาง เต้าจงและลำดับอื่นๆ……

 

สำหรับพลังของเขาอยู่ในขั้นไหนนั้น ตอนนี้พวกเราเกรงว่าเขาจะอยู่ในอันดับต้นๆของอาชีพ เรียกได้ว่าอยู่ในขั้นของพวกปรมาจารย์ลัทธิ หรือท่านผู้อาวุโสของสำนัก

แต่ผมยึดตามพลังที่ท่านนักพรตตู๋เพิ่งระเบิดออกมาเมื่อกี้ ทักษะที่ท่านนักพรตตู๋ใช้ต่อสู้ ผมก็คิดว่าอย่างน้อยเขาน่าจะอยู่ในขั้นเต้าจวิน

เมื่อก่อนอาจารย์อธิบายให้ผมฟังอย่างชัดเจน ว่าตอนที่ลัทธิเต๋ายังไม่ตกต่ำเหมือนตอนนี้

อย่าว่าแต่ฝึกพลังจนถึงขั้นเต้าจวินเลย แม้แต่คนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างอาจารย์ก็มีไม่มาก ขั้นเต้าจวินนี้จึงยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่

แต่คนปราบสิ่งชั่วร้ายที่ฝึกฝนวิชาแบบนี้ ส่วนใหญ่มักอยู่ในภูเขาที่เก่าแก่ของลัทธิ เช่นภูเขาเหมาชาน เมืองชิงเฉิง และก็สถานที่ต่างๆที่มีชื่อเสียง

 

สำหรับเรื่องพวกนี้ผมไม่ค่อยเข้าใจ แต่จู่ๆที่ท่านนักพรตตู๋ก็ระเบิดพลังระดับเต้าจวินออกมานั้น มันทำให้ผมทั้งตกใจและดีใจมาก

เพราะก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าพลังของท่านนักพรตตู๋อยู่ในระดับไหน

และก่อนหน้านี้ตอนที่สู้กับผีน้ำ ท่านนักพรตตู๋ก็ไม่ได้แสดงพลังออกมาขนาดนี้

ตอนนี้จู่ๆเขาก็ระเบิดพลังอันแข็งแกร่งออกมา แล้วมันจะไม่ทำให้คนอื่นตื่นตกใจได้ยังไง

หมอผีที่ควบคุมแมลงพิษอยู่ ก็ตกตะลึง เขาเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาทันที

ทันใดนั้นเขาและนางพญาก็ถอยไปข้างหลังหลายก้าว เว้นระยะห่างจากท่านนักพรตตู๋ “ แก แก แกมีพลัง พลังที่…… ”

 

เห็นได้ชัดว่า อีกฝ่ายเองก็มองออกถึงความแข็งแกร่งของท่านนักพรตตู๋ ในเวลานี้จึงตื่นกลัวไปตามๆกัน

“ ฮึ ถ้าข้าไม่แสดงพลังที่แท้จริงออกมา แกก็คงเห็นข้าเป็นพวกอ่อนแอซินะ ! ”

หลังจากพูดจบ สีหน้าของท่านนักพรตตู๋ก็เคร่งขรึมลง เขายกดาบไม้ขึ้น จากนั้นก็พุ่งเข้าแทง อย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง

หมอผีคนนั้นเห็นท่านนักพรตตู่พุ่งเข้ามาอีกครั้ง เขาก็กระวนกระวายทันที

วินาทีนั้นเขารีบหันไปพูดกับนางพญาว่า “ เร็ว รีบใช้พิษฆ่ามัน ฆ่ามันซะ ! ”

หลังจากพูดจบ เขาก็โยนหนอนพิษใส่ท่านนักพรตตู๋อย่างต่อเนื่อง คิดจะหยุดไม่ให้ท่านนักพรตตู๋เข้ามาใกล้

 

เสี้ยววินาทีต่อมานางพญาหนอนสีแดง ก็คำราม “ คาคาคา ” ออกมา จากนั้นแก้มของมันก็อวบอูม มันพ่นน้ำกรดใส่ท่านนักพรตตู๋อย่างต่อเนื่อง

แต่ในเวลานี้ท่านนักพรตตู่กลับร้ายกาจขึ้น ร่างกายของเขาว่องไวยิ่งกว่าเดิม

และหลังจากอยู่ในขั้นพลัง “ เต้าจวิน ” พละกำลังของเขาก็สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ผมเคยได้ยินอาจารย์พูดว่า ถ้าคนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเราสามารถฝึกถึงขั้นนี้ได้ เราก็จะควบคุมพลังในร่างได้อย่างสมบูรณ์

ขอแค่ขับเคลื่อนพลัง ก็จะสามารถผสานกับมันได้ตามใจชอบ แม้แต่ระเบิดออกมาก็ยังได้

ตอนนั้นผมลองคิดตาม แต่ก็ยังไม่อยากเชื่อ

 

แต่เมื่อได้มาเห็นตอนนี้ ผลกลับเป็นแบบนั้นจริงๆ

ท่านนักพรตตู๋สามารถระเบิดพลังออกมาจากร่างกาย แถมยังเป็นคลื่นพลังที่ไร้รูปแบบและสามารถปัดเป่าอันตรายที่เข้ามาได้

ถึงแม้ในเวลานี้ท่านนักพรตตู๋จะไม่มีร่มอยู่ในมือ แต่น้ำกรดพวกนั้นก็ไม่สามารถแตะต้องตัวของท่านนักพรตตู๋ได้เลย

การเคลื่อนไหวของท่านนักพรตตู๋เร็วมาก ผ่านไปไม่ถึงพริบตาเดียว เขาก็เข้าใกล้ตัวศัตรูแล้ว

ผมและเฟิงเฉ่วหานต่างตกตะลึงกับภาพตรงหน้า มองจากท่าทางของเฟิงเฉ่วหาน ดูเหมือนเขาเองก็ไม่เคยเห็นท่านนักพรตตู๋ร้ายกาจแบบนี้

 

ในที่สุด ท่านนักพรตตู๋ก็ฟันดาบสังหารใส่ศัตรูอีกครั้ง

ทันใดนั้นผมเห็นท่านนักพรตตู๋กระโดดขึ้น “ ไอ้หนอนชั่ว ไปตายซะ ! ”

เมื่อเห็นท่านนักพรตตู๋กระโดดขึ้นอีกครั้ง หมอผีที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยหนอนและนางพญาตัวนั้นต่างตกใจ

ดวงตาของนางพญาสั่นไหว ปากของมันบวมขึ้น มันคิดจะพ่นตาข่ายลายน้ำ ใส่ท่านนักพรตตู๋อีกครั้ง

แต่ครั้งนี้ท่านนักพรตตู๋ไม่ได้ตกหลุมพราง เขาพูด ฮึ อย่างเย็นชา จากนั้นก็แกว่งดาบในมืออย่างรวดเร็ว “ ฉึก ” ทันใดนั้นตาข่ายน้ำลายก็ขาดออกเป็นสองส่วน

ยังไม่จบเท่านี้ หลังจากฟันเสร็จ ท่านนักพรตตู๋ก็ได้เข้าไปใกล้นางพญาและหมอผีแมลงพิษแล้ว

 

หมอผีคนนั้นเห็นท่านนักพรตตู๋ตามมาฆ่า เขาก็รู้ทันทีว่าอันตรายมาถึงแล้ว ทันใดนั้นเข้าก็ยกกระถางธูปตรงหน้าขึ้น จากนั้นก็โยนออกไปอย่างรวดเร็ว

แต่หนอนยักษ์ตัวนั้นเคลื่อนไหวเชื่องช้า มันถอยจนไม่รู้จะถอยไปไหนแล้ว

ทำได้เพียงทำแก้มบวม เตรียมพ่นน้ำกรดใส่เขา เพื่อชะลอการโจมตีเท่านั้น

แต่มันสายไปแล้ว ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้แล้ว

เพราะดาบไม้ในมือของท่านนักพรตตู๋ ได้ฟันลงบนหัวของนางพญาเรียบร้อยแล้ว

ตาบนหนวด ได้เบิกว้างอย่างรวดเร็ว มันเต็มไปด้วยความกลัว

 

ร่างกายของหนอนยักษ์ตัวนั้น กระตุกไปมาสองสามครั้ง มันดูทรมานมาก แต่สุดท้ายก็คำราม “ คาคาคา ” ออกมา จากนั้นเสียงของมันก็ค่อยๆแผ่วเบาลง

เห็นได้ชัดว่า นางพญาตัวนี้ไม่รอดแล้ว

ท่านนักพรตตู๋มองหนอนยักษ์ที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นก็กระชากดาบออกอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นเลือดสีดำเข้มก็ไหลทะลักออกมา ร่างของนางพญาสั่นไหว ในปากยังคงกรีดร้องออกมาอย่างต่อเนื่อง

หนอนน้อยที่อยู่ข้างๆเริ่มคลุ้มคลั่ง พวกมันต่างรีบปีนขึ้นไปบนร่างนางพญา ดูเหมือนกับพวกมันคิดจะใช้ร่างกายของตัวเอง หยุดเลือดของนางพญาเอาไว้

แต่รอยดาบของท่านนักพรตตู๋ลึกมาก ไม่ว่าหนอนตัวนี้จะหวงแหนชีวิตขนาดไหน แต่มันก็ไม่รอดแล้ว

 

ท่านนักพรตตู๋เหลือบมองร่างของนางพญาแวบหนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างเย็นชา “ ตายซะไอ้หนอนยักษ์ ! ”

หลังจากพูดจบ เขาก็ฟันดาบลงไปอีกครั้ง

“ ไม่ ! ” หมอผีแมลงที่อยู่ห่างออกไปตะโกนด้วยความหวาดกลัว เขารีบเอื้อมมือออกมาด้วยความตกใจ

แต่ท่านนักพรตตู๋กลับไม่สนใจ เขาฟันมันเข้าไปทันที

นางพญาสูญเสียกำลังในการต่อสู้ไปแล้ว หลังจากดาบฟันลงไป “ ฉึก ” หัวของนางพญาตัวนั้นก็เปิดออกทันที

เสียงกรีดร้องของนางพญาหยุดลงอย่างฉับพรัน เลือดสีดำกระเด็นเซ็นซ่านออกมาราวกับน้ำพุ พร้อมกับส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว

ร่างกายของมันกระตุกสองสามครั้ง จากนั้นก็ตายในทันที

 

ตอนนี้เจ้าพวกหนอนตัวน้อยๆ เริ่มตื่นตัวผิดปกติ ปีนขึ้นไปบนตัวของนางพญาอย่างต่อเนื่อง

นางพญาถูกฆ่าตาย ผมและเฟิงเฉ่วหานก็ดีใจมาก แม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมาก แต่ด้วยความร้ายกาจของท่านนักพรตตู๋ ผมก็รู้สึกภูมิใจในตัวเขามาก

“ ท่านลุงตู๋ร้ายกาจมากเลย ! ”

“ อาจารย์เก่งมากๆ ! ”

ผมและเฟิงเฉ่วหานต่างพูดชม เห็นได้ชัดว่าพวกเรากำลังดีใจมาก ในเวลาเดียวกันพวกเราก็วิ่งเข้าไปใกล้ท่านนักพรตตู่อย่างรวดเร็ว

 

แต่หมอผีแมลงพิษคนนั้น กลับกำลังเดือดพล่าน

ตัวเขากำลังสั่น ใช้มือข้างเดียวเสกคาถา หายใจหอบเหนื่อย และพูดด้วยความโกรธ “ แก แกฆ่านางพญาของฉัน แกฆ่านางพญาของฉัน ฉันจะฆ่าแก ฉันจะฆ่าแก…… ”

เมื่อเขาพูดถึงประโยคสุดท้าย เขาก็แทบจะตะคอกออกมา

ท่านนักพรตตู๋ไม่รู้สึกอะไร เขาพูดออกมาอย่างเย็นชา “ ต่อไปก็เป็นตาแกแล้ว ! ”

“ อย่ามาดูถูกคนควบคุมแมลงพิษอย่างพวกเรา ! ”

หลังจากพูดจบ มือที่ประสานอยู่ก็เปลี่ยนแปลง ทันใดนั้นเขาก็พูดออกมาอีกครั้ง “ เพี๊ยง ! ”

เสียงนี้เพิ่งเงียบลง มืออีกข้างของเขาก็ยกกระถางธูปขึ้น จากนั้นก็มีเสียงดัง “ ฟู่ ” ระเบิดออกมาจากกระถางธูป

 

ขณะที่กระถางธูประเบิดออก ทันใดนั้นหนอนสีดำตัวหนึ่ง ก็คลานออกมาจากกระถางธูป

เมื่อหมอผีเห็นหนอนสีดำปรากฎตัว เขาก็ไม่ลังเลหยิบมันขึ้น ในเวลาเดียวกันก็จ้องพวกเราอย่างเคียดแค้น “ พวกแกบังคับฉันเองนะ ! ”

หลังจากพูดจบ เขาก็นำหนอนสีดำตัวอวบอ้วนเท่านิ้วหัวแม่มือ เข้าไปในปาก และกลืนมันทั้งเป็น……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset