ศพ – ตอนที่ 218 โมโห

ตอนที่ 218 โมโห

 

แม้เสียงของมู่หลงเหยียนจะหวานและชัดเจน แต่ไม่ว่าจะฟังยังไงคําพูดของเธอ ก็ทําให้คนฟังรู้สึกขนลุกอยู่ดี 

 

ตอนนี้ ตัวผมแข็งทื่อพร้อมกับที่หลังมีเหงื่อเย็นๆไหลตามมาติดๆ

 

ส่วนยายโม่ที่ยืนอยู่หน้าผมนั้น เธอกลับหัวเราะ “ ฮึฮึฮึ ” ออกมา “ คุณผู้ชายดูเหมือนคุณหนูยังไม่อยากให้คุณกลับเจ้าค่ะ เชิญทางนี้เจ้าค่ะ !”

 

ขณะที่พูด ยายโม่ก็ผายมือเชิญผมเข้าไปด้านใน

 

ผมแสดงสีหน้าอึดอัดใจ ในใจยังรู้สึกกลัวอยู่

 

ฟังจากน้ำเสียงของมู่หลงเหยียน ตอนนี้เธอน่าจะกําลังโมโหสุดๆ ผมเองก็ยังไม่อยากเป็นที่ระบายอารมณ์ให้เธอ

 

ดังนั้นผมจึงพูดกับยายโม่ว่า “ ยายโม่ เอ่อ เอ่อคือผมยังมีธุระ ด่วนมากด้วย เอาแบบนี้ดีกว่า ! ยายบอกน้องศพแทน ผมหน่อยว่าผมกลับไปแล้ว ครั้งหน้าจะมาหาเธอใหม่ !”

 

ผมรีบพูด ผลลัพธ์เสียงของผมเพิ่งเงียบลง ทันใดนั้นข้างในก็มีเสียงของมู่หลงเหยียนดังออกมา “ ไอ้กาก เรียกนาย เข้ามาแค่นี้จะพูดมากทําไมฮะ ถ้ายังพูดมากอีก ฉันจะออกไปเรียกด้วยตัวเองนะยะ !”

 

เมื่อเสียงดังขึ้น ผมก็ขนลุกครั้งแล้วครั้งเล่า รู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว

 

เวรเอ้ย ฉันไปดวงซวยมาจากไหนวะ ทําไมคืนนี้ต้องมาเจอเรื่องแย่ๆด้วย

 

“ คุณผู้ชาย คุณรีบเข้าไปเถอะเจ้าค่ะ ! คุณหนูกําลังอารมณ์เสีย อีกเดี๋ยวถ้าคุณหนูโกรธขึ้นมาจริงๆ คุณจะตกอยู่ในอันตรายนะเจ้าค่ะ !” ยายโม่พูดด้วยเสียงแหบแห้ง 

 

ผมอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้า พูดตามความจริง ตอนนี้ผมอยากหมุนตัวกลับแล้วเดินออกไปจริงๆ

 

แต่ผมทําไม่ได้ ถึงจะหลบหน้าได้หนึ่งวัน แต่ผมไม่อาจหลบเธอตลอดไปได้

 

ถ้าคืนนี้ผมหมุนตัวเดินกลับไปจริงๆ เมื่อยัยมู่หลงเหยียนมีเวลาว่างแล้วออกจากจวนได้ ตอนนั้นผมจะต้องจบเห่แน่

 

ถึงผมจะไม่ตาย แต่ก็ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลําบากแน่นอน

 

ผมกลืนน้ำลาย จากนั้นก็พยักหน้าให้ยายโม่ “ ก็ ก็ได้ครับ ! แต่ยายโม่ ถ้ามีอันตรายเกิดขึ้น ยาย ยายจะต้องช่วยผมด้วยนะ ! ”

 

“ ฮ่าฮ่าฮ่า คุณผู้ชายล้อข้าเล่นแล้ว ไปกันเถอะเจ้าค่ะ !” ยายโม่พูดต่อ

 

ผมทําอะไรไม่ได้ ได้แต่ถือไก่เหลือง พร้อมกับกล่องไม้ เดินเข้าไปในจวนมู่หลง

 

ผมเพิ่งเข้ามาในจวน ทันใดนั้นประตูบ้านใหญ่ก็ “ แอ๊ด ปัง” มันปิดลงทันที

 

ตอนนี้จวนมู่หลงดูเหมือนกับคฤหาสน์ที่หรูหรา

 

นอกจากสถานที่แห่งนี้จะมีพลังหยินแรงมากแล้ว ผมก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติอื่นอีก

 

ในสวนหย่อมมีน้ำตกจําลองเล็กๆ สายน้ำไหลริมลงมาสู่สระน้ำที่มีศาลาไม้หลังงามตั้งอยู่ ริเวณนี้ถูกตกแต่งอย่างหรูหราตระการตามาก

 

แต่ครั้งนี้ในจวนมีคนรับใช้เพิ่มมานิดหน่อย ผมเพิ่งเข้ามาในจวนมู่หลง ก็เห็นพวกสาวใช้ในจวนมู่หลง! คนรับใช้เอย อะไรเอย ตอนนี้พวกเขากําลังเดินไปเดินมา บางคนถือถาดผลไม้ บางคนกําลังทําความสะอาด และคนรับใช้บางส่วนกําลังตัดแต่งกิ่งและใบไม้อยู่

 

ถึงจะเป็นตอนกลางคืน แต่ตอนนี้พวกเขาดูเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยสักนิด

 

แต่ผมรู้ดี คนพวกนี้มองแล้วเหมือนสาวใช้ คนรับใช้ก็จริง ! แต่ทุกคนล้วนไม่ใช่คน พวกเขาล้วนเป็นหุ่นกระดาษทั้งนั้น

 

เมื่อถึงตอนกลางวัน พระอาทิตย์ขึ้น คนพวกนี้ก็จะกลับมาเป็นสภาพเดิม

 

ยิ่งคิดผมก็ยิ่งขนลุก แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมาจวนมู่หลง และผมก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับยายโม่และผีตนอื่นๆแล้ว ดังนั้น ผมจึงไม่กระวนกระวายอะไรขนาดนั้น

 

ยายโม่พาผมเข้าไปข้างใน ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอาคารหลังใหญ่ที่อยู่ในสุด

 

ที่นี่ ก็คือที่อยู่ส่วนตัวของมู่หลงเหยียน

 

ผมเพิ่งเข้ามาในอาคารก็เห็นสวนหย่อมเล็กๆด้านใน รอบๆล้วนมีสาวใช้ยืนรายล้อม บริเวณนี้มีประมาณเจ็ดแปดคนได้ แต่ทุกคนล้วนก้มหัวหมด

 

แต่ถ้ามองให้ละเอียด ผมกลับพบว่าใบหน้าของพวกเธอนั้นซีดมาก และยังมีสีแดงของบลัชออนอ่อนๆที่ถูกปัดให้เหมือนกับหุ่นกระดาษ ดวงตากลมโต แต่ไม่กระพริบตา และไม่ขยับใดๆทั้งสิ้น

 

เมื่อสาวใช้พวกนี้เห็นยายโม่เข้ามาในสวนหย่อม พวกเธอก็ใช้น้ำเสียงแข็งๆพูดกับผมและยายโม่ว่า “ คุณผู้ชาย ท่านยายโม่ ! ”

 

หลังจากพูดจบ พวกเธอก็ทําเหมือนสาวใช้โบราณ ค่อยๆ โค้งคํานับให้พวกเรา

 

ผมมองการกระทําเหล่านั้นอย่างอึดอัดใจ ได้ยินเสียงพวกเธอแล้วมันรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว

 

เพราะคําพูดพวกนั้นไม่มีชีวิตชีวาเลยสักนิด แข็งทื่อสุดๆ เหมือนกับพวกเธอถูกตั้งโปรแกรมให้ตะโกนออกมาโดยอัตโนมัติ

 

ผมกวาดสายตามองรอบๆ เห็นได้ชัดว่าผมไม่รู้ว่าต้องทํายังไง ไม่รู้ว่าควรตอบกลับพวกเธอดีไหม

 

แต่ในตอนนั้นเอง ภายในอาคารกลับมีเสียงมู่หลงเหยียนดังขึ้น “ ไอ้กาก นายจะยืนโง่อยู่ข้างนอกอีกนานไหมฮะ รีบเข้ามาหาฉันซิ !”

 

เสียงเพิ่งเงียบลง “ แอ๊ด ” ประตูที่เคยปิดเอาไว้อย่างแน่นหนาก็ถูกเปิดออก……….

 

ผมมองบานประตูที่ค่อยๆเปิดออกตลอดทางมานี้ผมรู้สึกถึงลางร้ายมาโดยตลอด

 

แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังไงผมก็ต้องทําต่อไป

 

ผมพาหัวใจที่หวาดกลัวเดินไปข้างหน้า ถือกระเป๋าไก่เหลืองเข้าไปในห้อง

 

ผมเพิ่งเข้ามาในห้อง ก็ได้กลิ่นดอกกล้วยไม้อ่อนๆ

 

ไม่รอให้ผมได้มองสํารวจรอบๆ ทันใดนั้น “ แอ๊ด ปัง ” ประตูห้องก็ถูกปิด

 

ผมกวาดสายตามอง พบว่าตอนนี้มู่หลงเหยียนกําลังนั่งอยู่ใกล้ๆโต๊ะที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล สีหน้าของเธอบูดบึงกําลังจ้องผมตาไม่กระพริบ

 

เมื่อเห็นท่าทางของมู่หลงเหยียน ผมก็ฝืนยิ้มให้เธอ จากนั้นก็พูดว่า “ แฮะแฮะแฮะ น้องศพ นี่กล่องไม้คืนให้เธอ แล้วก็นี่ไก่เหลืองที่เธอต้องการ ! ”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็เดินเข้าไปหามู่หลงเหยียน

 

เธอจ้องผม แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา

 

ความรู้สึกนั้นทําให้ผมหายใจไม่ออก ราวกับภูเขาไฟตรงหน้า พร้อมที่จะระเบิดออกมาตลอดเวลา

 

เมื่อผมมาถึงโต๊ะ ผมก็ค่อยๆนํากล่องไม้วางลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นก็นําไก่เหลืองวางเอาไว้ข้างกัน

 

เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนไม่พูดอะไร ผมจึงพูดต่อ “ เอ่อ เอ่อ ของอยู่นี่นะ ถ้า ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวก่อนนะ!” 

 

หลังจากพูดจบ ผมก็หมุนตัวอย่างรวดเร็ว และเดินตรงไปข้างหน้าทันที

 

ผลลัพธ์ผมเพิ่งเดินไปได้แค่สองก้าว ทันใดนั้นเสียง ฮึ ที่เย็นชาของมู่หลงเหยียนก็ดังขึ้น “ กลับมาหาฉันเดี๋ยวนี้ ! ”

 

ขณะที่พูด สายลมอันเยือนเย็นก็พัดเข้ามากระทบตัวผม และแล้วพลังประหลาดบางอย่างก็จับตัวผมเอาไว้ ดึงผมให้ ถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว “ ฟรีบ ” ตัวผมก็ลอยกลับมาและสุดท้ายก็หล่นกระแทกพื้นดัง “ ปัก ”

 

“ โอ๊ย ! เธอทําอะไรเนี่ย อยากฆ่าฉันรึไง ! ” ผมจับหน้าอก พร้อมพูดด้วยความโมโห

 

ผลลัพธ์มู่หลงเหยียนกลับค่อยๆเดินเข้ามา หลังจากนั้นก็พูดกับผมว่า “ ไอ้กาก ตอนนี้ฉันกําลังโมโหมาก นายว่าควรทํายังไงดี ”

 

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ผมก็เป็นใบ้ในทันที

 

เธอโมโหอะไรมาฉันยังไม่รู้เลย แล้วฉันจะไปรู้ได้ไงว่าควรทํายังไง

 

ในใจผมกําลังคิดแบบนี้ แต่ปากกลับไม่กล้าพูดออกมา ไม่อย่างนั้นยัยมู่หลงเหยียนต้องระเบิดใส่ผมแน่

 

“ เธอ เธอหายใจเข้าลึกๆ อย่าเพิ่งโมโห ! ” ผมพูดติดอ่าง พร้อมกับกดความเจ็บที่หน้าอกเอาไว้

 

แต่มู่หลงเหยียนกลับทําปากมุ่ย พร้อมพูดระบายความ โกรธออกมา “ ยัยโจวหยุนปากปลาร้า ฉันโมโหจะตายแล้ว ไอ้กาก นายให้ฉันตบที่ซิ ให้ฉันระบายความโกรธหน่อยนะ !

 

เสียงเพิ่งเงียบลง ทันใดนั้นสีหน้าผมก็เปลี่ยนไปทันที “ อะไรนะ ตบฉันเพื่อระบายความโกรธโจวหยุนทําเธอ เธอก็ไปตบโจวหยุนซิ ”

 

ผมทําหน้าเบื่อหน่าย ผลลัพธ์มู่หลงเหยียนกลับไม่สนใจ เธอดัดมือรอแล้ว “ กรอบแกร็บ ” “ ฮี ก่อนยัยโจว

 

หยุนจะออกมา นายก็เป็นคนปล่อยเธอไม่ตบนายแล้วจะไปตบใครฮะ ตอนนี้เธอมายั่วโมโหฉัน ฉันก็ต้องใช้นายเป็นที่ระบายอารมณ์ซิ ! ”

 

ผมคิดว่าชีวิตเริ่มมืดมนแล้ว ตัวเองไม่ได้ทําอะไรให้ใคร แท้ๆ ยัยโจวหยุนนั้นไปทําให้มู่หลงเหยียนไม่พอใจ แต่ผมกลับต้องมาเป็นที่ระบายอารมณ์

 

ผมมองร่างของมู่หลงเหยียนที่กําลังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ทันใดนั้นผมก็รีบลุกขึ้นทันที “ อย่า อย่าเข้ามานะ !”

 

ขณะที่พูด ผมก็ยกมือขึ้นห้ามมู่หลงเหยียน

 

แต่ใครจะรู้ว่ายัยมู่หลงเหยียนไม่สนใจคุยกันดีๆแล้ว ตอนนี้เธอใช้มือข้างหนึ่งจับมือผมเอาไว้ มันถูกบีบอย่างรุนแรง

 

ทันใดนั้น ความเจ็บปวดก็แล่นพล้าน สีหน้าเปลี่ยนไป เสียงร้องของผมดังไปทั่วจวนมู่หลงทันที

 

“ โอ๊ย ! ”

 

ยายโม่มองมาที่ห้อง เมื่อได้ยินเสียงดังจากข้างใน ท่าที่ที่เคร่งเครียดของเธอ กลับผ่อนคลายลงซะอย่างนั้น หรือแม้แต่เผยรอยยิ้มน้อยๆออกมาด้วย

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset