ศพ – ตอนที่ 242 เรื่องอื้อฉาวในครอบครัว

ตอนที่ 242 เรื่องอื้อฉาวในครอบครัว

 

อาจารย์เห็นผมมองเขา และนิ่งไปพักหนึ่ง เพราะจะพูดเรื่องนี้ออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้

 

ถ้าพูดออกมา ความสัมพันธ์ระหว่างคุณฉีกับภรรยาอาจจบลงตรงนี้

 

แต่ผู้อาวุโสฉีกลับจ้องผม “ พูดเลย พูดให้เจ้าอกตัญญนี่ได้รู้ ทําให้มันตาสว่าง ทําเลวก็ต้องเจอกับเรื่องเลวๆ ทําให้มันรู้ว่าสิ่งที่มันทําลงไป หรือผลของเงินชั่วๆที่ได้มามันเป็นยังไง ! ”

 

เมื่อได้ยินคําพูดของผู้อาวุโสณี ผมก็คิดว่าเขาพูดถูก

 

ผมจึงกลืนน้ําลาย “ ผู้อาวุโส จะให้พูดจริงๆเหรอครับ?

 

“ จริงซิ ฉันอยากให้เจ้าอกตัญญนี้ตาสว่าง ว่าชั่วชีวิตนี้มันล้มเหลวมามากขนาดไหน !”

 

ส่วนคุณฉีที่คุกเข่าอยู่กับพื้น กับแสดงท่าทางสงสัย และพูดกับผมว่า “ ท่านนักพรตเสี่ยวติง พ่อผมบอกให้พูดอะไรคุณก็พูดมาเถอะ!”

 

“ คุณฉี ทางที่ดีที่สุดคุณเตรียมใจหน่อยนะ นี่เป็นสิ่งที่คุณต้องการเองนะ!” ผมพูดต่อ

 

คุณฉีงงอยู่แป๊บหนึ่ง แต่เขาก็พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น “ พูดมาเถอะครับ !”

 

ผมมองไปด้านข้าง ตอนนี้ภรรยาคุณฉีกําลังกอดฉีเสี่ยวเทียนอย่างกระวนกระวาย หลังจากนั้นผมก็พูดกับคุณฉีว่า “ คุณฉี ผู้อาวุโสพูดว่า ลูกของคุณไปสลักรูปดอกไม้ที่หลุมศพของปูคุณ แถมรดหลุมศพพ่อคุณ

 

แล้วเขายังเก็บเงินกระดาษของพวกเขาไป…”

 

ผมยังพูดไม่จบ ทันใดนั้นคุณฉีก็ระเบิดออกมาทันที เขาหันไปมองอย่างรวดเร็ว “ ฉีเสี่ยวเทียน แกสลักดอกไม้บนหลุมศพทวดรึเปล่า แล้วแกยังไปรดหลุมศพปู่ และเก็บเงินกระดาษเอาไว้จริงไหม ?”

 

ฉีเสี่ยวเทียนเห็นท่าทีของคุณฉี ในเวลาเดียวกันยังได้ยินพ่อถามถึงเรื่องพวกนี้ เดิมทีเขาอารมณ์เริ่มรู้สึกดีขึ้นแล้ว แต่ทันใดนั้นเขาก็ระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาทันที

 

เมื่อภรรยาคุณเห็นฉีเสี่ยวเทียนร้องไห้ เธอก็ตะคอกออกมาทันที “ จะตะคอกอะไรกันนักกันหนา เห็นไหม? ลูกตกใจกลัวจนร้องไห้แล้ว!”

 

คุณฉีมีลูกแค่คนเดียว เมื่อเห็นลูกร้องไห้ เขาก็เค้นเสียงดัง ฮี จากนั้นก็ไม่ถามต่อ เพราะคิดว่าเขาเป็นเด็กอายุแค่แปดเก้าขวบ

 

“ ท่านนักพรตเสียวติง พ่อผมยังพูดว่าอะไรอีกครับ ”

 

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ผมก็อดกลืนน้ําลายไม่ได้ จากนั้นก็พูดต่อ “ แล้วก็…นี่เป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสบอกนะครับ

 

คุณโดนสวมเขาแล้ว !”

 

เสียงของผมไม่ดังมาก แต่เมื่อคุณได้ยินคําพูดนี้ ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนเป็นนิ่งอึ้งทันที ม่านตาทั้งสองข้างขยายใหญ่โดยอัตโนมัติ

 

ส่วนอีกทางด้านหนึ่ง ภรรยาคุณฉีที่ปลอบลูกอยู่ ก็หันมามองอย่างรวดเร็ว พร้อมกับแสดงสีหน้าตื่นตกใจ

 

ในเวลาเดียวกันเธอก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย เธอรีบพูดทันที “ ท่าน ท่านนักพรตพูดอะไรออกมาน่ะ

 

ถ้าคุณยังกล้าพูดเรื่องนี้ออกมาอีก ก็รีบไสหัวออกไปจากที่นี่เลย! ”

 

แต่ผมไม่ได้สนใจ หลังจากนั้นก็พูดต่อ “ และยังพูดว่า ลูกชายคนนี้ก็ไม่ใช่… ก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆของคุณ….”

 

เมื่อคําพูดแบบนี้หลุดออกมา คุณฉีก็หมือนโดนฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ เขาตัวสั่นไปทั้งตัว แม้แต่การหายใจก็เร็วขึ้น

 

ส่วนทางด้านของภรรยาคุณฉี กลับดูเหมือนคนถูกเปิดเผยความลับ เธอลุกขึ้นยืน แล้วพุ่งเข้ามาหาผมทันที “ ไอ้นักพรตชั่ว แกพูดจาเหลวไหล หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!”

 

หลังจากพูดจบ เธอก็จะกระฉากตัวผม

 

แต่เพิ่งเฉ้วหานที่อยู่ข้างๆกลับเข้ามาขวางทัน เขาหยุดภรรยาคุณเอาไว้ จากนั้นก็จับมือเธอเอาไว้

 

“ ปล่อยฉัน รีบปล่อยฉันซิ…” ภรรยาคุณพูดไม่หยุด เธอพยายามดิ้นให้หลุด

 

ในเวลาเดียวกัน ผมก็พูดต่อเลย “ ผู้อาวุโสฉียังพูดว่า ในท้องของภรรยาคุณยังมีเด็กอีกคน แต่…แต่ก็ไม่ใช่ลูกคุณเหมือนกัน บอกว่าคุณอกตัญญ ไม่หัดเอะใจ เลี้ยงลูกให้คนอื่น แล้วยังไม่รู้ตัวอีก! เขาโกรธมากครับ

 

เขาพูดเท่านี้แหละ”

 

ถึงผมจะเป็นคนพูด แต่ผมก็เป็นแค่ผู้ส่งสาร

 

แต่ผมคิดว่าเมื่อคําพูดพวกนี้หลุดออกจากปากผมแล้ว มันกลับทําให้ผมรู้สึกแปลกๆ

 

ส่วนคุณฉีที่กําลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ก็ก้มหัวลง แต่ผมพบว่า ตอนนี้เขากําลังตัวสั่น

 

กําหมัดแน่น และทุบลงกับพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า

 

เห็นได้ชัด ว่าคุณกําลังต่อสู้กับความคิดของตัวเองอย่างรุนแรง

 

เมื่อภรรยาคุณเห็นคุณฉีเป็นแบบนั้น เธอก็พูดด้วยความหวาดกลัว “ คุณคะ คุณอย่าไปฟังคําพูดจาเหลวไหลของไอ้นักพรตชั่วนั้นนะคะ พ่ออะไร ! ไม่มีหรอกค่ะ คุณดูซิคะ ห้องโล่งๆแบบนี้ มีพ่ออยู่ที่ไหนกัน!

 

มันจะต้องตั้งใจใส่ร้ายคนอื่น อยากทําความสัมพันธ์สามีภรรยาของเราแตกกัน! คุณคะ…”

 

ภรรยาคุณฉีถูกจับเอาไว้ เธอไม่มีทางเข้าใกล้ได้ จึงทําได้เพียงหาข้อแก้ตัวเท่านั้น

 

ผู้อาวุโสณีที่ยืนอยู่ข้างๆอาจารย์ กลับแสดงสีหน้าเคร่งขรึม “ ฮี! ยัยชั่ว ถ้าไม่ใช่เพราะแกท้องอยู่ ฉันจะตบแกให้ตายคามือเลยคอยดูซิ! ”

 

เสียงของผู้อาวุโสฉีเพิ่งเงียบลง คุณฉีที่คุกเข่าอยู่บนพื้นกลับค่อยๆเงยหน้าขึ้น เขาพูดกับผมว่า

 

“ ท่านนักพรตเสี่ยวติง คําพูดพวกนี้ คําพูดพวกนี้จะเอามาพูดส่งๆไม่ได้นะครับ… ”

 

“ ใช่ใช่ใช่ตัวจํา นี่เป็นเรื่องที่มันกุขึ้นมา! พวกเรารักกันขนาดนั้น จะมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นได้ยังไง?”

 

ภรรยาคุณฉีรีบเถียงทันที

 

ผมเงียบไปพักหนึ่ง แต่ก็ยังพูดว่า “ คุณฉี ผมแค่พูดแทน จะเป็นแบบนั้นจริงไหม ผมเองก็ไม่รู้ คุณลองคิดเองเถอะ !”

 

หลังจากที่คุณฉีฟังผมพูดจบ เขาก็ไม่มองผมต่อ แต่หันไปมองภรรยาของตัวเอง

 

ภรรยาคุณเห็นหน้าคุณฉีเคร่งขรึม ดวงตาแดงก่ำ และสัมผัสได้ถึงความโกรธของเขา “ ผัวจ๋า ผัวจ๋าไม่มีอะไรจริงๆ คุณต้องเชื่อฉัน! เชื่อฉันนะ ”

 

คุณจ้องภรรยา จากนั้นก็หันไปมองลูกชายที่กําลังนั่งร้องไห้อยู่ไม่ไกล และพูดออกมาด้วยเสียงทุ่มต่ํา

 

“ ฉันเชื่อเธอ แต่ฉันก็เชื่อพ่อมากกว่า! กลับบ้านไปฉันจะพาฉีเสี่ยวเทียนไปตรวจดีเอ็นเอ คือใช่ครึ่งปีแล้วซินะที่ฉันออกไปทํางานข้างนอก พวกเราไม่ได้มีอะไรกันเลยใช่ไหมละ ดังนั้นเธอก็น่าจะไม่ท้อง… ”

 

เมื่อภรรยาคุณได้ยินเขาพูดแบบนี้ เธอก็ตัวแข็งทื่อ ลูบท้องตามที่จิตใต้สํานึกบอก

 

เรื่องพวกนี้จะทําจริงรึเปล่า มีแต่ตัวเธอเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด

 

ตอนนี้เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของมือภรรยาคุณฉี และยังลูบท้องของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว

 

ผมก็มั่นใจทันที เรื่องนี้จะต้องเป็นเรื่องจริงอย่างน้อย 9 ใน 10 ส่วน

 

คุณสามารถสร้างตัวจากคนงานตัวเล็กๆมาเป็นมหาเศรษฐีพันล้านได้ นอกจากเรื่องดวงแล้ว ตัวเขาเองก็ต้องฉลาดและมีไหวพริบในการแก้ไขปัญหา

 

ขณะนี้ เมื่อเขาเห็นพิรุธ ใจเขาก็เย็นวาบ แต่เขาก็ยังตั้งความหวังเอาไว้บนเส้นบางๆว่าเรื่องนี้อาจเป็นแค่เรื่องโกหก

 

เขาไม่ได้คุยกับภรรยาต่อ แต่สูดหายใจเข้าลึกๆ สงบสติอารมณ์พักหนึ่ง หลังจากนั้นก็หันมาทางที่ผู้อาวุโสฉียืนอยู่ “ พ่อ ต่อไปผมจะทําตัวให้ดีกว่านี้ เรื่องที่พ่อบอก กลับไปผมจะตรวจสอบให้ชัดเจน ตอนนี้ดึกมากแล้วพ่อกลับไปเถอะ ! พรุ่งนี้เช้าผมจะพาท่านนักพรตตู๋และท่านนักพรตติงไปทําพิธีย้ายหลุมศพให้พ่อกับปู่ !”

 

ตอนพูดเรื่องพวกนี้ออกมา คุณฉีที่เคยทําหน้าเคร่งขรึม และกังวลแทบตาย ตอนนี้กลับสงบลงมาเยอะมาก

 

หลังจากพูดจบ เขายังคุกเข่าไปทางผู้อาวุโสฉี แล้วคํานับสามครั้งอย่างรวดเร็ว

 

ในเวลาเดียวกัน ผู้อาวุโสณีที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา เขามองมาคุณฉี

 

“ เฮ้อ !เวรกรรม! เวรกรรมจริงๆ !”

 

หลังจากพูดจบ ผู้อาวุโสฉีก็หมุนตัว เดินไปทางประตู

 

พวกเราก็ไม่ได้ห้าม และไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้ผู้อาวุโสฉีจากไป

 

ผู้อาวุโสฉีเพิ่งก้าวออกไปสองก้าว ร่างกายเขาก็เปลี่ยนเป็นภาพจางๆระเบิดกลายเป็นควันและหายไปทันที่…………

คลิปหลุด

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset