ศพ – ตอนที่ 247 เสียงจากโลง

 

ตอนที่ 247 เสียงจากโลง

 

เสียงตรงหน้าค่อนข้างเบา และผมก็ได้ยินเป็นคนแรก

 

วินาทีนั้น ผมรู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นในโลง

 

ร่างกายของผมจึงอดไม่ได้ที่จะตื่นกลัว กลัวว่าเจ้าสิ่งนั้นจะออกมาจริงๆ

 

เต่ตอนนี้ ของด้านในกลับเปลี่ยน

 

เมื่อกี่ยังดี ไปแล้ว

 

โชคดีที่โลงโลงนี้ถูกตอกตะปูเอาไว้แน่นหนา ถึงแม้จะเป็นผีดิบ ก็ไม่สามารถออกมาได้ทันที

 

ขณะที่ผมกําลังตกตะลึง คนขับรถแซ่ซูที่อยู่ข้างๆก็รู้สึกถึงความผิดปกติ เขาพูดด้วยความงุนงง

 

“ เถ้า เถ้าแก่ เหมือน เหมือนในโลงนี้ จะมีเสียงหายใจ !

 

เมื่อคุณได้ยินคําพูดนี้ หน้าเขาก็ชาในทันที “ จะเป็นไปได้ยังไง พ่อฉันตายไปจะ 10 ปีแล้วนะ !”

 

ขณะที่พูดเขาก็เอาหูแนบเข้ากับโลง แต่เมื่อลองฟัง “ เฮ้ย ” คุณฉีก็ร้องออกมาทันที ร่างกายถอยหลังไปโดยอัตโนมัติและชี้ที่โลงแล้วพูดว่า “ มี มีเสียงหายใจจริงๆ พ่อ พ่ออย่าอย่าแกล้งผมนะ… “

 

เมื่อเสียงร้องนี้ดังขึ้น มันก็ดึงดูดความสนใจของท่านนักพรตตู้และคนขับรถอีกสองคนที่แบกโลงอยู่ข้างหน้าทันที

 

ตอนนี้พวกเขากําลังแบกโลงอยู่ จึงทําได้เพียงหันมาจ้องพวกเราเท่านั้น

 

จู่ๆก็ได้ยินเสียงคุณฉีโวยวาย ทุกคนจึงอดเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาไม่ได้

 

วินาทีแรกท่านนักพรตต์และคนอื่นๆเดาออกทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นในโลงส่วนคนขับรถอีกสองคน

 

ตกใจจนขนหัวลุก และเกือบทําโลงฉีเต๋อหวางตกลงพื้น

 

ในเวลานี้ผมถึงได้สติคืนมา แต่ผมก็ไม่ได้เอะอะและหันไปมองอาจารย์ทันที

 

อาจารย์ทําหน้าหนักใจ เมื่อเห็นผมหันมา เขาก็พูดออกมาตรงๆ “ อย่าไปสนใจมัน รีบยกโลงขึ้น ! ยังไงคืนนี้โลงนี้ ก็ต้องลงไปอยู่ในดินขอแค่มันออกมาไม่ได้ อีกครึ่งปี มันก็จะกลับเป็นเหมือนเดิม

 

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ในใจของผมก็มีแสงแห่งความหวังสว่างขึ้นเล็กน้อย

 

ถึงผีดิบจะร้ายกาจ แต่มันก็เป็นเหมือนที่อาจารย์พูด ขอแค่มันออกมาไม่ได้ พวกเราก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว

 

คุณฉีและคนขับรถแซ่ซูยังคงกลัวอยู่ ช่วงเวลานั้นพวกเขายังคงยืนนิ่งไม่รู้ว่าควรทํายังไงต่อดี

 

แต่ผมเข้าไปเรียกสติของพวกเขาทันที “ ไม่ต้องตกใจ มันเป็นเรื่องปกติ เร็วรีบออกแรงดันต่อ ! อีกเดี๋ยวพอลง ไปในหลุมแล้วก็ค่อยเผาเงินกระดาษเพิ่มอีกหน่อย”

 

คนขับรถแช่ซูและคุณฉีแสดงท่าทางหวาดกลัว เมื่อคุณได้ยินผมพูดถึงขนาดนั้น เขาก็ตอบกลับด้วยความกลัว “ ได้ ” หลังจากนั้นเขาก็เดินเข้ามาแบบตัวสั่น เพื่อช่วยดันต่อ

 

แต่คนขับรถแซ่ซูกลับลังเล เห็นได้ชัดว่าเขาเริ่มกลัวแล้วจึงไม่อยากเข้ามาช่วย และเขายังกลืนน้ําลายไม่หยุด

 

แต่เมื่อเห็นเจ้านายของตัวเองและผมช่วยกันออกแรงหลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เขาก็เอื้อมมือไปข้างหน้าอีกครั้ง และเริ่มออกแรงดันโลง

 

ส่วนอาจารย์หยิบยันต์ปราบวิญญาณชั่วออกมา จากนั้นก็ไม่พูดพร่ําทําเพลงแปะลงบนฝาโลงทันที

 

แต่พูดแล้วก็ว่าแปลก ยันต์แผ่นนี้เพิ่งติดลงบนฝาโลง ก็โลงยังหนักสุดๆ จนพวกเราไม่สามารถขยับมันได้เลยสักนิด แต่ทันใดนั้นพวกเรากลับสามารถดันมันให้กลับมาอยู่ใน ตําแหน่งเดิมได้ทันที

 

เมื่อเห็นโลงกลับมาอยู่ในท่าเดิมแล้ว พวกเราสามคนก็รีบลุกขึ้น คว้าคานไม้ที่ใช้ยกโลงทันที

 

เมื่ออาจารย์เห็นพวกเราพร้อมแล้ว เขาก็สั่นกระดิ่งอย่างแรง “ กริ้งกริ้งกริ้ง” “ ยกโลง ! ”

 

หลังจากได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น พวกเราสามคนก็พร้อมใจออกแรงยกโลงขึ้นทันที

 

แต่เพิ่งยึดตัวตรง เตรียมตัวก้าวไปข้างหน้า โลงกลับหนักขึ้นประมาณ 500 กิโล จนทําให้ผมรู้สึกว่าตัวเองกําลังจมดิ์งลงไปเรื่อยๆ “ ปีก ” โลงนั่นสัมผัสกับพื้น “ อีกครั้ง”

 

การลงไปทั้งแบบนั้น ทําให้เอวของพวกเราสามคนเกือบเคล็ด

 

ไม่ใช่แค่นั้น ยันต์ปราบวิญญาณที่อาจารย์แปะเอาไว้บนฝาโลง ตอนนี้จู่ๆมันก็ฉีกออกเป็นสองสามแผ่น

 

ไม่ว่ายันต์จะร้ายกาจขนาดไหน แต่ถ้าถูกทําลาย มันก็ไม่มีพลังอะไรอีกแล้ว

 

เมื่ออาจารย์เห็นภาพนี้ เขาก็แอบพูดในใจว่าสมควรตายขณะเดียวกันก็หันไปพูดกับท่านนักพรตต์ว่า

 

“ เหล่าตู้ มีปัญหาแล้ว นายเอาโลงนั้นลงหลุมก่อน ผนกมันเอาไว้ก่อน ถ้าจัดการเจ้านี้ไม่ได้ คืนนี้งานไม่สําเร็จแน่ !

 

ท่านนักพรตต์เป็นคนฉลาด จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะมองออกว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น

 

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดถึงขนาดนั้น เขาก็บอกให้คนขับรถสองคนข้างหน้าเดินต่อทันที

 

ส่วนพวกเรายังไม่ได้ลุกขึ้น ก็ได้ยินเสียงแปลกๆ “ ครึกครืกครึก” ดังออกมาจากโลง เหมือนกับเสียงเล็บขูดไปทั่วโลง

 

ผมและอาจารย์ยังถือว่าดี เพราะยังสามารถสงบสติอารมณ์ได้ แต่คุณฉีและคนขับรถแซ่ซู กลับเริ่มกลัวแล้ว

 

ตอนที่เพิ่งลุกขึ้น พวกเขาก็แสดงท่าทางหวาดกลัว เดินถอยหลังตามจิตใต้สํานึก

คนขับรถแซ่ซูกลัวจนพูดออกมาไม่หยุด “ เถา เถ้าแก่ นี่ นี่มันคือเสียงอะไร ?”

 

คุณฉีเองก็กลัว เขาจึงไม่ตอบคําถาม

 

มองโลงแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองอาจารย์ “ ท่านนักพรตติง พ่อผม พ่อผมเป็น เป็นอะไรไป ? ”

 

อาจารย์ขมวดคิ้ว ตอนนี้เขาวางกระดิ่งลงแล้ว และดึงดาบไม้ออกมาเรียบร้อย

 

เมื่อได้ยินคุณฉีถาม เขาก็ตอบกลับด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ ศพของพ่อคุณ น่าจะกลายเป็นผีดิบแล้ว !”

 

“ ผี ผีดิบ ?” คุณฉีพูดด้วยความหวาดกลัว และไม่อยากเชื่อเท่าไหร่

 

แต่เสียงของเขาเพิ่งเงียบลง ทันใดนั้นในโลงก็มีเสียงดัง “

 

เสียงดังมาก เหมือนมีคนกําลังกระแทกฝาโลงจากด้านใน

 

การกระแทกครั้งนี้ ทําให้ตะปูที่ฝาโลงขยับ

 

หลังจากคนขับรถที่อยู่ข้างๆคุณได้ยินคําว่า “ ผีดิบ ” สองคํานี้เดิมทีเขาก็หลอนอยู่แล้ว

 

ตอนนี้จู่ๆก็ได้ยินคําพูดแบบนี้ เขาจึงตกใจ ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นทันที

 

แสดงสีหน้าหวาดกลัวและหวาดระแวง พร้อมกับมองโลงตาไม่กระพริบ

 

“ เสี่ยวฝาน อย่ายืนนิ่ง หยิบอาวุธออกมา !”

 

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็ตกใจ รีบวิ่งไปหากระเป๋าเครื่องมือข้างๆอาจารย์ แล้วดึงดาบไม้ออกมาทันที

 

ในเวลาเดียวกัน ในโลงนั้นก็มีเสียงดัง “ ปัง” อีกครั้ง

 

หลังจากเสียงนี้ ฝาโลงก็ถูกกระแทกให้เห็นช่องว่างเล็กๆและตะปูที่ยึดฝาโลงเอาไว้ก็หล่นลงมาหลายดอก

 

คุณฉีและคนขับรถแซ่ซูสติแตก ไม่รู้ว่าควรทํายังไง จึงทําตาเบิกกว้าง และจ้องโลงนั้นอย่างใจจดใจจ่อ

 

ส่วนผมเพิ่งดึงดาบไม้ออกมา “ ปัง ” เสียงก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

ขณะที่เสียงดังขึ้น ตะปูสองสามดอกสุดท้ายที่ยึดฝาโลงเอาไว้ ก็หลุดออก และล่วงลงพื้นทันที

 

กลิ่นเหม็นเน่าของศพ กระจายตัวออกมาอย่างรวดเร็วและปะทะเข้ากับหน้าของพวกเราทันที

 

และในโลงโลงนั้น ก็มีเสียงหายใจยาวๆและเบาๆดังขึ้น “ ฮือ ฮือ..”

 

ขณะเดียวกัน พวกเราก็เห็นร่างที่เปียกโชก ชุดคนตายขาดรุ่งริ่ง ร่างคนซีดขาวและผอมแห้งเหมือนกับไม้เสียบผี กําลังลุกขึ้นจากโลงอย่างช้าๆ

 

ดวงตาสีขาวโพน ไร้ชีวิตชีวา ที่หน้ายังมีขนสีขาวงอกออกมาเล็กน้อย

 

ตอนนี้เขากําลังยืนอยู่ในโลง ค่อยๆใช้จมูกดม เหมือนกับดมกลิ่นอาหารในอากาศ

 

“ ไม่ ! ไม่ ! ” ดวงตาของคุณฉีเบิกกว้าง ส่ายหัวไปมาปากพูดพึมพําด้วยความหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าเขากําลัง

 

กลัวสุดๆ

 

ส่วนคนขับรถแซ่ซูที่นั่งอยู่บนพื้น ม่านตาขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว เขากลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และยังแหกปากด้วยความกลัว “ ผี ผีดิบ ผีดิบ…”

 

หลังจากพูดจบ คนขับรถแซ่ซูก็ระงับความกลัวที่อยู่ในใจ เอาไว้ไม่อยู่เขารีบคลาน ลุกขึ้นและวิ่งออกไปทันที

 

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset