ศพ – ตอนที่ 255 สาเหตุ

ตอนที่ 255 สาเหตุ

 

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ แม้พวกเราจะสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่มันก็ไม่เคยมีอะไรชัดเจน

 

และยังมีเรื่องนี้ ทําไมฮวงจุ้ยดีขนาดนี้ ถึงมีการดองผีดิบเอาไว้ได้

 

ตอนนี้เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ก็เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะอยากหาสาเหตุที่แท้จริง

 

แถมยังได้ยินเรื่องขุดหลุมศพเมื่อปีก่อน หลังจากอาจารย์พึมพํากับตัวเองเสร็จ เขาก็พูดกับคุณฉีว่า

 

“ คุณฉี หลุมศพของผู้อาวุโสทั้งสองเคยโดนขุดเมื่อปีที่แล้วเหรอ?”

 

คุณฉีที่กําลังร้องไห้อยู่ เมื่อได้ยินอาจารย์ถาม เขาก็อึ้งในทันที หลังจากนั้นถึงได้ตอบกลับว่า

 

“ คือเรื่องขุดหลุมศพ… ใช่ครับมีอยู่ครั้งนึ่ง”

 

“ คือ…มีคนเคยขุดหลุมศพนี้จริงๆเหรอ? ” ท่านนักพรตตู๋ถามตามมาติดๆ

 

“ ครับ ! ก่อนหน้านี้ผมรู้สึกว่าดวงตก ทุกอย่างไม่ราบรื่นเหมือนใจคิด และคิดว่าจะครบ 10 ปีแล้ว ดังนั้นจึงหาหมอฮวงจุ้ยมาคนหนึ่ง หมอฮวงจุ้ยคนนั้นก็เคยมาที่นี่ ตอนนั้นเขาก็พูดว่าต้องย้ายหลุมศพ แต่หลังจากขุดลงไป จู่ๆหมอฮวงจุ้ยคนนั้นก็หัวใจวาย สุดท้ายก็ถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาล จึงไม่มีใครทําพิธีย้ายหลุมศพต่อ ดังนั้นผมจึงให้คนกลบดินเหมือนเดิม คิดว่าหลังจากที่หมอฮวงจุ้ยหายดีแล้ว ค่อยให้เขากลับมาย้ายหลุมศพใหม่ แต่หลังจากที่เขาเข้าไป เขาก็ไม่ได้กลับออกมาแบบมีชีวิต! เฮ้อเรื่องการย้ายหลุมศพนี้! จึงต้องรอให้คนอื่นมาแทน แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าย้าย จนกระทั่งถึงตอนนี้”

 

คุณฉีพูดช้าๆ เขาเล่าเรื่องเมื่อหนึ่งปีก่อนอย่างจริงจัง

 

แต่เมื่อพวกเราได้ยินเรื่องนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้า
ใจเต้นตุ๊บๆ

 

เหมือนคํากล่าวที่ว่า เมื่อเริ่มแล้วก็ต้องทําต่อไป

 

คุณฉีรนหาที่ตายชัดๆ เมื่อโลงศพโผล่โดนแสงแล้ว จะยังกลบดินฝังกลับไปทั้งแบบนั้นได้ยังไง?

 

นั่นเป็นการทําลายฮวงจุ้ยของหลุมศพ แล้วมันจะมีฮวงจุ้ยดีเลิศอยู่ได้ยังไง?

 

ท่านนักพรตตู๋อดถอนหายใจไม่ได้ “ งั้นก็ไม่แปลกแล้วละ ถ้าเป็นแบบนั้น ฮวงจุ้ยหลุมศพของเขาไป๋โช่ว

 

ก็คงถูกทําลายไปตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว เมื่อหลุมศพพัง บวกกับการเปลี่ยนแปลงของเขาไปโช่ว พื้นที่หลายแห่งค่อยๆเปลี่ยนเป็นฮวงจุ้ยชั่วร้าย ถึงจะเห็นไม่ชัด แต่โลงกลับเปลี่ยนเป็นโลงเลี้ยงศพ ศพมงคลกลายเป็นศพอัปมงคล จนได้เห็นแสงจันทร์ในคืนนี้อีกครั้ง เมื่อโลงตกพื้น มันถึงทําให้ศพลุกขึ้นมา…”

 

ท่านนักพรตตู๋มีความรู้กว้างขวาง เมื่อได้ยินคําพูดพวกนี้ เขาก็วิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมดได้ในทันที

 

อาจารย์และพวกเรา ก็ค่อนข้างเห็นด้วยกับการเดาและวิธีคิดของเขา

 

และผมก็ถามคุณฉีว่า “ คุณฉี ในเมื่อที่นี่เคยโดนขุดมาก่อน ทําไมก่อนหน้านี้คุณไม่รีบพูดออกมาละ?”

 

คุณฉีกลับแสดงสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรม “ พวกคุณ- พวกคุณก็ไม่ได้ถามนิ! ผมเห็นหลุมศพของพ่อกับปู่ไม่มีอะไรผิดปกติ เลยคิดว่าไม่มีอะไร!”

 

ผมกรอกตาด้วยความหดหู นี่เป็นหลุมศพคนตายนะ? ไม่ใช่ว่าอยากขุดก็ขุด อยากฝังก็ฝัง แถมยังทั้งขุดทั้งฝังในคราวเดียวกันอีก

 

ด้านฮวงจุ้ย นอกจากตําแหน่งหลุมศพจะพิเศษแล้ว หลุมศพส่วนใหญ่ก็ฝังได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น

 

ถ้าถูกขุดแล้ว ฮวงจุ้ยเรื่องโชคลาภก็จะหายไปด้วย

 

ดีกว่านี้ก็ว่าไปอย่าง ถ้าเปลี่ยนเป็นหลุมศพธรรมดา ปัญหาที่ตามมาก็จะไม่ใหญ่มาก

 

แต่นี่มันไม่เหมือนกัน ที่นี่คือเขาชวงเลิ้นไป๋โช่ว ถ้าฮวงจุ้ยถูกทําลาย รูปแบบก็จะเปลี่ยนแปลงไปทันที

 

จากดวงดีเป็นดวงซวย ดีเป็นร้าย และศพเปลี่ยนเป็นสิ่งชั่วร้าย

 

นี่ก็คือสาเหตุว่าทําไมศพของตาเฒ่าสองคนถึงได้กลายเป็นผีดิบ เพราะพวกเขาถูกฝังอยู่ในหลุมศพแบบนี้นั่นเอง และมันยังเป็นสาเหตุหลักที่ทําให้กลายเป็นผีดิบ สายดําอีกด้วย

 

หรือพูดได้อีกอย่างคือการขุดทําลายฮวงจุ้ยเปลี่ยนทุกสิ่ง ทุกอย่างให้กลับตาลปัตร

 

“ หลุมศพมังกร” อาบด้วยพลังชั่วร้าย และตําแหน่งของหลุมศพมังกรยังตรงกับตําแหน่งที่โลงทั้งสองตั้งอยู่พอดี โลงมงคลเปลี่ยนเป็นโลงเฮงซวย และในที่สุดก็กลายเป็นที่เลี้ยงศพ

 

ตอนนี้พวกเราเข้าใจแล้ว ความสงสัยเมื่อก่อนหน้านี้ ก็มีคําอธิบายแล้ว

 

ผู้อาวุโสฉีทั้งสองที่อยู่ข้างๆ ก็ทําท่าเหมือนเข้าใจในทันที ว่าทําไมในช่วงระยะ 1 ปีกว่านี้ พวกเขาถึงกลับเข้ามาโลงไม่

 

แต่ขณะที่ทุกคนกําลังจะทําพิธีต่อ นําศพของทั้งสองคนไปฝังในหลุมศพใหม่ ทันใดนั้นพี่เฟิงก็พูดออกมาอย่างกับคนเมา “ ฉันยืนฟังตั้งนาน พวกนายบอกว่าเมื่อปีที่แล้วหลุมศพกลายเป็นหลุมเฮงซวย รอบๆมีหลายที่ที่เปลี่ยนเป็นพื้นที่ชั่วร้าย ทั้งสองศพเลยเริ่มกลายเป็นผีดิบ แต่ฉันคิดว่ามันแปลกมากนะ? ทั้งสองศพนี้ฝังอยู่ที่นี่มาแปดเก้าปีแล้ว จะรักษาศพให้คงสภาพอยู่เหมือนเดิมได้ยังไง ? ฉันว่า! พวกเขาจะต้องโดนเล่นงานตั้งแต่เมื่อ 10 ปี ที่แล้วแน่ๆ”

 

เมื่อได้ยินพี่เฟิงพูดถึงขนาดนั้น ผมจึงคิดว่าที่เขาพูดมาก็มีเหตุผลเหมือนกัน มีศพอายุ 10 ปีที่ไหน ถูกฝังแล้วยังไม่เน่าบ้างละ ?

 

ผลลัพธ์เสียงของพี่เฟิงเพิ่งเงียบลง คุณฉีก็พูดขึ้นมาทันที “ ท่านนักพรตเสี่ยวเฟิง ผมจะพูดตรงๆ

 

ตอนนั้นขณะที่ฝังพ่อและปูของผมที่นี่ท่านปรมาจารย์คนนั้นเคยบอกว่า หลุมศพแบบนี้หาดูได้ยากในรอบร้อยปี ถ้าจะทําก็ทําให้ดีไปเลย ดังนั้นเขาจึงดองศพพ่อและปูของผมด้วยฟอร์มาลีน ใช้ผงหินปูนทาเอาไว้ข้างใต้ แล้วยังเคลือบศพด้วยขี้ผึ้งอีกชั้นหนึ่ง เพื่อไม่ให้สัมผัสกับอากาศ ในเวลาเดียวกันท่านนักพรตคนนั้นยังบอกว่า ถ้าอยู่ภายใต้การถนอมของฮวงจุ้ยที่นี่ ศพพ่อและปูของผมจะไม่มีวันเน่า….”

 

คุณฉีเพิ่งพูดถึงตรงนี้ โย่วฉายก็พูดแทรกขึ้นมา “ ลูกผมพูดถูกแล้ว ก่อนหน้านี้ร่างกายของผมและพ่อไม่เน่าเลยสักนิด ตอนนอนอยู่ก็สุขสบาย มันเริ่มตั้งแต่ปีที่แล้ว ผมกับพ่อถึงได้ทรมานสุดๆ และก็เข้าโลงไม่ได้อีก !”

 

หลังฟังพวกเขาพูดจบ ผม พี่เฟิง อาจารย์ และท่านนักพรตตู๋ถึงได้เข้าใจสาเหตุทั้งหมด

 

ถ้าลองวิเคราะดู ตอนนั้นคนที่เลือกฮวงจุ้ยให้ผู้เฒ่าฉีทั้งสอง จะต้องเป็นนักพรตสร้างสุสาน และไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ความรู้เรื่องฮวงจุ้ยจะต้องไต่ไปถึงระดับที่โลกต้องกลัว

 

“ เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยม ใช้ฮวงจุ้ยรักษาศพ ปกป้องโชคลาภให้เคลื่อนไปเรื่อยๆ คนตายตายตาหลับ คนเป็นไร้กังวล คิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะยังมีปรมาจารย์ฮวงจุ้ยที่เก่งถึงขนาดนี้อยู่ ถ้ามีโอกาสฉันละอยากเห็นกับตาตัวเองสักครั้ง! ” ท่านนักพรตตู๋อดชื่นชมไม่ได้ ทุกคนเองก็ชมเขาคนนั้นเช่นกัน จะเห็นได้ว่าท่านนักพรตตู๋ชื่นชมปรมาจารย์ฮวงจุ้ยคนนี้ขนาดไหน

 

อาจารย์เองก็พยักหน้ารัวๆ คิดว่าฝีมือของปรมาจารย์ฮวงจุ้ยคนนี้ทําให้คนตกตะลึง

ผมถามตามที่จิตใต้สํานึกบอก “ คุณฉี แล้วคุณจําชื่อนักพรตคนนั้นได้ไหมครับ? ”

 

คุณฉีนึกอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “ ผมจําได้รางๆ ท่านนักพรตแซ่ฉิน ชื่ออะไรไม่รู้ อายุไม่เยอะ

 

ตอนนี้น่าจะประมาณสี่สิบกว่าจะห้าสิบแล้วละ!”

 

“ นักพรตฉิน…” ผมพึมพํากับตัวเอง และแอบจําชื่อนี้เอาไว้ในใจ

 

อาจารย์และท่านนักพรตตู้หันมามองหน้ากัน แต่พวกเขาก็ส่ายหัวเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าพวกเขา ไม่รู้จักนักพรตฉินคนนี้เลยสักนิด

 

ตอนนี้ ทุกอย่างเข้าที่แล้ว ทุกคนจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

 

หลังจากพักกันแป๊บหนึ่ง พวกเราก็เริ่มทํางานที่เหลือ

 

ถึงผีดิบทั้งสองจะเพิ่งถูกจัดการเมื่อกี้ แต่ตอนนี้พวกเรายังต้องจุดธูปเผากระดาษ เพื่อคารวะศพตามมารยาท

 

เพราะคนขับรถสามคนวิ่งหนีไปแล้ว งานหลังจากนี้พวกเราจึงต้องพึ่งพาตัวเอง

 

เมื่อพวกเรานําศพทั้งสองลงไปในหลุมศพใหม่ และขุดดินฝังกลบเรียบร้อย ตอนนั้นก็เป็นเวลาที่สามแล้ว

 

เวลาที่คิดว่าจะทํางานเสร็จเมื่อก่อนหน้านี้คือห้ามทุ่ม แต่สุดท้ายพวกเรากลับใช้เกินมาถึง 4 ชั่วโมง

 

และยังเกือบต้องแลกด้วยชีวิต เมื่อลองย้อนกลับไปคิด ผมยังรู้สึกกลัวอยู่เลย

 

โชคดีที่สุดท้ายปู่หูลิ่วรีบออกมาช่วย ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาก็คงไม่ต้องพูดถึงเลยละ

 

ในเวลานี้คุณฉีกําลังขอบคุณพวกเราพันครั้งหมื่นครั้ง ผู้อาวุโสฉีทั้งสองก็คํานับพวกเราครั้งแล้วครั้งเล่า

 

หลังจากจัดการทุกอย่างอย่างเหมาะสม ไก่ก็ขันแล้ว

 

เมื่อพี่เฟิงได้ยินเสียงไก่ เขาก็กลับไปหลับลึก ให้เหล่าเฟิงออกมาควบคุมร่างกายอีกครั้ง

 

แต่ก่อนที่พี่เฟิงจะหลับ เขาดันพูดกับท่านนักพรตตู๋ต่อหน้าพวกเราว่า “ ตาเฒ่า เหลือเวลาอีก 3 เดือน นายต้องรีบแล้วนะ !”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset