ศพ – ตอนที่ 256 แก่นหยินแดง

ตอนที่ 256 แก่นหยินแดง

 

พวกเรายืนอยู่ข้างๆ จู่ๆก็ได้ยินพี่เฟิงพูดกับท่านนักพรตตู๋ว่า เหลือเวลาอีกแค่ 3 เดือน มันจึงทําให้ผมและอาจารย์งงกันทันที

 

แต่นี่คงเป็นเรื่องส่วนตัวของ พี่เฟิงและท่านนักพรตตู๋ ดังนั้นพวกเราจึงไม่ถามอะไร

 

แต่ท่านนักพรตตู๋กลับสูดหายใจเข้า แล้วพูดออกมาทันที “ หานเฉ่วเฟิง เธอไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก !

 

3 เดือนหลังจากนี้ ฉันจะหาของมาให้เจ้าเอง แต่เจ้าก็จําคําสัญญาของตัวเองเอาไว้ด้วยละ ”

 

“ งั้นก็ดี ในเมื่อนายจําได้อย่างชัดเจน งั้นฉันกลับไปก่อนนะ ! ” หลังจากพูดจบ พี่เฟิงก็พ่นลมหายใจออกมา ตาเหลือก ทันใดนั้นร่างของพี่เฟิงก็ล้มลง เขาสลบไปในทันที

 

ผมยืนอยู่ข้างๆ จึงประคองพี่เฟิงเอาไว้ได้ทัน

 

ผมรู้ ถ้าพี่เฟิงเป็นคนยอมมอบร่างให้โดยดี เหล่าเฟิงก็จะตื่นขึ้นมาได้ ในช่วงเวลาสั้นๆ

 

ขณะที่ผมกําลังประคองร่างของเฟิงเฉ่วหาน อาจารย์อดกวาดสายตามองเขาไม่ได้ หลังจากนั้นก็พูดกับท่านนักพรตตู๋ด้วยท่าที่หดหูใจ “ เหล่าตู๋ มีเรื่องอะไรกันเหรอ ? แถมมีเวลากําหนดด้วย ”

 

เมื่อท่านนักพรตตู๋ได้ยินอาจารย์ถาม เขาก็อดถอนหายใจไม่ได้ “ เมื่อ 3 ปีก่อน ฉันรับปากหานเฉ่วเฟิง

 

ว่าจะหาแก่นหยินแดงมาให้เขาหนึ่งเม็ด ถ้าทําไม่ได้ เขาจะเริ่มแย่งร่างมาจากเสี่ยวเฟิง ไม่เป็นวิญญาณรองที่ต้องหลับไหลอีกต่อไป”

 

จู่ๆก็ได้ยินท่านนักพรตตู๋พูดแบบนี้ ในใจของผมจึงอดไม่ได้ที่จะมีเสียงดัง “ กึก ” แก่นหยินแดง ไม่ใช่เรื่องตลก

 

แก่นหยินคืออะไร นั่นก็คือแก่นพลังของธาตุหยิน เป็นตัวบรรจุพลังหยินที่ทรงพลังเอาไว้ ซึ่งหลอมรวมกันในร่างกาย

 

ของสิ่งนี้มีจริงแต่เราเอามาได้ยาก ถ้าอยากได้สิ่งนี้ เราจะต้องฆ่าอีกฝ่ายก่อน

 

แต่ถ้าอีกฝ่ายตายแล้ว แก่นพลังหยินก็จะสลายไปด้วย ดังนั้นต้องใช้ฝีมือชั้นสูง ก็คือฆ่าในคราวเดียว

 

และรีบชิงแก่นพลังออกมา มันถึงจะคงสภาพอยู่ได้ ไม่อย่างนั้นในระยะเวลาไม่กี่นาทีนั้น แก่นพลังหยินก็จะหายไปโดยอัติโนมัติ

 

ถึงเจ้าสิ่งนี้จะสามารถออกมาจากวิญญาณได้ แต่ถ้านํามาใช้ให้ดี มันก็ถือเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง

 

เพราะสามารถใช้ซ่อนตัวจากภูติผีได้

 

เรื่องรูปร่างนั้น ก็เหมือนสร้อยที่เสี่ยวม่านสวมเอาไว้ก่อนหน้านี้ มีลวดลายแกะสลักงดงาม

 

มองดูแล้วเหมือนกับหยกเนื้อดีชิ้นหนึ่ง

 

พวกเราสู้กับผีมามากมาย แต่กระทั่งถึงตอนนี้ พวกเราก็ยังไม่ได้ของสิ่งนี้มาครอบครอง จะเห็นได้ว่าของสิ่งนี้หายากขนาดไหน

 

แต่มันยังไม่จบเท่านี้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ คําพูดที่ท่านนักพรตตู๋พูดออกมา “ แดง”

 

แดงคืออะไร มันก็คือแก่นพลังหยินของผีร้ายชุดแดง

 

ผีแบ่งเป็น 5 ระดับ ขาว เหลือง แดง เขียว และม่วง

 

สีแดงอยู่ในอันดับที่สาม จะเห็นได้ว่าลําดับของผีนั้นหายากแค่ไหน

 

จนถึงตอนนี้ พวกเรายังไม่เคยเจอผีชุดแดงเลยสักครั้ง จึงไม่ต้องพูดถึงแก่นพลังหยินของมันเลย

 

ผมและอาจารย์อดขมวดคิ้วไม่ได้ แต่คุณฉีที่ยืนอยู่ข้างๆกลับเงี่ยหูฟังอย่างเงียบๆ

 

ในเวลานี้เขายังอ้าปากถามว่า “ ท่านนักพรตทุกท่าน อะ อะไรคือแก่นหยินแดง หาซื้อได้ที่ไหน พวกคุณช่วยผมถึงขนาดนี้ แค่คุณบอกสถานที่มา ผมตัวแทนตระกูลฉีจะไปซื้อมาให้พวกคุณทันที ! ”

 

คุณฉีก็เป็นคนดีเช่นกัน ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจว่าพวกเรากําลังคุยอะไร

 

แต่เมื่อเห็นพวกเราต้องการเจ้าสิ่งนี้มาก เขาก็อยากให้ตัวเองมีส่วนร่วมด้วย

 

แต่ท่านนักพรตตู๋กลับยิ้มอย่างขมขืน “ ขอบคุณในความหวังดีของคุณฉี แต่แก่นหยินนี้คือแก่นพลังหยินที่ทรงพลังของวิญญาณ เกิดและตายไปพร้อมกับมัน มีอยู่ทุกทีแต่เอามาครอบไม่ได้ง่ายๆ !”

 

เมื่อคุณได้ยินคําพูดนี้ เขาก็หน้าซีดทันที

 

เขายังคิดว่า เจ้าแก่นหยินนี้อาจเป็นแค่ยาราคาแพง หรือไม่ก็หยกล้ำค่า แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นแก่นพลังหยินของผี

 

ขณะที่คุณฉีกําลังตกใจและเลิ่กลั่ก เหล่าเฟิงก็ค่อยๆลืมตาขึ้น เขาได้สติแล้ว

 

เหล่าเฟิงเพิ่งตื่นขึ้นมา เขาก็กวาดสายตามองรอบๆ ขณะเดียวกันก็พูดออกมาว่า “ เป็นไงบ้าง ? จัดการผีดิบสองตัวนั้นได้แล้วเหรอ ? ”

 

“ เรียบร้อยแล้ว เอาศพไปฝังใหม่แล้วด้วย ! ” ผมตอบกลับทันที

 

เมื่อเหล่าเฟิงฟังจบ เขาก็พยักหน้าเล็กน้อย “ เสร็จแล้วก็ดี! แล้วทําไมพวกคุณมองผมแบบนี้ละ ?”

 

เฟิงเฉ่วหานเห็นสายตาแปลกๆของพวกเรา เขาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

 

ท่านนักพรตตู๋รีบหลบสายตา “ ไม่ ไม่มีอะไร !”

 

หลังจากพูดจบ ท่านนักพรตตู๋ก็บอกให้พวกเราออกไปจากที่นี่

 

ถึงเหล่าเฟิงจะเป็นคนเย็นชา แต่เขาก็ฉลาด มองออกว่าบรรยากาศมันไม่ถูกต้อง

 

บวกกับเมื่อกี้เขาเพิ่งถูกหานเฉ่วเฟิงควบคุมร่ายกาย เขาจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ อาจารย์ เขาพูดอะไรใช่ไหม ? ”

 

ไม่รอให้ท่านนักพรตตู๋พูดออกมา อาจารย์ผมก็ตะโกนอยู่ข้างๆ “ พี่ของแกให้อาจารย์ของแกไปหาแก่นหยินแดง !”

 

เมื่อเหล่าเฟิงได้ยินคําพูดนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที “ สมควรตาย อาจารย์ไม่ต้องไปสนเขา ร่างเป็นของผม

 

ถึงเขาคิดจะยึดมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอก”

 

ท่านนักพรตตู๋ไม่ได้พูดอะไร เพียงยิ้มออกมาเล็กน้อย

 

ทุกคนไม่รู้จะพูดอะไรดี และไม่รู้ว่าท่านนักพรตตู๋ไปตกลงกับพี่เฟิงได้ยังไง แต่ตอนนี้ เป็นไปไม่ได้

 

ที่พวกเราจะหาแก่นหยินแดงเจอ…..

 

หลังจากนั้น ทุกคนก็ไม่คิดจะอยู่ตรงนี้ต่อ ต่างคนต่างหมุนตัวเดินกลับไปที่หมู่บ้านทันที

 

ระหว่างทาง ผมยังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ให้เหล่าเฟิงฟังทั้งหมด

 

ระหว่างฟังเฟิงเฉ่วหานก็สงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ เขาคอยคิดหาสาเหตุตลอดทั้งเรื่อง

 

ตอนนี้ทุกอย่างกลับมาดีแล้ว เมื่อจัดการศพทั้งสองเรียบร้อย งานของพวกเราก็ถือว่าเสร็จสิ้น เหลือแค่รอรับเงินแล้วเดินทางกลับบ้านเท่านั้น

 

ทุกคนเหนื่อยมาก เมื่อเข้าไปในบ้านก็ล้มตัวลงนอน คิดว่าจะได้พักผ่อนอีกหน่อย

 

แต่ขณะที่ผมนอนอยู่บนเตียง จะทํายังไงผมก็นอนไม่หลับ ในหัวของผมกําลังคิดเรื่องแก่นหยินแดงตลอด

 

ผมคิดว่า การได้เจ้าสิ่งนี้มาครองเหมือนกับการถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง มันแทบไม่มีโอกาสเลยสักนิด

 

ถ้า 3 เดือนหลังจากนี้ ท่านนักพรตตู๋หาแก่นหยินแดงมาให้พี่เฟิงไม่ได้ งั้นต่อไปเหล่าเฟิงจะไม่ควบคุมร่างกายได้อย่างลําบากเหรอ ?

 

ดังนั้น ผมจึงอดถามเหล่าเฟิงไม่ได้ “ เหล่าเฟิงหลับรึยัง ? ฉันมีเรื่องจะถาม

 

“ เรื่องแก่นหยินเหรอ ? ” เฟิงเฉวหานไม่หลับตาด้วยซ้ำ เขาพูดออกมาเบาๆ

 

“ ใช่ ฉันอยากรู้ว่า ทําไมพี่เฟิงต้องอยากได้เจ้านั้นด้วย ? แถมแก่นหยินของผีชุดแดง ก็ไม่ได้หาง่ายขนาดนั้น ทําไมลุงตู๋ถึงได้รับปากเรื่องพันนี้ละ ?”

 

เมื่อเฟิงเฉ่วหานได้ยินคําพูดนี้ เขาก็ไม่ได้ตอบกลับทันที เขาถอนหายใจออกมา หลังจากนั้นก็ค่อยๆลุกขึ้น

 

จุดบุหรี่ให้ตัวเอง หลังจากนั้นถึงพูดว่า “ ที่จริงเรื่องนี้ต้องโทษฉัน ! ”

 

“ โทษนาย ? ” ผมขมวดคิ้ว

 

เหล่าเฟิงพยักหน้า “ ใช่ เมื่อ 3 ปีก่อนฉันกับอาจารย์ไปเจอผีน้ำที่มณฑลซานซี แต่เจ้าผีน้ำตัวนั้นร้ายกาจมาก ตอนนั้นพวกเราคนปราบสิ่งชั่วร้ายมีกันทั้งหมด 6 คน ตายไป 3……..”

 

หลังจากนั้น เหล่าเฟิงก็เล่าเรื่องผีน้ำมณฑลซานซีเมื่อ 3 ปีก่อนให้ผมฟังหนึ่งรอบ

 

บอกว่าเมื่อสามปีก่อนเหล่าเฟิงและท่านนักพรตตู๋เดินทางไปที่มณฑลซานซี เพราะได้ยินว่ามักมีคนตายที่แม่น้ำ ทั้งสองคนจึงเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น

 

ระหว่างนั้นก็พบกับคนปราบสิ่งชั่วร้ายอีก 4 คน รวมกับพวกเขาเป็น 6 คนพอดี

 

ท้ายที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงที่หมาย หลังจากตรวจดูแล้ว พวกเขาก็พบว่าในแม่น้ำสายนั้นมีผีน้ำสิงอยู่หนึ่งตน

 

เพราะตายอย่างไม่เป็นธรรม หลังจากตายไปจึงกลายเป็นผีร้าย คอยพรากชีวิตคนอยู่ตามแม่น้ำ

 

เพื่อจะกําจัดผีน้ำตนนี้ สามารถพูดได้ว่าทั้งหกคนพยายามใช้ทุกวิถีทาง แถมสุดท้ายคนปราบผียังตายไปถึง 3 คน

 

เพราะเฟิงเฉ่วหานช่วยป้องกันการโจมตีให้ท่านนักพรตตู๋ครั้งนึง จึงได้รับบาดเจ็บสาหัส สุดท้ายก็เปลี่ยนให้พี่เฟิงออกโรง พวกเขาถึงฆ่าผีน้ำได้ ทําให้แม่น้ำสายนั้นกลับมาสงบสุขอีกครั้ง

 

แต่ร่างกายบาดเจ็บหนัก ทําให้เฟิงเฉ่วหานควบคุมร่างกายไม่ไหว

 

เมื่อหานเฉ่วเฟิงเห็น เขาก็อยากใช้โอกาสนี้ กดเหล่าเฟิงเอาไว้ และยึดอํานาจควบคุมร่างกายมาเป็นของตัวเอง ทําให้เหล่าเฟิงกลายเป็นวิญญาณรอง

 

เป็นธรรมดาที่ท่านนักพรตตู๋จะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น ถ้าไม่ใช่เหล่าเฟิงปกป้องเขาเอาไว้ ท่านนักพรตตู๋ก็คงตายไปแล้ว

 

หลังจากทําข้อตกลงกันเรียบร้อย ท้ายที่สุดท่านนักพรตตู๋ก็สัญญาว่าจะหาของสามอย่างมาให้พี่เฟิง

 

โดยมีเส้นตายเป็นตัวกําหนด ให้เขาเลิกล้มความคิดที่จะยึดร่างของเหล่าเฟิง

 

ถ้าทําไม่ได้ ในอนาคตเขาจะเข้าไปยุ่งระหว่างการชิงร่างของพี่เฟิงหรือเหล่าเฟิง

 

พี่เฟิงชั่งน้ำหนักซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่สุดท้ายก็ยอมตกลง

 

ตอนนี้ของสองในสามอย่างที่ว่า เขาหามาได้แล้ว เหลือเพียงแก่นหยินแดงอย่างสุดท้าย ที่ยังไม่ได้มาอยู่ในมือ

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset