ศพ – ตอนที่ 267 เจอผีอีกตัว

จู่ๆก็ได้ยินเสียงคุยกัน และยังเป็นเสียงที่คุ้นหู เราสามคน จึงมั่นใจได้ทันทีว่าคนที่กําลังพูดอยู่คือผีลามกที่เราตามหา มาทั้งคืน

ผมเลิกคิ้วขึ้น รีบลดระดับลมหายใจและพลังหยางบนร่างทํามือส่งสัญญาณให้เหล่าเฟิงและหยางเนิ่วหมอบลง ซ่อนตัวให้พ้นจากสายตาศัตรู

จากนั้นพวกเราก็หันมาสบตากัน แล้วเขยิบเข้าไปอย่างช้าๆ

หลังจากเราค่อยๆเปิดพุ่มไม้ตรงหน้า และมองผ่านช่องว่างที่เปิดออก

ก็จะสามารถมองเห็นป่าไผ่ในแนวเฉียง ตอนนี้กําลังมีใครสองคนยืนอยู่ถ้าพูดให้ถูกน่าจะเป็นผู้สองตน

เป็นผีผู้ชายสองคน ล้วนใส่ชุดคนตาย เท้าไม่ติดพื้นหน้าขาวจนน่าตกใจพวกเขากําลังคุยอะไรกันอยู่สักอย่าง

หนึ่งในนั้นค่อนข้างอ้วน มีพุงใหญ่มากๆ ท่าทางเป็นลุงวัยกลางคนคนหนึ่งส่วนอีกตนกลับผอมสูง ใบหน้าดุร้าย

เพิ่งเห็นถึงตรงนี้ จู่ๆผีผอมสูงตนนั้นก็พูดขึ้นมาว่า“ เจ้าแน่ใจนะ ? ว่าไม่มีใครตามเจ้ามาจริงๆ”

นี่คือเสียของผีแปลกหน้า ส่วนเจ้าอ้วนอีกตนน่าจะเป็นเจิงต้าจือผีลามกที่เราตามหา

เพิ่งต้าจือรีบส่ายหน้า “ พี่เก้าท่านสบายใจได้เลยข้าสลัดพวกมันพ้นแล้วแถมร่างตุ๊กตาสีทองของข้าก็เอามาแล้วท่านดูซิไม่มีร่างตุ๊กตาสีทองแล้วพวกมันหาข้าไม่เจอแน่นอน !

“ งั้นก็ดี ! เรื่องของเจ้าข้าต้องพยายามขอร้องอาจารย์ให้แน่นอนขอแค่อาจารย์เอ่ยปาก ทางนักพรตจางนั่นก็ต้องไม่ มีปัญหาอะไรแน่ๆ!”ผู้ชายสูงผอมพูดเบาๆ

เมื่อเจิงต้าจือได้ยินคําพูดนี้ ก็ดีใจขึ้นมาทันที่ใบหน้า เต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ พี่ พี่เก้า งั้นก็ขอบคุณท่าน มากเลย……

“ ติงฝาน เฟิงเฉิวหาน ตอนนี้พวกเราควรทํายังไงดี ? ” หยางเนิ่วลดเสียงลงต่ําเธอถามด้วยความสงสัย

ผมและเพิ่งเฉ้วหานมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ ได้ยินผมพูดว่า “ผีที่โดนเรียกว่าพี่เก้าตนนี้ น่าจะไม่ใช่ผีดี อะไร ในเมื่อมาแล้วงั้นก็จัดการทีเดียวเลยก็แล้วกัน ”

เมื่อเหล่าเฟิงได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็พยักหน้าอย่างหนัก แน่น “ ถ้าเราแอบเข้าไปต้องทําสําเร็จแน่ๆ !”

ผมและเหล่าเพิ่งมีความคิดแบบเดียวกันหยางเฉ่วก็ไม่ ได้พูดอะไรออกมา

หลังจากนั้น พวกเราก็คุยกันเบาๆสองสามประโยคแล้วถึงได้แยกกันออกเป็นสามทาง เริ่มล้อมผีสองตนนี้เอาไว้

ส่วนเจิงต้าจือและผีอีกตน ตอนนี้ยังคุยกันอยู่

ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคําพูดหยาบคายทั้งนั้น และยังมีคำพูดประเภทจะเล่นกับผู้หญิงยังไง ช่างน่ารังเกียจจริงๆ

เห็นได้ชัดว่าผีทั้งสองตนนี้ไม่ใช่ผีดีอะไร ดังนั้นยังไงก็ต้องจัดการพวกเขา

แต่นอกจากนี้แล้ว ก็ยังมีคําบางคําที่เราคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่บ้างเช่นอาจารย์ งาน นักพรตจาง

แม้จะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ผมก็สัมผัสถึงบางอย่างลางๆจากจุดนี้คนที่อยู่เบื้องหลังผีลามกกระจอกตัวนี้ คงไม่ได้มี แค่นักพรตจางคนเดียวแล้ว

ดูเหมือนเบื้องหลังของนักพรตจาง ยังมี “ อาจารย์ ” คนที่อยู่สูงกว่าเขาอีกหนึ่งคน

พวกเขาถูก “ อาจารย์ ” คนนี้สั่งให้ทํางานบางอย่างให้สําเร็จ

ส่วนคนที่มอบงานและเป็นตัวกลางของงานนี้ ดูเหมือนจะเป็นนักพรตจางคนนั้น

ผมฟังไปและหย่องเข้าไปพร้อมกัน

จนถึงตอนนี้ก็ได้แค่ข้อมูลที่จํากัด จึงไม่สามารถสรุปหาต้นสายปลายเหตุได้ทันที

หลังจากเข้าไปอย่างช้าๆ ในที่สุดพวกเราก็มาอยู่ใกล้ๆผีสองตนแล้วเข้าไปอยู่ในตําแหน่งที่ควบคุมได้แล้ว

อยู่ห่างจากผีทั้งสองตนแค่ห้าเมตรเท่านั้น

ตําแหน่งนี้ ผมไม่กล้าหายใจแรงเพราะกลัวว่าศัตรูจะรู้ ตัวซะก่อน

ผมถือดาบไม้เอาไว้ในมือกวาดสายตามองเหล่าเพิ่งและหยางเนิ่วที่อยู่รอบข้าง

พวกเขาสองคนก็พร้อมแล้วแถมยังพยักหน้าให้ผมรอเพียงคําสั่งให้ลงมือเท่านั้น

เห็นผีสองตัวหัวเราะไม่หยุด ผมละกัดฟันแล้วกัดฟันอีกและแล้วผมก็ไม่ลังเลอีกต่อไป

โบกมือขวาหนึ่งครั้ง แล้วจากนั้นก็พุ่งออกไปทันที

ทางด้านเหล่าเฟิงและหยางเนิ้วเห็นผมโบกมือก็ไม่ลังเลเช่นกันพวกเขาก็ไม่ส่งเสียงใดๆ ราวกับดวงวิญญาณที่เงีย บงัน แบ่งออกเป็นสามทางพุ่งตรงไปหาผีสองตนนั้นทันที

พวกเราออกมาปรากฏตัวอย่างกระทันหัน ดาบไม้ในมือตรงเข้าไปหาผีทั้งสองตน

ด้วยความที่ผีทั้งสองตนกําลังยังยิ้มหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน จึงไม่ได้เตรียมตัวรับมืออย่างสมบูรณ์

หลังพวกเราออกจากพุ่มไม้ พวกมันยังไม่ได้ตอบสนองใดๆเพียงจ้องมองด้วยความตะลึงงัน

ระยะห่างเพียงห้าเมตรจะไกลสักเท่าไหร่เชียว แถมพวกเรายังวิ่งอย่างเต็มกําลัง

จนกระทั่งพวกเราสามคนเข้ามาในระยะสังหารฝีที่ถูกเรียกว่า “ พี่เก้า ” ถึงดึงสติกลับมาได้ “ รีบหลบเร็ว ! ”

หลังจากพูดจบ เขาก็ดึงตัวเจิงต้าจืออย่างรุนแรง

ในเวลาเดียวกัน การจู่โจมอย่างกระทันหันของเราสามคนคมดาบทั้งสามเล่มกลายเป็นเส้นเดียว ต่างแทงออกไปตรงๆ

เจิงต้าคือตกใจจนไม่เหลือสติคิดไม่ถึงว่าในเวลานี้พวกเราสามคนจะไล่ตามมาถึงที่นี่ แถมยังออกมาโจมตีอย่างกระ ทันหัน เขาจึงตกตะลึงในทันที

ผีที่ถูกเรียกว่าพี่เก้าตนนั้น กลับมีความสามารถอยู่บ้าง

แม้จะมีการตอบสนองแบบเร่งรีบ แต่เขาไม่เพียงหลบคมดาบของพวกเราได้ยังลากตัวเพิ่งต้าจือหลบคมดาบของเราได้อีกด้วย

หลังจากผีทั้งสองตนหลบพ้นแล้ว ก็รีบลอยถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว

พวกเราสามคนแทงเข้ากับอากาศ จึงอดไม่ได้ที่จะไม่พอใจรีบหันไปมองศัตรูทันที พวกเราไม่ได้หยุดหรือลังเลแต่ อย่างใดพลิกมือโจมตีต่อทันที

เพิ่งต้าคือตกใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อเห็นพวกเราตามมาฆ่ามันก็พูดด้วยเสียงติดอ่างว่า “ พี่ พี่เก้าพวกพวกมันนี่แหละ… ”

ผีสูงผอมทําหน้านิ่ง ทันใดนั้นเองมันก็ตะโกนมาทางพวกเรา “ สวรรค์มีทางให้เดิน แต่พวกแกกลับเลือกมาหาประตูนรก ”

หลังจากพูดจบ ร่างของผีตัวนั้นก็กลายเป็นหมอกในชั่วอึดใจทั่วทั้งร่างก็แพร่หมอกสีดําออกมา

พลังชั่วร้ายระเบิดออกมาทันที

ทันใดนั้นความรู้สึกหนาวเย็นก็แล่นพล่านไปทั่วร่างพลังหยินเข้มข้นสุดๆ อากาศรอบๆลดลงอย่างรวดเร็ว

พวกเราขนลุก อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นยังไงวันนี้เราก็ต้องจัดการผีสองตนนี้ให้ได้

สีหน้าของผมเคร่งขรึม พร้อมพูดออกมาว่า “ ฉันว่าพวกแกละซิที่ควรไปลงนรก !”

หลังจากพูดจบ ผมก็โจมตีต่อทันทีดาบไม้ในมือมุ่งไปที่หัวผีผู้ชายตนนั้น

ผีผู้ชายตนนั้นก็แยกเขี้ยวกรีดร้องโหยหวนพุ่งเข้ามาเผชิญหน้า

แม้พวกเราจะมีกันถึงสามคนแต่มันก็ไม่มีทีท่าหวาดกลัวเลยสักนิด

“ รนหาที่ตาย ! ” เหล่าเฟิงก็พูดอย่างเย็นชาโจมตีซึ่งหน้าเช่นกัน

ในขณะที่ดาบไม้กําลังแทงเข้าไปที่ร่างผีผู้ชายตนนั้นผีผู้ชายตนนั้นก็ยกมือขึ้นใช้กรงเล็บปัดดาบของผมและ เหล่าเฟิง

“ ปังปัง ” เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังแปลกประหลาดบางอย่างสาดเข้ามาทําให้ง่ามมือของเราสองคนชาในทันที ส่งผลให้ดาบในมืดหล่นตามมาติดๆ

ส่วนผีตัวนั้น กลับอ้าปากกว้าง หมายจะกัดคอของผม

แต่ไม่รอให้มันเข้ามาใกล้ หยางเนิ่วก็เข้ามาโจมตีจากอีกทางด้านหนึ่ง

“ พี่เก้าระวัง ! ” เฉิงต้าจือที่ซ่อนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่โผล่หน้าออกมาเตือนอย่างกระวนกระวาย

ผีผู้ชายตนนั้นหันมามองอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นหยางเฉวกําลังเข้ามาโจมตีมันก็พ่นควันสีดําออกมา

ควันสีดําพุ่งตรงไปที่หน้าของหยางเนิ่ว

หยางเนิ่วตกใจ จึงรีบเบี่ยงตัวหลบทันที

ส่วนผมและเพิ่งเฉ่วหานก็ใช้โอกาสนี้ หยิบดาบไม้ขึ้นมาแล้วเข้าไปโจมตีผีผู้ชายอีกครั้ง

แต่ผีที่ถูกเรียว่า “ พี่เก้า ” ตรงหน้า กลับดุร้ายผิดปกติมีวิธีต่อสู้หลากหลายไม่อาจเทียบกับเจิงต้าจือที่เราไล่ตามหามาตลอดตนนั้นได้เลย

ตอนนี้เราเริ่มโจมตีใหม่อีกครั้ง ด้วยจํานวนคนสามรุมหนึ่งเราจึงคิดจะบดขยี้แล้วจับตัวเอาไว้

แต่ผีตนนี้กลับไม่กลัวเลยสักนิด ไม่เพียงไม่ถอยกลับกันยังรอให้พวกเราเข้าไปโจมตี ใช้ความแข็งแกร่งโต้กลับพวกเรา

ร่างกายเหมือนภาพลวงตา มือเหมือนกรงเล็บอินทรีย์ แถมยังคล่องแคล่วและรุนแรงมาก

เพียงพึ่งกําลังของตัวเองก็สามารถสู้ได้ทัดเทียมกับพวกเราทั้งสามคนแล้ว

ในเวลานี้ แม้แต่เจิงต้าคือที่หลบอยู่หลังต้นไม้ ก็ยังออกมาลองดูสักตั้ง เขายืนรออยู่นอกวงรอให้เราเปิดช่องโหว่เขาจะได้ใช้โอกาสนั้นปลิดชีวิตเราในทันที

แต่เรามีฝีมือแค่นี้เหรอ ?

หากเจ้าผีร้ายคิดจะใช้พลังเพียงน้อยนิดนี้สู้กับพวกเรางั้นมันก็เป็นเพียงแค่ฝันลมๆแล้งเท่านั้น

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset