ศพ – ตอนที่ 268 ยันต์สามแผ่นรวด

ตอนที่ 268 ยันต์สามแผ่นรวด

 

ผีร้ายเริ่มดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร

 

แต่ เราสามคนไม่ได้มีฝีมือแค่นี้

 

ผมหันหน้าไปพูดกับหยางเฉ่วและเหล่าเพิ่งตรงๆ “ ใช้ยันต์ ! ”

 

พวกเราสามคน ไม่ได้มีวิชาดาบอะไรที่ร้ายกาจที่สุดสําหรับพวกเรา ดาบไม้พวกนี้เป็นแค่อาวุธเท่านั้น

 

มันไม่สามารถแสดงความสามารถของเราออกมาได้เต็มที่ 

 

สิ่งที่พวกเราเก่งที่สุด ยังเป็นยันต์เหมือนเดิม

 

ยังไม่พูดถึงวิชายันต์สะกดที่ร้ายกาจที่สุดของหยางเฉ่ว เพียงแค่ขั้นสามอย่างของผมคนเดียว ยันต์อัญเชิญเทพติงเจี่ย 12 องค์ ยันต์สยบวิญญาณ ยันต์ปราบมารร้ายในกลุ่มอักษร “ ทําลาย ” แค่นําสามยันต์นี้มารวมกัน

 

ก็มากเกินพอสําหรับผีตนนี้แล้ว

 

เสียงเพิ่งเงียบลง เราสามคนก็ถอยหลังไปสองสามก้าว

 

ในขณะเดียวกัน ก็หยิบยันต์ขึ้นมาหนึ่งแผ่น

 

เราสามคนก็รู้จักกันพอสมควร ตามกําจัดผีร้ายด้วยกันไม่ใช่แค่วันสองวัน

 

ปกตินอกจากเล่นเกมแล้ว พวกเรายังนัดเจอกันปรึกษาเรื่องวิธีปราบผีอีกด้วย จึงถือว่าพวกเรารู้ใจกันพอสมควร 

 

ก่อนหน้านี้ มีความคิดบางอย่าง เพียงแค่ไม่มีโอกาสได้ลองทําดูเท่านั้น

 

ตอนที่ผมพูดขึ้นมาอย่างกระทันหัน เหล่าเฟิงและหยางเฉ่วก็เข้าใจในทันที พวกเขาจึงเตรียมตัวลองใช้จริงสักครั้ง

 

หยางเฉ่วเชี่ยวชาญยันต์สะกด เหล่าเฟิงชํานาญยันต์สยบ ส่วนตัวผมถนัดยันต์ทําลายล้างที่สุด

 

หรือก็คือยันต์สามประเภท “ สะกด สยบ ทําลาย ”

 

ขณะที่นํายันต์ออกมา ผีผู้ชายตนนั้นก็ไม่ใส่ใจเลยสักนิด มันคําราม “ โฮก ” ครั้งนึง แล้วพุ่งเข้าหา

 

หยางเฉ่วที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

 

หยางเฉ่วเห็นผีตนนั้นพุ่งเข้ามา มุมปากก็ยกยิ้มอย่างเย็นชา

 

เธอสะบัดยันต์ไปข้างหน้า ทันใดนั้นมันก็ลอยออกไปทันที ขณะเดียวกันมืออีกข้างหนึ่งก็ประสานเป็นรูปดาบ

 

ผีผู้ชายเห็นยันต์ลอยเข้ามา จึงรีบดึงตัวหลบอย่างรวดเร็ว 

 

หลังจากหลบยันต์แล้ว มันก็ยังทําหน้าได้ใจ เหมือนอีกไม่นานหยางเฉ่วก็จะตายด้วยมือของมัน

 

แต่หยางเฉ่วกลับไม่ได้รู้สึกอะไร ทันใดนั้นเธอก็พูดขึ้นมาว่า “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง ทําลาย !”

 

เสียงเพิ่งเงียบ ยันต์ที่ลอยออกไปแผ่นนั้น ก็ “ ฟู่” ลอยตรงไปหาผีผู้ชายตนนั้นทันที

 

บางที่อาจเป็นเพราะผีตนนั้นคิดไม่ถึงว่ายันต์ที่ลอยออกมาแผ่นนี้ จะสามารถควบคุมได้ดั่งใจคิด

 

นี่ก็เป็นจุดที่ร้ายกาจของหยางเฉ่ว และยังเป็นยันต์ที่หยางเฉ่วถนัดที่สุดอีกด้วย

 

แน่นอน ว่ามันอยู่ใกล้มาก ตอนนี้อยู่ห่างเพียงหนึ่งเมตรเท่านั้น

 

แต่หนึ่งเมตรก็เพียงพอแล้ว หนึ่งเมตรก็สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ได้แล้ว

 

โดยเฉพาะสถานการณ์ในปัจจุบัน ผีกําลังประมาท เราสามารถโจมตีที่เผลอกับมันได้ทันที

 

ยันต์แผ่นนั้นเร็วมาก ไม่รอให้ผีผู้ชายตอบโต้ มันก็แปะเข้าไปที่หลังของมันแล้ว

 

ตรงที่โดนยันต์แปะ ผีผู้ชายรู้สึกแค่ว่ามันร้อนทรมาน

 

ยันต์ก็ระเบิดขึ้น โดยที่ไม่รอให้เขาได้รู้ตัวว่ามันคืออะไร แสงสีขาวเปล่งออกมาเพียงแวบเดียว เสียงระเบิดดัง “ ปัง ” ก็ดังขึ้น

 

ในขณะที่ยันต์ระเบิด พลังหยางก็แผดเผาร่างของเขา ผีผู้ชายตนนั้นร้อง “ อ๊าก ” ออกมาพร้อมร่างที่กระแทกกับพื้น ตัวเขาได้รับบาดเจ็บแล้ว

 

ในเวลาเดียวกัน ผมก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว วินาทีที่ยันต์ระเบิด ผมก็พุ่งเข้าไปแล้ว

 

ผีผู้ชายตนนั้นเพิ่งลุกขึ้นมา ผมก็ตวัดดาบเข้าไป

 

ผีผู้ชายตนนั้นทําหน้าตะลึง เบียงตัวหลบไปตามแนวดาบของผมอย่างรวดเร็ว

 

แต่ผมไม่สนใจ ยกยิ้มที่มุมปากอย่างเย็นชา พลิกฝ่ามือเข้าไป

 

ทันใดนั้นเองยันต์บนฝ่ามือของผมก็แปะเข้าที่หน้าผากของผู้ชายตนนั้น ผีผู้ชายตนนั้นก็ตกใจทันที

 

เขาไม่เคยคิดมาก่อน เมื่อกี้ยังสู้กับพวกเราได้อย่างทัดเทียม แต่เสี้ยววินาทีต่อมา เขากลับต้องตกที่นั่งลําบากเองถึงสองครั้งติด

 

ตอนนี้ยังโดนยันต์อีกแผ่นนึง เขาจึงร้อนรน อยากจะดึงมันออกทันที

 

แต่มันก็สายไปแล้ว เสียงผมดังขึ้นมาติดๆ “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง ทําลาย !”

 

“ ตูม” ยันต์ทําลายของผมระเบิดในทันที

 

เมื่อโดนคาถาที่ทรงพลังอีกระลอก ผีผู้ชายตนนั้นก็กรีดร้องโหยหวน พร้อมล้มลงกับพื้นอีกครั้ง

 

หลังจากโดนยันต์สองแผ่นติดกัน ผีผู้ชายตนนั้นจะยังทนไหวได้เหรอ ?

 

แก่นพลังหยินในร่างของเขาได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง พลังวิญญาณลงลดอย่างมาก จนแทบไม่เหลือพลังสู้แล้ว

 

แต่ การโจมตีสองครั้งลวดยังไม่จบ

 

ในการโจมตีสามครั้งติดที่เราคิดเอาไว้ ขอแค่คนแรกลงมือ สองคนที่เหลือก็จะลงมือตามมาติดๆ โจมตีทั้งซ้ายและขวา

 

การโจมตีแบ่งออกเป็นสามคาถา “ สะกด สยบ ทําลาย ” ลําดับการโจมตีจะเป็นอันไหนก่อนก็ได้

 

ถ้าศัตรูโดนยันต์โจมตีสามครั้งติดแล้วยังไม่ตาย ก็ต้องบาดเจ็บสาหัส

 

ด้วยเหตุนี้ เหล่าเฟิงจึงเป็นคนลงมือคนสุดท้าย

 

เขาเองก็กระโดดเข้ามา โจมตีด้วย “ ยันต์สยบวิญญาณ ” 

 

“ แปะ” เสียงนี้ดังขึ้นบนหัวผีผู้ชายที่ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นเมื่อยันต์แผ่นนี้แปะลงไป พลังยันต์ก็แล่นไปทั่วร่างผีทันที 

 

ผีผู้ชายตนนั้นดิ้นรนอยู่สองสามครั้ง แต่สุดท้ายเขาก็โดนยันต์แผ่นนั้นสยบเอาไว้กับที่ ไม่อาจขยับตัวไปไหนมาไหนได้อีก

 

เมื่อเห็นว่าปราบผีผู้ชายได้แล้ว เราสามคนก็เผยความดีใจออกมาในใจไม่ได้

 

เพราะนี้เป็นครั้งแรกที่เราใช้วิธีนี้ในสนามรบจริง ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ผลลัพธ์ของมันถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว

 

ทําให้ความแข็งแกร่งของพวกเรามาถึงขีดสุด เมื่อเทียบกับการสู่เดี่ยวในสมัยก่อน มันดีขึ้นไม่น้อย

 

เมื่อเห็นผีผู้ชายโดนปราบแล้ว ผมก็ไม่ได้สนใจอีกหันไป หาผลามกเฉิงต้าจือที่กําลังยืนตะลึงอยู่ไม่ไกล

 

เมื่อกี้เจ้าหมอนี้ยังวนรอบๆ คิดจะลอบโจมตีพวกเราอยู่เลย

 

แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่า “ พี่ชาย ” ของตัวเอง จะโดนเราใช้ยันต์สามแผ่นติด จัดการภายในไม่กี่วินาที เมื่อกี้ยังดุร้ายเกินบรรยาย แต่ตอนนี้กลับไม่ต่างอะไรกับหมาตายซาก โดนยันต์กดเอาไว้บนพื้นได้แต่ยอมรับชะตากรรมจากพวกเรา

 

เพิ่งต้าจือเห็นผมหันมามองเขา สีหน้าจึงเปลี่ยนไปทันที เผยความกลัวออกมา ตาเลิกลัก ถอยหลังสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว

 

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็พูดอย่างเย็นชา “ ตอนนี้ ถึงตาแกแล้ว !”

 

คําพูดนี้เหมือนกับสายฟ้า ที่ผ่าลงกลางกระหม่อมเจิงต้าจือทันที

 

เดิมที่เจ้าหมอนี่ก็มีพลังน้อยอยู่แล้ว แถมยังกลัวตาย

 

แม้แต่พี่เก้ายังโดนพวกผมจัดการแล้ว แล้วมันจะยังเอาพลังที่ไหนมาสู้กับพวกผม

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ มันก็ถอยไปอีกสองก้าว จากนั้นก็หมุนตัวคิดจะหนีอีกครั้ง

 

แต่หยางเฉ่วกลับปรากฏตัวด้านหลังเขาอย่างเทพไม่รู้ผีไม่เห็น “ คิดจะหนีไปไหน ? ”

 

หลังจากพูดจบ ดาบไม้ในมือ ก็ทําให้เพิ่งต้าคือตกใจจนตัวสั่น ขาอ่อนนั่งลงไปกับพื้นทันที

 

“ อย่า อย่า อย่าฆ่าฉัน ฉัน ฉันไม่อยากตาย ไม่อยาก ไม่อยากวิญญาณแตกสลาย ! ” เห็นได้ชัดว่าเพิ่งต้าคือกลัวมาก 

 

เฟิงเฉิวหานกลับค่อยๆเดินเข้ามา จ้องเฉิงต้าจืออย่างไม่ละสายตา

 

เพิ่งต้าจือเห็นหน้าเย็นชาของเฟิงเฉิวหาน ก็ตกใจจนทําอะไรไม่ถูก สุดท้ายเขาก็ยอมเปิดปากพูดเสียงสั่น “ ท่าน ท่านนักพรต ผม ผมผิดไปแล้ว ผมไม่ควรหนี ”

 

ผลลัพธ์เสียงเพิ่งถึงตรงนี้ เท้าของเฟิงเฉิวหานก็ประทับเข้าที่หัวของเฉิงต้าจือแล้ว

 

“ ปัก ” เจิงต้าจือโดนถีบจนลงไปนอนกองกับพื้น “ฮึ ! แกไม่ได้อีดนักหรือไง ? ทําไมไม่หนีต่อละ ?”

 

“ ไม่ ไม่หนีแล้ว ผมไม่หนีแล้ว !” เฉิงต้าจือในร่างของชายตัวใหญ่ โดนเฟิงเฉิวหานทําให้ตกใจจนร้องไห้ออกมาแล้ว 

 

ผมเห็นว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว จึงเดินไปตรงหน้าเพิ่งต้าจือ

 

ก่อนอื่น พวกเราต้องทําลายร่างตุ๊กตาสีทองของเจ้าหมอนี่ก่อน และตัดความเกี่ยวข้องของเขากับฉิงหมิงเฉิว

 

ขอแค่ร่างตุ๊กตาสีทองที่ฉิงหมิงเฉิวให้เขาไม่มีอยู่แล้ว ถ้าเจ้าหมอนี่คิดอยากจะเข้าใกล้ฉิงหมิงเฉ่วอีก

 

ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้นแล้ว

 

เรื่องที่สองคือ ต้องหาข้อมูลของนักพรตจางให้ละเอียด วันข้างหน้าจะได้รับมือถูก

 

เรื่องที่สามคือ พี่เก้าที่ผลามกเรียกเมื่อก่อนหน้านี้ คือใครกันแน่ “ อาจารย์ ” ที่อยู่เบื้องหลังของนักพรตจางคนนั้นยังมีที่มายังไงอีก พวกเขาจะทํางานอะไรให้สําเร็จก่อนและหลังยังมีอย่างอื่นมาเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า

 

หรือจะพูดว่า เกี่ยวข้องกับองค์กรตาผีไหม

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset