ศพ – ตอนที่ 280 ไหว้ลุงหก

ศพ ตอนที่ 280 ไหว้ลุงหก

 

เพราะจางจึเทารู้ที่อยู่ของพวกเรา หยางเฉ่วจึงเสนอว่า ให้พวกเราย้ายบ้าน ออกจากตําบลชิงฉือ เปลี่ยนที่พักใหม่

 

บอกว่าถ้าพวกเราไม่ไปจากตําบลชิงฉือ รอให้อีกฝ่ายบุกมาถึงบ้านแล้ว จะต้องไม่ดีต่อเราแน่ๆ และอาจทําให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายด้วย

 

วิธีของหยางเฉ่วก็เป็นวิธีที่ดี แต่อาจารย์และท่านนักพรตตู้กลับครุ่นคิดกันอยู่ครู่หนึ่ง

 

อาจารย์อยู่ที่ตําบลชิงฉือมา 20 กว่าปีแล้ว หลังออกมาจากวัด ท่านก็อยู่ในตําบลชิงฉือ ทํางานเป็นฌาปนกิจมาโดยตลอด ต่อมาได้เปิดร้าน และเลี้ยงผมจนโตมาถึงปานนี้

 

เขามีความรู้สึกลึกซึ้งกับตําบลชิงถือมาก บวกกับตอนนี้เขาก็แก่แล้ว จึงไม่อยากย้ายไปไหนเข้าไปใหญ่

 

ด้วยเหตุนี้ อาจารย์จึงไม่แน่ใจ

 

หันไปมองท่านนักพรตต์ เขาพเนจรมาทั้งชีวิต ตอนนี้ก็เลือกปักหลักอยู่ในตําบลชิงฉือ

 

อย่างแรกคือ ที่นี่เขามีญาติเป็นเหล่าฉินเพียงคนเดียว หรือศิษย์พี่ของเขานั่นเอง

 

อย่างที่สอง ตัวเขาเองก็เหนื่อยแล้ว ออกไปอยู่ทั่วล่ามาทั้งชีวิต ตอนนี้เพิ่งได้ปักหลัก เปิดร้านยา การค้าก็เป็นไปได้ค่อนข้างดี

 

แถมท่านนักพรตต์ก็มีวิชาแพทย์สูง รวมทั้งค่ารักษาพยาบาลก็ถูก จึงค่อยๆมีชื่อเสียงในตําบลชิงฉือ

 

และเขาก็เริ่มชินกับชีวิตของที่นี่แล้ว

 

ถ้าจะให้ท่านนักพรตต์ไปในตอนนี้ เขาก็ไม่ค่อยพอใจเหมือนกัน

 

พูดตามตรง อย่าว่าแต่อาจารย์และท่านนักพรตตูไม่อยากไปเลย แม้แต่ผมและเหล่าเฟิง ก็ไม่อยากออกไปจากตําบลซิงฉือเช่นกัน

 

ทุกคนเงียบลงชั่วขณะ หยางเฉ่วเห็นพวกเราไม่พูดไม่จา จึงบ่นอยู่ข้างๆว่า “ ออกไปแค่ชั่วคราวเท่านั้น

 

เพราะอีกฝ่ายเกี่ยวข้องกับองค์กรตาผี ถ้ามีตัวร้ายกาจอะไรบางอย่างปรากฏตัวขึ้นมา มันจะอันตรายมากเลยนะ!”

 

หยางเฉ่วเองก็ปรารถนาดี เธอพูดไม่ผิดเลยสักนิด

 

แต่พวกเรากลับตัดสินใจไม่ได้สักที ผ่านไปสักพัก จู่ๆเฟิงเฉวหานก็พูดกับท่านนักพรตต์ว่า

 

“ อาจารย์ เราจะออกไปไหม? ”

 

ท่านนักพรตเงียบไปพักหนึ่ง แล้วหันมามองเฟิงเฉิวหาน“ เจ้าอยากไปเหรอ ?”

 

เมื่อเหล่าเฟิงโดนถามแบบนี้ ก็ตะลึงไปเช่นกัน แต่ต่อจากนั้นเขาก็ส่ายหัว

 

ท่านนักพรตตู้เห็นเหล่าเฟิงส่ายหัว จึงพูดขึ้นว่า “ ในเมื่อไม่อยากไป งั้นเราครูศิษย์ก็ไม่ต้องไป ! เดินทางมาค่อนชีวิตแล้ว ฝ่าฟันอุปสรรคมานับไม่ถ้วน เห็นสิ่งต่างๆมามากมาย กว่าจะได้มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแห่งอย่างทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงองค์กรตาผีจะยกกันมาทั้งองค์กร เราก็ไม่กลัวหรอก”

 

เมื่อเหล่าเฟิงได้ยินความรู้สึกของท่านนักพรตต์ เขาก็พยักหน้ารับ

 

อาจารย์เห็นท่าทีของท่านนักพรตต์ จึงพูดกับผมว่า “ เสี่ยวฝาน เราครูศิษย์อยู่ที่นี่อยู่แล้ว เราก็จะไม่ไปเหมือนกัน อีกอย่าง เราเป็นถึงคนปราบสิ่งชั่วร้ายที่มีศีลธรรม ยังต้องกลัวองค์กรชั่วพวกนี้ด้วยเหรอ? ”

 

“ อ๋อ ! ใช่แล้วอาจารย์ ผมก็จะไม่ไป ถ้าเจ้าจางจีเทามาหา เราก็เตรียมรอจัดการเขาเลย !” ผมพูดอย่างดุดัน

 

เมื่อหยางเฉ่วที่อยู่ข้างๆได้ยินพวกเราพูดแบบนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตา เธอคิดว่าพวกสี่คนล้วนเป็นพวกดื้อหัวรั้น

 

มีคํากล่าวว่า ทวนที่พุ่งออกมาจากที่แจ้งนั้นหลบหลีกง่าย แต่ลูกศรที่ยิงมาจากที่ลับนั้นยากต่อการระวัง

 

เธอหมายความว่าให้พวกเราย้ายออกไปชั่วคราว พอจัดการศัตรูได้แล้ว ก็ค่อยกลับมาใหม่เท่านั้น

 

แต่สุดท้าย พวกเราสี่คนก็ไม่มีใครอยากไปเลยสักคน

 

แม้หยางเฉ่วจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราเลือก แต่เราตัดสินใจแล้ว เธอจึงไม่รู้จะพูดอะไรออกมา

 

ตอนนี้พวกเรามีความคิดเดียวเท่านั้น คือทหารมาใช้ขุนพลต้านน้ํามาใช้ดินต้าน.

 

ต่อจากนั้น พวกเราก็มาถึงถนนใหญ่ของชานเมือง

 

ตอนนี้ดึกมากแล้ว ท้องฟ้ามืดสนิม ไม่มีรถผ่านมาสักคัน

 

ถึงจะโทรให้รถมารับ ก็ต้องใช้เงินเพิ่มถึง 50 หยวน

 

หลังแยกทางกับหยางเฉ่วแล้ว พวกเราก็ตรงกลับตําบลชิงฉือทันที

 

ตอนอยู่บนรถพวกเราไม่ได้คุยอะไรมากนัก ทุกคนต่างเหนื่อยกันทั้งนั้น จึงพิงเบาะหลับไปตามๆกัน

 

เมื่อมาถึงตัวตําบล ก็เป็นเวลาหกโมงเช้าแล้ว ผ่านไปอีกครู่เดียวฟ้าก็จะสว่างแล้ว

 

เมื่อกลับมาถึงร้าน ตัวผมก็สะลึมสะลือ หลังจุดธูปที่ป้ายวิญญาณสองดอกแล้ว ผมก็กลับห้องไปนอนในทันที

 

เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว

 

ตัวผมยังคงเหนื่อยล้า พอออกจากห้องแล้ว ก็เห็นว่าอาจารย์ตื่นแล้ว ตอนนี้เขากําลังดื่มชาอยู่

 

อาจารย์เห็นผมตื่นแล้ว จึงพูดกับผมว่า “ เสี่ยวฝาน ฉันเตรียมไก่เอาไว้ในแกสองสามตัว พอฟ้ามืดแล้ว แกเอาไปที่ศาลเจ้าหลักเมืองนะ ”

 

ผมเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก เพียงตอบ “ อืม” สั้นๆเท่านั้น

 

แต่อาจารย์กลับพูดกับผมว่า “ พอเอาไก่ไปให้แล้ว แกก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ปู่หูลิ่วฟังนะ! ถ้าเขาเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ได้ พวกเราจะไม่ได้มีแค่ไพ่เพิ่มมาอีกหนึ่งใบนะ แต่เราอาจหาตัวเจ้าจางจีเทาเจอเร็วกว่าเดิมก็ได้!”

 

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดถึงขนาดนั้น ผมก็คิดมันว่าน่าจะเป็นไปได้ขึ้นมาทันที

 

ผมพยักหน้า “ ได้ เดี๋ยวผมจะเอาไปให้! แต่อาจารย์ เราจะไม่บอกเรื่องนี้กับน้องศพหน่อยเหรอ ? ”

 

อาจารย์คลี่ยิ้ม “ นั่นเมียแกนะ จะบอกหรือไม่บอกก็ตามใจแกซิ! ”

 

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็หยิบแก้วชาขึ้นมาดื่มต่อ แล้วจากนั้นก็ไม่สนใจผมอีกเลย

 

ผมมองป้ายวิญญาณของมู่หลงเหยียนแวบหนึ่ง สูดหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องบอกมู่หลงเหยียน

 

รอให้หลังจากไปไหว้ปู่หูลิ่วเสร็จแล้ว ค่อยไปปากุ้ยหม่าด้วยตัวเอง

 

หลังจากตัดสินใจได้แล้ว ผมก็นั่งดูละครน้ําเน่าสุดน่าเบื่อในบ้านพักหนึ่ง หลังทานข้าวเย็นเสร็จ ฟ้าก็เพิ่งมืดได้ไม่นาน ผมจึงเอาไก่สามตัวไปที่ศาลเจ้าหลักเมืองทันที

 

เมื่อมาถึงศาลเจ้าหลักเมือง ผมก็ไม่ได้เดินเข้าไปทันที

 

ในเผ่าจิ้งจอก ปู่หูลิ่วตนนี้เป็นผู้อาวุโสของผม มีรุ่นที่สูงกว่าผมเยอะ

 

ดังนั้นผมเลยทํามือคารวะเข้าไปในศาลเจ้าหลักเมือง ในเวลาเดียวกันก็ตะโกนเสียงดังว่า “ ศิษย์ติงฝาน มีเรื่องมาขอพบปู่หูลิ่ว !”

 

เสียงเพิ่งเงียบลง เสียงของชายชราคนหนึ่งก็ดังตามมาติดๆ “ เข้ามาเถอะ !”

 

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ผมถึงถือไก่เดินเข้าไป

 

เมื่อเข้าไปในตัวศาลเจ้าแล้ว ผมเห็นเพียงมีใครสองคนกําลังยืนอยู่ในศาลเจ้าที่มืดสลัวๆ

 

หนึ่งในนั้นคือชายชราคนหนึ่ง ส่วนอีกคนคือหญิงสาวผิวขาวสวย

 

ชายชราไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือปู่หูลิ่วที่ไม่ได้พบกันนาน

 

ใบหน้าของปู่หูลิ่วเปื้อนยิ้ม มองผมอย่างอ่อนโยน

 

แต่หูเหมยกลับทําหน้าอารมณ์เสีย คิ้วขมวดเป็นปม เหมือนกับผมไปติดหนี้เธอเอาไว้หลายร้อยหยวน

 

ผมกวาดสายตามองทั้งสองคนแวบหนุ่ง วางของในมือไว้ที่พื้น จากนั้นก็ทํามือคารวะปู่หูลิ่ว

 

“ ศิษย์ติงฝาน ขอคารวะปู่หูลิ่ว ! นี่เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆโปรดรับเอาไว้ด้วยครับ ”

 

ปู่หูลิ่วยกมือขึ้น ท่าทางดีใจสุดๆ ไก่เป็นๆเป็นสิ่งที่พวกเขาชอบที่สุด จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่ปฏิเสธ แต่ปากก็ยังพูดว่า “ ชูหม่าเกรงใจเกินไปแล้ว”

 

“ สมควรแล้ว สมควรแล้ว! ” ผมตอบกลับด้วยความสุภาพ

 

ปู่หูลิ่วเห็นท่าทีของผมเป็นแบบนี้ ก็เข้าใจในทันทีว่าผมไม่ได้แค่เอาไก่มาให้เฉยๆ เลยพูดกับผมตรงๆว่า

 

“ ไม่ทราบว่าวันนี้ชูหม่ามีธุระอันใด ถึงได้มาถึงที่นี่?”

 

เมื่อเห็นปู่หูลิ่วเปิดประเด็น ผมก็ไม่รอช้า รีบเล่าเรื่องที่พวกเราเจอเมื่อเร็วๆนี้ เรื่องที่ไปเจอจางจีเทา

 

และเรื่องที่เขาเกี่ยวข้องกับองค์กรตาผีให้ฟังทันที

 

ในเวลาเดียวกันก็บอกสิ่งที่ผมกังวล กับปู่หูลิ่วที่ละเรื่องๆ และอยากให้ตระกูลหูช่วยสนับสนุนด้วย

 

ปู่หูลิ่วฟังแบบจริงจังสุดๆ และยังพยักหน้ารับเป็นครั้งคราว

 

หลังฟังผมพูดจบ เขาก็เค้นเสียงดัง ฮึ “ องค์กรตาผี เหล่าหูเองก็เคยได้ยินมาก่อนเหมือนกัน เมื่อก่อนเงียบสงบมาโดยตลอด ช่วงสองสามปีมานี้เริ่มมีการเคลื่อนไหวอยู่บ้าง แต่ชูหม่าสบายใจได้ ท่านเป็นคนของพวกเรา พวกเราสํานักหูครองเขาฉินมาหลายพันปี ในสถานที่แห่งนี้เราไม่เคยกลัวใครมาก่อน อย่าว่าแต่นักพรตตัวเล็กๆเลย ถึงจะเป็นนายขององค์กรตาผีมาเอง ก็ยังต้องคิดก่อน………..”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset