ศพ – ตอนที่ 306 ไม่มีถูกผิด

ศพ ตอนที่ 306 ไม่มีถูกผิด

คําพูดของผีตานีรบกวนจิตใจผม ทําให้มีความสับ สนเล็กน้อยเกิดขึ้นในใจผม

เธอพูดถูกไหมนะ ? แต่เหมือนจะถูกแฮะถ้ามองในมุมของผีตานีเธอก็ไม่ได้ทําอะไรผิด

เธอแค่ทําเพื่อเอาชีวิตรอด ดังนั้นถึงได้ดูดพลังหยางและฆ่าคน

 

พอหันมามองว่าเรากําลังช่วยใครอยู่ ก็แค่คุณชายเจ้าสําราญกลุ่มหนึ่งถึงผมจะไม่รู้จักกับอีกสองคน แต่จากพฤติกรรมทั้งหมดที่เจ้าหลงอ่าวเทียนก่อเอาไว้ที่โรงแรม เราต่างเห็นกันเต็มสองตา ต่อหน้าผู้คนมากมายแบบนั้นมันก็ยังกล้ารังแกผู้หญิง

ดั่งคํากล่าวที่ว่าอยู่ใกล้สิ่งใดย่อมเหมือนสิ่งนั้นอยู่กับคนประเภทนี้ลูกผู้ดีทั้งสองคนก็ต้องไม่ใช่คนดีอะไรแน่

เธอทําเพื่อความอยู่รอดถึงได้ฆ่าคน แต่พวกเรากลับฆ่าพวกเธอเพราะเจ้าคุณชายเจ้าสําราญไม่กี่คน

 

ไม่ว่าจะมองยังไง พวกเราก็เหมือนคนเลว ที่ไปช่วยคนชั่วทําชั่วอีกทอดอีกฝ่ายต่างหากที่เป็นเหยื่อในครั้งนี้

ผมหยุดยืนอยู่ที่เดิมพักหนึ่ง พวกอาจารย์เห็นผมไม่ขยับตัว เลยขมวดคิ้วขึ้นมา

 

หลังจากนั้นก็ได้ยินอาจารย์ผมพูดว่า “ เสี่ยวฝาน แกทําอะไรอยู่ ?ทําไมไม่ลงมือฆ่าเธอซะที ? ”

 

“ เสี่ยวฝาน ผีตานีตัวนี้ปั่นหัวแกอยู่ใช่ไหม ? ” เหล่าฉันก็พูดต่อ

แต่ผมกลับสูดหายใจเข้า แล้วค่อยๆหันไป มองอาจารย์และคนอื่นๆจากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ อาจารย์ ลุงตู้

ลุงฉิน เธอทําเพื่อเอาชีวิตรอด แต่พวกเรากลับช่วยเจ้าคุณชายเจ้าสําราญพวกนั้นฆ่าเธอมันไม่ยาก แต่เราทําแบบนี้ มันถูกแล้วจริงๆเหรอ ? ”

อาจารย์ ท่านนักพรตต์ และเหล่าฉันคิดไม่ถึงว่าผมจะพูดแบบนี้พวกเขาต่างทําหน้าตึงกันทันที

 

ต่อจากนั้น อาจารย์ก็พูดกับผมว่า “ แกพูดบ้าอะไร ?มีถูกผิดที่ไหนละปีศาจมักทําชั่วเป็นสันดานอยู่แล้ว

ผีตานีตัวนี้ก็เกิดมาจากความใคร่ เดิมที่มันก็ไม่ควรอยู่บนโลกนี้อยู่แล้วอย่าหลงกลท่าที่ของเธอรีบลงมือเถอะ !”

 

อาจารย์ดุผม ให้ผมรีบลงมือเร็วๆ

ผมหันกลับมามองผีตานี หน้าคนบนหัวปลีหน้านั้น เริ่มร้องห่มร้องไห้และพูดกับผมอีกครั้ง “ ท่านนักพรตฉันอยากมีชีวิตอยู่ขอร้องท่านละ ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ ! ”

 

ผมสับสนมาก พูดตรงๆ พอฟังผีตานีพูดจบ

 

หากให้เลือกว่าใครควรอยู่ต่อระหว่างผีตานีกับพวกคุณชายเจ้าสําราญพวกนั้น ผมอาจเลือกผีตานี

แต่วันนี้ ถึงผมจะไม่ลงมือเอง พวกอาจารย์ก็ต้องไม่ปล่อยผีตานีตนนี้ไปอย่างแน่นอน

ที่จริงสิ่งที่อาจารย์พูดก็ไม่ผิด ผีตานี้เกิดจากความใคร่แม้พวกเธอจะเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ก็มีความชั่วและความใคร่เป็นพื้น

 

ถ้าวันนี้ผมปล่อยพวกเธอไป พวกเธอจะไม่ไปดูดพลังหยางของคนอื่นอีกจริงๆเหรอ ?

ก็เหมือนเสือ ให้มันไปหากินหญ้ามันจะทําได้เหรอ

 

ผมสูดหายใจเข้า แล้วจากนั้นก็พูดกับผีตานีว่า “ ถึงฉันจะไม่อยากฆ่าเธอและคิดว่าสิ่งที่เธอพูดก็ไม่ผิด

แต่ยังไงฉันก็ต้องฆ่าเธอ ! ”

 

“ ทํา ทําไม ? ?

“ เพราะฉันไม่มีทางเลือก………….”

พอพูดจบ ผมก็เขย่งเท้าขึ้น ตวัดดาบลงไปทันที

 

หัวปลีที่ห้อยอยู่บนต้นกล้วย ตอนนี้โดนผมตัด หล่นมาที่พื้นแล้ว

ต้นกล้วยสั่นอย่างต่อเนื่อง เสียงกรีดร้องดังขึ้น ส่วนที่โดนตัดมีเลือดสีแดงไหลทะลักออกมา

ขณะฟังเสียงกรีดร้องของผีตานี ผมก็ไม่ลังเลแต่อย่างใดหยิบพลั่วออกมาแล้วแทงลงไปที่ต้นกล้วยทันที

 

ถึงต้นกล้วยต้นนี้จะใหญ่ แต่มันก็ไม่ได้แข็งแรง ท่ามกลางเสียงกรีดร้องร่ําไห้ในที่สุดต้นกล้วยก็โค้นลง

 

เมื่ออาจารย์และคนอื่นๆเห็นผมโคนต้นกล้วยแล้วก็พยักหน้าเบาๆ

 

เห็นได้ชัดว่า อาจารย์และเหล่าฉินจงใจให้ผมทําแบบนี้ใช้วิธีนี้ขัดเกลาจิตใจของผม

 

ในโลกที่พิลึกกึกกือนี้ มีสิ่งมีชีวิตต่างๆนานาให้ได้เห็น

มนุษย์ ปีศาจ สรรพสิ่ง หนึ่งในนั้นยากที่จะควบคุมและหลงไปในทางผิดอย่างง่ายดาย

อาจารย์และเหล่าฉินต่างรู้ว่าผมมีจิตใจที่ดีงามมาก

 

แต่เมื่อเลือกเดินสายนี้แล้ว เราอาจตายได้ทุกเมื่อ

การทําดีกับปีศาจร้าย ก็เหมือนทําร้ายตัวเอง

ดังนั้น พวกเขาอยากให้จิตใจของผมแข็งแกร่งและเหี้ยมยิ่งกว่า

 

ถึงได้จงใจให้ผมเผชิญหน้ากับผีตานีตนนี้คนเดียวให้ผมได้ลิ้มรสกับความทรมานของความสับสนแล้วลงมือฆ่าด้วยตัวเอง

 

เพียงแค่ตอนนั้นผมเพิ่งเข้ามาทํางานสายนี้ได้ไม่นานผมก็เลยยังไม่เข้าใจเจตนาของพวกอาจารย์

หลังจากที่พวกเขาเห็นผมตัดต้นกล้วยแล้ว ก็เดินเข้ามาช่วยผมขุดหาเหง้า

 

ต้นกล้วยไม่ได้หยั่งรากลึกมาก ผ่านไปไม่นานพวกเราก็ขุดเจอ

ช่วงเวลาระหว่างนั้น ผมยังได้ยินเสียงร้องไห้และร้องขอชีวิตจากผีตานี

ผมจึงรู้สึกสับสน แต่ภายใต้คําแนะนําของพวกอาจารย์สุดท้ายหัวใจปีศาจดวงที่กําลังเต้นอยู่ก็โดนผมใช้พลัวทําลายอยู่ดี

 

เพียงเท่านี้ ผีตานีทั้งสามตน ก็โดนฆ่าอย่างสมบูรณ์แม้แต่เหง้าก็ไม่เหลือ

 

หลงอ่าวเทียนและซุนเสี่ยวหลินก็ได้นอนหลับอย่างสบายสักทีและไม่ต้องกลัวว่าจะมีผีตานีมาตามรังควานอีกต่อไป

ผมมองพื้นดินที่เละเทะ แต่ในใจกลับรู้สึกแปลกๆ

 

ผมรู้ดีว่ายังไงผีตานีตนนี้ก็ต้องตาย ถ้าเธอไม่ตายวันข้างหน้าก็จะมีคนตายอีกจํานวนมาก

 

นี่คือสิ่งที่พวกเราคนปราบสิ่งชั่วร้าย ไม่อาจปล่อยให้เกิดขึ้นได้และไม่มีทางทนดูได้เช่นกัน

 

เพียงแค่ เหตุผลที่เธอพูดก่อนตาย กระตุ้นส่วนลึกของจิตใจผมได้จริงๆ

เธอทําเพื่อเอาชีวิตรอด มีอะไรผิดกัน ?

ดังนั้น นี่เลยทําให้ผมรู้สึกสับสน

 

ถ้าพูดให้มันไม่น่าฟังหน่อย ก็คือ ทําร้ายผลประโยชน์ของมนุษย์ เราก็คือสิ่งชั่วร้ายที่สมควรตาย

ตราบใดที่ทําเพื่อผลประโยชน์ของมนุษย์เราการฆ่าสิ่งมีชีวิตอื่นก็คือการทําคุณแทนสวรรค์

 

อาจารย์เห็นสีหน้าของผมไม่ค่อยดี เลยหันมาตบบ่าผม แล้วพูดกับผมว่า “ เสี่ยวฝาน จบเรื่องแล้ว ทําไมไม่ดีใจหน่อยละฮี ? ”

 

เมื่อได้ยินอาจารย์ถามแบบนั้น ผมก็ขมวดคิ้ว แล้วบอกความสับสนและเรื่องไม่เข้าใจที่อยู่ในใจ ให้อาจารย์ฟัง

“ อาจารย์ อาจารย์ว่าพวกเราช่วยลูกเศรษฐีพวกนั้น ถูกแล้วจริงๆใช่ไหม ? ไม่ว่าเมื่อกี้ผีตานีจะพูดจริงหรือเปล่า แต่พวกเธอ อยากมีชีวิตอยู่ก็เลยจําเป็นต้องฆ่าคนที่มายุ่งด้วย นี่ก็เป็นเรื่องที่ ช่วยไม่ได้จริงไหมละครับ !การที่พวกเราไปฆ่าพวกเธอถือว่าถูกแล้วใช่ไหมครับ ? ”

 

เหล่าฉันฟังอยู่ข้างๆ เขาเลยพูดออกมาตรงๆ “ เรื่องนี้มีอะไรไม่ถูกมันก็เหมือนที่ลุงฉันเคยบอกเจ้าเมื่อครั้งที่แล้วไง พวกเราฆ่าพวกเธอก็เพื่อตัดกรงกรรมกรงเกวียน ”

“ ถึงเราจะเป็นคนดี แต่บางครั้งเราก็ต้องโหดบ้างโดยเฉพาะเวลาเจอกับปีศาจแบบนี้ วันนี้ไม่ฆ่าวันข้างหน้าพวกเธอจะไม่ทําร้ายคนเยอะกว่านี้เหรอ ? เสี่ยวฝาน อย่าไปคิดมากเลยเรื่องนี้คิดมากไปก็ยิ่งปวดหัวเปล่าๆ !”

พอฟังเหล่าฉันพูดจบ ผมก็คลี่ยิ้มออกมา แต่ก็ไม่ได้ตอบกลับอะ

 

แต่อาจารย์กลับเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นถึงได้ส่ายหัวไปมา “ ที่จริงเรื่องนี้เราทําถูก และผิดในเวลาเดียวกัน หากดูจากมุมของพวก เรา ! เราไม่ผิดแต่ถ้ามองจากมุมของผีตานี ! เธอก็ไม่ผิด สํา หรับเรื่องใครถูกใครผิดมันพูดยากแกต้องหาคําตอบด้วยตัวเอง”

อาจารย์เพิ่งพูดจบ ท่านนักพรตต์ก็พูดขึ้นมาทันที “ เสี่ยวฝานเอ๋ย ! ในโลกมีสิ่งชั่วร้ายมากมายงานที่เราทําอันตรายยิ่งกว่าอะไรแต่เจ้าจงจําเอาไว้อย่างหนึ่งพวกเราทุกคนเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย !

พอฟังท่านนักพรตต์พูดจบ ผมก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง

 

เรื่องนี้ เราไม่ได้ผิด

 

ถ้าจะผิด มันก็ผิดที่พวกเราไม่ควรต่อต้าน !

 

ขณะที่คิดได้แบบนี้ ผมก็ไม่คิดมากอีกต่อไป

ตัวเองเป็นแค่คนปราบสิ่งชั่วร้าย ไม่ใช่แม่พระ เราไม่อาจช่วยทุกสรรพสิ่งได้

ผีตานีทําเพื่อเอาชีวิตรอด พวกเราทําเพื่อคุณธรรมพวกเราไม่ผิดจะผิดมันก็ผิดที่คิดจะต่อต้าน

หลังมีความคิดแบบนี้ ผมก็ถอนหายใจออกมา

ผมพวกอาจารย์ ที่กําลังยืนสูบบุหรี่อยู่ หลังจากนั้นสองสามนาทีทุกคนก็เริ่มเดินกลับ

ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็กลับมารวมตัวกับเหล่าเฟิงและหยางเฉ่วอีกครั้ง

 

หลังเหล่าเพิ่งได้พักครู่หนึ่ง เขาก็ดีขึ้นไม่น้อย

 

พอเห็นพวกเรากลับมา ทั้งสองคนก็ลุกขึ้น แล้วถามพวกเราว่าเป็นยังไงบ้าง

 

ผมพูดความจริงกับพวกเขา พอทั้งสองคนได้ยินว่าจัดการเรียบร้อยหมดแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนครึ่งพอดีในปากล้วยมืดสนิท ทุกคนก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่

จึงถืออาวุธและข้าวของของตัวเองแล้วเดินออกจากปากล้วย

ทันที่………

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset