ศพ – ตอนที่ 38 ผีชั่ว

หลังจากอาจารย์พูดจบ เขาก็จับดาบไม้พุ่งเข้าไปฟันทันที

ส่วนนักพรตตู๋และพวกเรา ก็ไม่ลังเล พุ่งเข้าใส่ผีร้ายเช่นกัน

ผีชั่วแบบนี้ ถึงตายสักร้อยรอบก็ไม่พอ

ส่วนผีชั่วตนนั้น กลับเผยสีหน้าที่หวาดกลัวออกมา มันเองก็คงคิดไม่ถึง ว่าพวกเราจะมาถึงที่นี่

สำหรับยันต์ฝ่ามือของอาจารย์นั้นมีพลังแค่ไหน คนภายนอกเองก็มองไม่ออกเช่นกัน

หลังจากผีร้ายสะดุ้งตกใจ มันก็หันไปตะโกนใส่คุณหนูเหวิน “นี่เป็นนักพรตที่สู้กับแกซินะ”

แม้คุณหนูเหวินจะถูกผีชั่วรังแก แต่พลังที่ชั่วร้ายก็ทำให้เธอสูญเสียความเป็นตัวเองไปนานแล้ว

 

ขณะนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของผีร้าย เธอก็พยักหน้าทันที “ค่ะ ใช่ค่ะเจ้านาย! เจ้าพวกนี้แหละค่ะที่ทำร้ายฉัน”

ขณะที่พูด คุณหนูเหวินก็ลุกขึ้น

ใช้เล็บมือทั้งสองข้าง ด้วยความเร็วที่สามารถเห็น เธอชี้มาทางพวกเราทันที

เมื่อผีผู้ชายตนนั้นได้ยิน เขาก็เผยสีหน้าที่โหดเหี้ยมออกมา “สวรรค์มีทางแต่แกไม่เดิน นรกไม่มีประตูแกกลับเลือกที่จะเข้ามา! ดีช่วยให้ฉันประหยัดเวลาไม่ต้องไปหาด้วยตัวเอง!”

เสียงพึ่งจางหาย ทันใดนั้นผีผู้ชายก็อ้าปากขึ้น คำราม “โฮก” ออกมาทันที เขี้ยวสองซี่ที่แหลมคม ถูกเผยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน

นอกจากนี้เขายังยกแขนทั้งสองข้างขึ้น และพุ่งเข้ามาหาพวกเราทันที

 

ส่วนคุณหนูเหวินที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่รอช้า รีบตามผีร้ายขึ้นมา และพุ่งเข้าใส่พวกเราเช่นกัน

วินาทีนั้น ผมละอยากจะด่าจริงๆ

บ้าเอ้ยเมื่อกี้ยังถูกเจ้านั้นรังแกอยู่เลย ตอนนี้กลับมาช่วยมันเนี่ยนะ

แต่หลังจากนั้นผมถึงได้รู้ว่า เธอถูกผีร้ายควบคุม จึงสูญเสียความคิดในการตัดสินใจเหมือนคนปกติทั่วไป

เพราะเมื่อวิญญาณกลายเป็นผีร้าย พวกเขาจะสูญเสียความสามารถในการตัดสินใจไปซะส่วนใหญ่

เนื่องจากคุณหนูเหวินพึ่งตายได้ไม่นาน วิญญาณจึงยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก ดังนั้นเมื่อกี้เธอจึงมีจิตสำนักในการปกป้องตัวเองอยู่บ้าง

 

ถ้าผ่านไปอีกสองเดือน อย่าพูดเลยว่าคนที่ควบคุมจะให้เธอทำอะไร หรือแม้แต่บอกให้ไปฆ่าตัวตาย เขาก็สามารถทำได้อย่างสบายๆ

เพียงชั่วพริบตา พวกเราก็เริ่มต่อสู้กันแล้ว

ดาบในมือของอาจารย์และนักพรตตู๋ฟันไปที่ร่างผีชั่วอย่างต่อเนื่อง ส่วนผมและเฟิงเฉ่วหานก็กำลังสู้กับผีสาว

แต่ในตอนนี้ผีสาว ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนตอนแรกแล้ว

เธอถูกอาจารย์และนักพรตตู๋ทำร้าย จึงทำให้ความแข็งแกร่งลดลง

ตอนนี้ผมและเฟิงเฉ่วหานได้ร่วมมือกัน ถึงสามารถต่อสู้กับเธอได้อย่างสูสี

 

ฝั่งของพวกเราแทบต้านทานไว้ไม่ไหว แต่ฝั่งของอาจารย์ กลับต่อสู้กันอย่างดุเดือด

ผีผู้ชายตนนั้นมีควันสีดำรายล้อมรอบตัว พลังชั่วร้ายแรงมาก ต่อสู้อย่างดุเดือดและรวดเร็ว จนผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าพวกเขาไม่ระวังแม้แต่นิดเดียว ก็อาจถูกกรงเล็บนั้นฆ่าได้

บรรยากาศในสนามรบเปลี่ยนดุเดือดบ้าคลั่ง รอบๆตัวของพวกเรา ต่างมีแต่เสียงของอาวุธที่กระทบกันไปมา

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผีสาวที่สู้กับพวกเรา กลับแสดงท่าทางเหนื่อยล้า การเคลื่อนไหวของเธอเริ่มช้าลงเรื่อยๆ ดูเหมือนอาการบาดเจ็บของเธอจะหนักเอาการ!

ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เป็นธรรมดาที่ผมจะไม่แสดงความเมตตา

 

เมื่อโอกาสมาถึง ผมก็ไม่ลังเล รีบฟาดไม้บรรทัดเหล็กดำไปที่หัวของผีสาวทันที

ไม้บรรทัดเหล็กดำและด้ายดำ ต่างเป็นสมบัติที่ท่านลู่ปานทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง มีคุณสมบัติในการปราบวิญญาณชั่วร้าย

หลังจากผีสาวโดนผมตีไปที่หัว เธอก็กรีดร้องออกมา “อร๊าย” จากนั้นก็ล้มลงไปกับพื้นทันที

ส่วนเฟิงเฉ่วหานเมื่อเห็นโอกาส เขาก็รีบหยิบยันต์ออกมา และเอื่อมมือออกไป

ผีสาวพึ่งลุกขึ้น ยังไม่มีโอกาสหลบ ยันต์แผ่นนั้นก็แปะเข้าที่หน้าอกของเธอทันที

เนื่องจากเป็นหน้าอก ไม่ใช่หน้าผากหรือประตูวิญญาณ สิ่งนี้เองก็มีคำอธิบายเช่นกัน

ถ้าแปะยันต์ที่ประตูวิญญาณ อาจทำให้วิญญาณนั้นระเบิดตาย และวิญญาณแตกสลาย

 

แต่ที่หน้าอกไม่เป็นแบบนั้น การแปะยันต์ที่หน้าอก ยกเว้นกรณีที่คาถามีพลังมากเกินไป จนวิญญาณไม่สามารถทนได้

ไม่อย่างนั้น ก็จะไม่ทำให้วิญญาณแตกสลาย แต่ทำได้แค่ทำลายพลังชั่วร้ายที่อยู่ในร่างของพวกเขาเท่านั้น

วิญญาณของคุณหนูเหวินเปลี่ยนแปลง จึงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

เนื่องจากมีคนจงใจทำให้มันเป็นแบบนี้ และพวกเราเองก็รับเงินมาจากพ่อแม่ของเธอมา ดังนั้นจึงต้องหาทางช่วยลูกสาวของพวกเขาให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานนี้

ถ้าเกิดรับเงินจากเขาแล้ว และยังทำให้วิญญาณลูกสาวเขาแตกสลาย แบบนั้นป้ายร้านของพวกเรา คงถูกคนทำลายไปนานแล้ว

 

ดังนั้น เมื่อวิญญาณคุณหนูเหวินอยู่ตรงหน้า เฟิงเฉ่วหานจึงไม่มีทางใช้วิธีฆ่าในครั้งเดียวแน่

หลังจากแปะยันต์ลงไป เฟิงเฉ่วหานก็รีบทำมือ จากนั้นก็พูด “ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง ทำลาย!”

ทันใดนั้นยันต์ก็เปล่งแสง และ “ปัง” ระเบิดออกมาทันที

หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนของคุณหนูเหวิน ร่างของเธอกระเด็นออกไปอีกครั้ง

แต่ว่าครั้งนี้ พลังของยันต์ได้ทำลายพลังชั่วร้ายที่อยู่ในอกของเธอ

คุณหนูเหวินนอนดิ้นรนอยู่พักหนึ่ง ขณะเดียวกันก็มีควันสีดำค่อยๆ ลอยออกมาจากในตัวของเธอ สุดท้ายมันก็จางหายไปกับอากาศ

 

จากนั้นร่างของคุณหรูเหวิน ก็มีการเปลี่ยนแปลง

สิ่งที่เห็นชัดที่สุดคือ ดวงตาที่ไม่มีม่านตาทั้งสองข้าง

ขณะที่พลังชั่วร้ายได้ปล่อยออกมาและจางหายไปอย่างต่อเนื่อง ดวงตาขาวโพนของคุณหนูเหวิน ก็เริ่มมีสีปรากฎขึ้น จากนั้นม่านตาของเธอก็ปรากฎขึ้นอย่างชัดเจน

เขี้ยวที่อยู่ในปากและเล็บที่แหลมคมของเธอ ก็หายไปอย่างรวดเร็ว

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นเรื่องราวแบบนี้ จึงตกตะลึงจนต้องมองกลับไปกลับมาถึงสองสามครั้ง

แต่เฟิงเฉ่วหานกลับดูสงบมาก “เลิกมองได้แล้ว จัดการผีตนนี้เสร็จแล้ว พวกเราก็รีบไปช่วยพวกอาจารย์เถอะ!”

 

เมื่อได้ยินเสียงของเฟิงเฉ่วหาน ผมถึงได้มีสติขึ้นมา

ไม่รอช้า ผมรีบพยักหน้ารับ จากนั้นก็จับไม้บรรทัดดำแน่นและตามเฟิงเฉ่วหานไปฆ่าผีผู้ชายทันที

พลังของผีผู้ชายมันแข็งแกร่งมาก แม้อาจารย์และนักพรตตู๋จะร่วมมือกัน ก็ยังไม่สามารถจัดการมันได้

หลังจากพวกเรามาถึงด้านนอกของวงต่อสู้  ผมไม่ทำอะไรโง่ๆรีบตะโกนบอกทันที “อาจารย์ผมมาช่วยแล้ว”

เพราะตอนนี้อาจารย์และนักพรตตู๋ยังจัดการไม่ได้ แล้วพวกมือสมัครเล่นไก่กาอาราเล่แบบผม จะกล้าบุ่มบ่ามเข้าไปได้ยังไงละครับ

แค่คิดจะลอบโจมตีอีกฝ่าย หรือไม่ก็แอบปล่อยลูกศรอะไรอย่างนั้น

 

แม้ว่ามันจะดูสกปรก แต่ถ้าสามารถต่อสู้กับผีชั่ว ช่วยให้ฝั่งตัวเองปลอดภัยได้ ถึงแม้จะเป็นวิธีที่น่ารังเกียจนิดหน่อยแต่ผมก็ยอมทำ

ส่วนเฟิงเฉ่วหานที่เป็นคุณชายเย็นชา แม้จะไม่พูดอะไร แต่ดูเหมือนเขาเองก็จะคิดแบบเดียวกับผม

พวกเราสองคนยังคงอยู่นอกวงต่อสู้ รอคอยโอกาสที่จะลงมือ

ทันใดนั้น โอกาสก็ปรากฎขึ้น

ระหว่างที่ผีชั่วต่อสู้ เขาดันหันหลังให้กับพวกเรา

ผมและเฟิงเฉ่วหานจ้องเขม็ง จากนั้นก็เผยสีหน้าที่ตื่นเต้นออกมา

 

เฟิงเฉ่วหานมีฝีมือมากกว่าผม จึงลงมือเร็วกว่า

ดาบไม้ในมือของเขา แทงเข้าไปที่ตัวผีชั่ว แบบไม่ส่งสัญญาณใดๆ

แต่ดูเหมือนผีชั่วตนนั้นจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขารู้สึกได้ถึงอันตรายที่อยู่ด้านหลัง

จึงหันกลับมา และเห็นเฟิงเฉ่วหานพอดี

“คิดจะทำร้ายฉันเหรอ ฝันไปเถอะ!” ผีชั่วตนนั้นจับดาบไม้ของเฟิงเฉ่วหานเอาไว้

ผลลัพธ์หลังจากดาบไม้เข้าไปแทงร่างของเขา มันกลับเลื่อนผ่านไปดื้อๆ

ในเวลาเดียวกัน อาจารย์และนักพรตตู๋ก็เข้ามาสังหารจากทั้งสองด้าน

ร่างกายของผีชั่วรวดเร็วมาก หลบซ้ายหลบขวา ต่างสามารถหลบได้หมด

 

แต่ หลังจากที่ผีชั่วคิดว่าอันตรายได้หายไปหมดแล้ว

จู่ๆผมที่ซ่อนทางด้านหลังเฟิงเฉ่วหาน ก็กระโดดออกมา

ใช้ไม้บรรทัดดำที่อยู่ในมือ ตีไปที่หัวของเขาทันที

ผีชั่วตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าผมจะกระโดดออกมา

นอกจากนี้เวลาและมุม ที่ใช้ลงมือยังเป็นช่วงที่ดีอีกต่างหาก

แม้เขาจะหลบมาได้อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อมาถึงขีดสุด และยังเกิดอย่างกระทันหัน เขาจึงไม่สามารถหลบได้

ทันใดนั้น “บึก” เสียงของกระแทกกันก็ดังขึ้น ไม้บรรทัดดำกระแทกเข้าที่เดียวกับผีสาว มันฟาดเข้าที่ใบหน้าของเขาเต็มๆ

 

เนื่องจากผมตีแบบสุดแรงเกิด บวกกับไม้บรรทัดเหล็กดำสามารถปราบสิ่งชั่วร้ายได้

ถึงแม้จะเป็นผีชั่วตนนั้นก็ตาม ยังไงเขาก็ต้องทนไม่ไหวเช่นกัน

ทันใดนั้นเสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้น “โอ๊ย” อีกนิดเดียวฟันของมันก็แทบบิ่น

ไม่เพียงเท่านี้ ร่างของมันยังกระเด็นออกไปอีกด้วย ……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset