ศพ – ตอนที่ 39 หลบหนี

แม้ตัวผมจะอ่อนแอที่สุด แต่ผมก็เลือกที่จะลงมือ

หลังจากที่ผีชั่วถูกผมตีปากของมันก็กรีดร้องออกมา “อ้าอ้า”

ไม่รอให้มันได้ลุกขึ้น อาจารย์และนักพรตตู๋พุ่งเข้าไป และใช้ดาบไม้แทงลงไปทันที

สีหน้าของผีชั่วเปลี่ยนไปอย่างฉับพรัน ถึงมันอยากจะหลบแค่ไหน แต่ตอนนี้มันก็ไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว

“ฉึกฉึก” ดาบในมือของอาจารย์และนักพรตตู๋ แทงเข้าไปที่เท้าของผีชั่ว พวกเขาไม่ได้คิดจะทำร้ายจนถึงชีวิต

“อ้า!” ผีชั่วกรีดร้องออกมา เห็นได้ชัดว่ามันทรมานอย่างมาก

 

อาจารย์และนักพรตตู๋กลับก้มหน้าลง พวกเขายังไม่ดึงดาบออก แต่กดมันปักลงกับพื้นแทน

ไม่เพียงเท่านั้น อาจารย์ยังพูดกับผีชั่วว่า “ทำไมแกต้องทำร้ายครอบครัวของคุณหนูเหวินด้วย พวกเขาไปทำอะไรให้แกโกรธแค้นฮะ!”

แม้ผีชั่วตนนั้นจะเจ็บปวด แต่มันก็กลัวเลยแม้แต่น้อย หลังจากได้ยินคำถามของอาจารย์ มันก็ใช้สายตาที่ดุร้ายจ้องอาจารย์ “ตาแก่ อย่ายุ่งดีกว่า ไม่อย่างนั้นแกได้ตายยกครอบครัวแน่!”

เมื่อถูกผีชั่วขู่ อาจารย์ก็อารมณ์เสียทันที

เขาอดไม่ได้ที่จะขยับดาบไม้ที่อยู่ในมือ “ไอ้ชั่ว ไม่รู้แกจะเชื่อรึเปล่าแต่ตอนนี้ฉันจะทำให้วิญญาณแกแตกสลาย”

 

ร่างของผีชั่วสั่นเทา ร้องออกมาเล็กน้อย แต่ปากของมันยังแข็ง “วิญ วิญญาณแตกสลาย ฮึแกลองดูซิ แค่นักพรตสองคน แกคิดว่าจะฆ่าฉันได้งั้นเหรอ”

“ท่านนักพรตติง เจ้านี้คงไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ทำให้มันได้รู้ฤทธิ์สักหน่อยเถอะครับ!” นักพรตตู๋เองก็โมโหเช่นกัน เขายังไม่เคยเห็นผีชั่วที่เย่อหยิ่งแบบนี้มาก่อน

ขณะที่พูด นักพรตตู๋ก็ดึงดาบไม้ออก เตรียมแทงลงไปอีกครั้ง เพื่อให้เจ้านี้ได้รู้ว่าฤทธิ์ของการทำแบบนั้นซะบ้าง

แต่ใครจะไปรู้เมื่อนักพรตตู๋ดึงดาบออก ผีชั่วที่ถูกกดไว้ที่พื้น กลับมีเสีงดัง “ปัง” วินาทีนั้นควันดำโพยพุ่งออกมา จากนั้นร่างของมันก็หายไปต่อหน้าต่อตาของพวกเราทันที

 

พวกเราทุกคนต่างจ้องมองไปที่ฉากเบื้องหน้า เมื่อเห็นสถานการณ์เปลี่ยนไปเช่นนี้ ทุกคนก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมาทันที

รู้สึกว่ามันเหลือเชื่อเกินไป เมื่อกี้ยังดีๆอยู่เลย ทำไมจู่ๆมันถึงหายตัวไปได้ละ

“นี่ นี่!” วินาทีนั้นแม้แต่อาจารย์ก็ยัง เบิกตาค้าง พูดอะไรไม่ออก

แต่ไม่รอให้พวกเรารู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ภายในป่าที่ว่างเปล่า กลับมีเสียงที่เย็นชาและโกรธเกรี้ยวของผีชั่วดังขึ้น “ฮึ! อยากฆ่าฉันงั้นเหรอฝันไปเถอะ รอให้ฉันกลับมาก่อน ฉันจะฉีกร่างพวกแกทีละคนๆแน่!”

หลังจากพูดจบ ไม่รอให้พวกเราได้ตอบโต้อะไร รอบๆก็มีลมกระโชกที่หนาวเย็นพัดเข้ามา จนทำให้ต้นหญ้าหรือวัชพืชต่างๆปลิวไปตามลม

 

เมื่อต้นหญ้าที่เขียวสดสั่นไหว มันก็ก่อเกิดเสียง

จากนั้นแรงกดดันจากพลังอันชั่วร้ายที่อยู่รอบๆ ก็หายไปในพริบตา

ผมกำลังจ้องพุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไป ถึงจะมองไม่เห็นผีชั่ว

แต่ผมก็มั่นใจ ว่าผีชั่วตนนั้นต้องวิ่งไปทางนั้นแน่

“อาจารย์ ท่านนักพรตตู๋ ผีชั่วตนนั้นกำลังหนีไปแล้ว พวกเราไล่ตามไปเถอะครับ!” ผมรีบพูด เพราะผมพบว่าอาจารย์และนักพรตตู๋ไม่ขยับตัวเลยสักนิด

แต่อาจารย์กลับถอนหายใจออกมา “ไม่ต้องตาม ผีชั่วตนนี้ร้ายกาจกว่าที่พวกเราคิดไว้ ถึงจะตามไปตอนนี้ มันก็ไม่ทันแล้ว!”

 

“ไม่ทันแล้ว แต่ผีชั่วนั้น จะเอาเรื่องยุ่งยากมาให้เราในอนาคตนะครับ” ผมยังพูดต่อ

“ไม่ต้องรอให้ถึงอนาคตหรอก คืนพรุ่งนี้พวกเรา จะไปหามันด้วยตัวเอง!” นักพรตตู๋ขมวดคิ้ว พูดด้วยสีหน้ามืดมน เห็นได้ชัดว่าเขากำลังโกรธมาก

แม้ว่าผีชั่วตนนี้จะหนีไปได้อย่างไม่คาดคิด แต่สิ่งที่คุ้มค่าก็คือ วิธีที่ผีชั่วตนนี้ใช้หลบหนี บอกได้ว่ามันร้ายกาจมากจริงๆ

เดิมทีร่างของมันถูกดาบไม้กดไว้กับดิน แต่เมื่อมีเสียงดัง “ปัง” และมีควันดำระเบิดออกมา สุดท้ายมันก็กลายเป็นสายลมและหลบหนีไปทันที

แม้จะเป็นสายตาสวรรค์ ก็ยังไม่สามารถมองเห็นเจ้านี้ได้อย่างชัดเจน มันแสดงถึงไหวพริบที่เจ้านี้มี

 

แต่ว่าหลังจากนั้นพวกเราก็รู้ว่า ถึงผีชั่วตนนี้จะสามารถหลบหนีจากสายตาสวรรค์ได้ หรือเรียกว่า “หายวับ” ไปจากสายตาของพวกเรา แต่มันก็ไม่ได้หายไปจริงๆ

ในระยะเวลาสั้นๆนั้น มันทำให้ร่างกายหายไปจากสายตาของพวกเราเท่านั้น

แต่ภายในสถานการณ์เช่นนี้ มันจะต้องชดใช้ด้วยการบาดเจ็บสาหัส และยังไม่สามารถออกมาทำร้ายคนได้ เพราะถ้าทำอย่างนั้นมันจะต้องออกมาปรากฎตัวอีกครั้ง

ดังนั้น ภายในสถานการณ์แบบนี้ผีชั่วจึงเลือกที่จะซ่อนตัว

ในระยะเวลาสั้นๆนั้น พวกเราจึงมองไม่เห็นร่างของมัน

 

แน่นอน หากข้างกายของพวกเรามีคนที่มีสายตาหยินหยาง ป่านนี้เจ้าผีชั่วนั้นคงหาที่ซ่อนไม่ได้แน่

และผีชั่วนั้นก็ใช้ประโยชน์จากส่วนนี้ หลังจากขู่เสร็จ มันก็รีบหนีออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว

พวกเราไม่สามารถไล่ตามไปได้ และทำอะไรไม่ได้ด้วย ดังนั้นจึงทำได้เพียงทิ้งความคิดนี้ไปซะ

ถึงพวกเราจะไล่ตามไป ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

นอกจากจะทำเหมือนอาจารย์เมื่อกี้ ติด GPS ให้กับมัน

แน่นอนว่าคนไม่สามารถวิ่งชนะผีได้ ดังนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมอาจารย์และนักพรตตู๋ถึงไม่ตามไป

หลังจากผีชั่วหนีไป ที่นี่ก็เหลือเพียงพวกเราสี่คนและวิญญาณคุณหนูเหวินอีกหนึ่งดวง

 

หลังจากที่วิญญาณของคุณหนูเหวินกลับมา เธอก็ฟื้นตัวขึ้นทีละน้อย ตอนนี้เธอกำลังส่ายหัวไปมา

เหมือนกับคนที่เมาค้าง ค่อยๆลุกขึ้นจากพื้น

เมื่อพวกเราเห็นคุณหนูเหวินคืนสติ ก็คิดจะเข้าไปพูดคุยสักหน่อย

พวกเราอยากได้ยินเบาะแสดีๆจากปากของเธอ และยังอยากฟังเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเธอตายอีกด้วย

เนื่องจากผีชั่วขู่พวกเรา บอกว่าจะกลับมาล้างแค้น

ถ้าพวกเราได้ข้อมูลที่มีประโยชน์มาก่อน ไม่แน่ตอนที่ผีชั่วนั้นมาล้างแค้น พวกเราอาจเตรียมความพร้อมได้อย่างเต็มที่

เมื่อเข้าไปใกล้คุณหนูเหวิน และคุณหนูเหวินก็เห็นพวกเรา

 

วินาทีนั้นเธอไม่ได้แสดงสีหน้าสยดสยองออกมา ในทางกลับกันเธอยังแสดงท่าทางและสีหน้าที่หวาดกลัว

“พวก พวกคุณเป็นใคร พวกคุณ พวกคุณจะทำอะไร ถ้ายังเข้ามาอีกฉันจะโทรแจ้งตำรวจ……” คุณหนู

เหวินกลัวมาก เธอยกมือทั้งสองขึ้นและคลำไปทั่วตัว ดูเหมือนกำลังหาโทรศัพท์ และคิดว่าพวกเราเป็นคนเลว

ดูเหมือนหลังจากที่พลังชั่วร้ายออกจากร่างคุณหนูเหวิน เธอก็กลับมามีสติอย่างสมบูรณ์

นอกจากนี้ยังมีความทรงจำตอนมีชีวิต และยังไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว

ผมไม่รอให้อาจารย์และคนอื่นๆได้พูด ผมพูดกับคุณหนูเหวินทันที “เหวินเยี่ยน คุณหนูเหวินใช่ไหมครับ! พวกเราไม่ใช่คนเลวครับ!”

 

“คุณเป็นใคร แล้วรู้ชื่อฉันได้ยังไง ฉันไม่รู้จักพวกคุณสักหน่อย! ถ้าพวกคุณต้องการเงิน บอกเลขบัญชีมาได้เลย เดี๋ยวฉันโอนให้คุณทันที เพียงแค่ เพียงแค่อย่าทำร้ายฉันก็พอ”

ผมยิ้มแห้งๆออกมา จากนั้นผมก็กำลังจะอธิบายให้เธอฟังอีกครั้ง

แต่ใครจะไปรู้ว่าเฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างๆกลับพูดออกมาดื้อๆ “เธอตายไปแล้ว”

“ตายแล้ว แกนะซิตาย!” คุณหนูเหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย ร่างกายยังคงถอยหลังอย่างต่อเนื่อง

เมื่อผมได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูดออกมาตรงขนาดนี้ ก็ไม่อ้อมค้อมอีกตอไป “คุณหนูเหวิน พวกเราทุกคนเป็นนักพรตครับ เป็นคนจัดการเรื่องงานศพของคุณ ถ้าคุณไม่เชื่อ ก็ลองดูที่ร่างของตัวเองดีๆซิครับ และคิดให้ดีๆ!”

 

เมื่อคุณหนูเหวินได้ยินผมพูดแบบนี้ เธอก็อึ้งในทันที

อดไม่ได้ที่จะก้มมองร่างกายของตัวเอง เธอพบว่าตอนนี้ตัวเองกำลังใส่ชุดสีขาว ตัวลอยอยู่เหนือพื้น และเนื้อตัวยังเย็นอีกด้วย

นอกจากนี้เท้าของตัวเอง กำลังเขย่งอยู่ ไม่สามารถแตะพื้นได้ ไม่มีการเต้นของหัวใจ

ทันใดนั้น สีหน้าของคุณหนูเหวินก็เปลี่ยนไปทันที เธอเผยสีหน้าที่หวาดกลัวออกมา

ส่ายหัวไม่หยุด ไม่มีทาง เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง ฉันไม่ได้ทำงาน OT อยู่ที่บริษัทเหรอ ฉันจะ จะตายได้ไง

เมื่อผมได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “คุณขับรถกลับบ้าน แล้วก็เกิดอุบัติเหตุ……”

 

คุณหนูเหวินลืมตาขึ้น และมองมาที่ผม อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “รถ รถชน……”

แต่พึ่งพูดสองคำนี้ออกมาเท่านั้น ม่านตาของคุณหนูเหวินก็ขยายใหญ่ทันที เธอจับที่หัวอย่างแรง เห็นได้ชัดว่าเธอกลัวมาก ราวกับความทรงจำอันเลวร้ายได้กลับมาอีกครั้ง

ไม่เพียงแค่นี้ ขณะนั้นเองคุณหนูเหวิน ยังร้องออกมาว่า “อร๊าย! ผีผี! อย่า อย่า อย่าเข้ามา……”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset