ศพ – ตอนที่ 4 ไก่ตัวใหญ่

จู่ๆก็ถูกอาจารย์ปลุก และยังได้ยินคำพูดแบบนี้ ทั้งตัวจึงตื่นขึ้นมาทันที

หลังจากนั้นอาจารย์ก็รีบส่งชุดให้ผม “รีบใส่นี่ก่อน!”

เมื่อมองดู กลับพบว่ามันเป็นผ้าห่อศพสีเทา ตัวผ้ายังมีรอยต่างๆอยู่ด้วย

เมื่อเห็นสิ่งนี้ วินาทีนั้นฉันก็เผยสีหน้าอึดอัดใจออกมาทันที “อาจารย์ นี่มันชุดที่คนตายใส่ไม่ใช่เหรอ จะเอามาให้ผมใส่ทำไม”

อาจารย์มกรอกตามองบนใส่ผม จากนั้นก็พูดด้วยความหงุดหงิด “บอกให้ใส่ก็ใส่ซิ ต่อไปนี้ แกต้องทำตัวเป็นคนตาย”

“ทำไมละครับ”

“ไอ้เด็กนี้จะพูดมากทำไมฮะ จะบอกแกให้ ผ้าห่อศพผืนนี้จะปิดกั้นพลังหยางในร่างแกได้ ไม่อย่างนั้นถ้ารอจนให้ผีชาวประมงมา แกก็ออกไปอาบน้ำที่ริมแม่น้ำกับพวกมันได้เลย!”

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น หน้าของผมก็ซีดทันที ไม่กล้าบ่นเพิ่มอีกต่อไป ผมรีบคว้ามันมาใส่ทันที

ในเวลาเดียวกัน อาจารย์ยังเขียนวันเดือนปีเกิดของผมแล้วยัดเข้าไปในท้องของไก่เรียบร้อย

จากนั้นเขาก็รีบผูกเชือกสีแดงที่เท้าไก่ ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งผูกติดไว้กับนิ้วก้อยซ้ายของผม

เมื่อทำเรื่องพวกนี้เสร็จ อาจารย์ก็ให้ผมอุ้มไก่ไว้ จากนั้นก็พาผมเดินออกไปด้านนอก

ผมถามอาจารย์ว่าจะไปไหน อาจารย์กลับตอบว่าไปสุสาน

บอกว่าที่นั้นพลังหยินแรง สามารถปกปิดพลังในร่างกายผมได้ง่าย และจะได้ไม่ถูกจับได้ง่ายๆด้วย

เมื่ออาจารย์พูดเช่นนี้ ผมก็ไม่มัวพูดมากอีกต่อไป เดินตามอาจารย์มายังสุสานทันที

พวกเราพึ่งมาถึงที่นี่ ก็เห็นเหล่าฉินออกมาต้อนรับทันที

เหล่าฉินเป็นเพื่อนสนิทของอาจารย์ เขาก็พอรู้เรื่องศาสตร์ฮวยจุ้ยเสริมมงคลและหลบเลี่ยงจากสิ่งชั่วร้ายอยู่บ้าง

เมื่ออาจารย์เห็นเหล่าฉิน เขาก็ไม่พูดอ้อมค้อมแต่อย่างใด พูดออกมาตรงๆ “เหล่าฉิน ฉันพาลูกศิษย์มาหลบภัยร้าย”

เหล่าฉินพยักหน้า “ที่นี่ไม่มีใครอยู่แล้ว มีแค่ฉันคนเดียว!”

เมื่อพูดจบ เหล่าฉินก็พาพวกเราเข้าไปข้างในทันที

สุดท้ายพวกเราก็มาหยุดอยู่หน้าห้องเก็บศพ อาจารย์บอกว่าที่ห้องเก็บศพนี้มีพลังหยินมากที่สุดในสุสาน การซ่อนตัวอยู่ที่นี่ จะสามารถสร้างความสับสนให้กับผีชาวประมงพวกนั้นได้มากที่สุด

จากนั้นเขาก็บอกให้เหล่าฉินกลับไปพักผ่อน ก่อนออกไปดูเหมือนเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ขณะที่คำพูดกำลังจะออกจากปากเขากลับกลืนมันลงไปอีกครั้ง

เหล่าฉินรู้ดีว่าคืนนี้พวกเราจะต้องเจอกับอะไร ถึงเขาจะอยู่ที่นี่ ก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี

ดังนั้นจึงบอกให้คืนนี้พวกเราระวังตัวกันดีๆ จากนั้นเขาก็เดินออกไปจากที่นี่เพียงลำพัง

หลังจากเหล่าฉินออกไป อาจารย์ก็จุดธูปในห้องเก็บศพ

บอกให้ผมบอกกล่าวลุงๆป้าๆที่อยู่ที่นี่ให้ดี จากนั้นก็ให้ผมโรยข้าวสารจำนวนมากในห้อง และบอกว่านี่คือค่าผ่านทาง

ในเวลาเดียวกัน อาจารย์ยังบอกให้ผมไหว้ไก่ตัวนั้นด้วยความเคารพถึงสามครั้ง

บอกว่าทุกสิ่งมีจิตวิญญาณ คืนนี้ไก่เหลืองตัวนี้จะสละชีวิตให้ผม นี่คือตัวรับเคราะห์แทนผม บอกให้ผมขอบคุณมันดีๆ

สำหรับคำพูดของอาจารย์ ผมย่อมทำตาม เพราะทั้งหมดนี้มันเกี่ยวข้องกับชีวิตของผม

เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เรียบร้อย เวลาก็ล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืนกว่าๆแล้ว

อาจารย์ยังพูดเตือนสติผมอีกนิดหน่อย ความหมายก็คล้ายๆกับที่เขาพูดเมื่อวาน

ก็คือห้ามพูด ห้ามอ้าปากมั่วซั่ว ทำตัวเองให้เหมือนคนตาย

สุดท้าย อาจารย์ก็ชี้ไปที่โลงศพสีดำที่อยู่ในห้องเก็บศพ “เสี่ยวฝาน คืนนี้แกต้องอุ้มไก่ซ่อนตัวอยู่ใต้โลงนั่น!”

โลงศพนั้นถูกวางไว้บนม้านั่ง ข้างใต้เปิดโล่ง ไม่มีแม้แต่ผ้าชิ้นเดียว สถานที่แบบนี้จะซ่อนคนได้เหรอ แค่มองผ่านไปก็ถูกเจอตัวแล้วมั้ง

ผมรู้สึกแปลกใจ จึงถามออกมา “อาจารย์ พูดผิดรึป่าวครับ ใต้โลงนั้นไม่มีอะไรปิดเลยนะ จะซ่อนตัวได้เหรอครับ”

อาจารย์ไม่ได้ทำหน้าหงุดหงิดใส่ฉัน และเขายังอธิบายให้ฉันฟังด้วย “คนเห็นได้ แต่ไม่ได้เแปลว่าผีชาวประมงนั้นจะมองเห็น รอให้เธอมาถึง แกก็ปล่อยไก้ตัวนี้ไปก็พอแล้ว!”

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็สบายใจทันที

จึงทำเสียง “อือ” เพื่อเป็นการตอบรับ จากนั้นผมก็เดินเข้าไปอยู่ใต้โลงสีดำ ในมือยังจับไก่ตัวนั้นไว้แน่นจนตอนนี้มันไม่กล้าขยับตัวเลยสักนิด

ในเวลาเดียวกัน อาจารย์ยังยื่นกระจก 8 ทิศให้ผม บอกว่าถ้าเกิดเหตุสุวิสัยขึ้น ก็ให้ผมเอามันออกมาใช้ป้องกันตัวเอง

เมื่อเห็นอาจารย์ยังยืนอยู่ ผมจึงถามว่าแล้วอาจารย์จะไปซ่อนตัวที่ไหน

แต่อาจารย์กลับพูดว่า ถ้าเขายังอยู่ที่นี่ต่อ พลังหยางจะแข็งแกร่งขึ้น และมันจะทำให้ผมถูกเปิดเผยตัวได้ง่าย

บอกให้ผมซ่อนตัวอย่างสบายใจ เพราะเขาจะคอยจับตาดูอยู่ข้างนอก

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็เดินออกไปจากที่นี่

ในเวลานี้ห้องเก็บศพเงียบมาก ทั้งมืดทั้งเย็น และต้องซ่อนตัวอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยโลงศพ ความรู้สึกแบบนั้นควรเรียกว่าลุ้นระทึกจริงๆ

หลังจากรออยู่ที่นี่ประมาณ 1 ชั่วโมง ภายในห้องปิดตาย จู่ๆก็มีลมเย็นพัดเข้ามา

แต่เดิมก็เป็นห้องที่เย็นอยู่แล้ว ในวินาทีนั้นมันยิ่งเพิ่มความเย็นขึ้นอีกสองสามองศา

หลังจากผ่านประสบการณ์เมื่อคืน ผมก็รู้ทันที ว่ามันจะต้องเป็นผีชาวประมงผู้หญิงนั้นเข้ามาแน่นอน

ดวงตาของผมเบิกกว้าง หันไปมองรอบๆไม่หยุด สีหน้าเคร่งเครียด

ทันใดนั้น ผมก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออกเบาๆ “แอ๊ด…” จากนั้นก็เห็นประตูห้องเก็บศพที่อยู่ไม่ไกลนั้น ถูกคนนอกเปิดออก

ช่วงเวลานี้ผมหน้าดำคร่ำเครียด เมื่อเห็นว่าประตูถูกเปิดออก ผมก็เครียดขึ้นมาทันที

และไก่ในมือของผม ในเวลานี้มันดันดิ้นทุรนทุรายขึ้นมา มันกระวนกระวายมาก

วินาทีต่อมา ผมก็เห็นร่างของผู้หญิงที่มีผมเผ้ายุ่งเหยิงเดินเข้ามา

เหมือนกับผู้หญิงคนเมื่อคืนแป๊ะ สวมชุดสีขาว เดินเขย่งเท้า เดินเข้ามาด้วยลักษณะแปลกๆ

เมื่อเห็นภาพนี้ ผมก็หยุดกลืนน้ำลายทันที นี่ นี่มันผีชาวประมงผู้หญิง ในที่สุดก็ปรากฎตัว

ผมรู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ลืมเรื่องที่ต้องปล่อยไก่ออกไป

ผมรีบปล่อยไก่ที่มีท่าทางกระวนกระวายออกจากใต้โลงทันที ไก่ก็ร้อง “กะต๊าก” ออกมาสองครั้ง จากนั้นมันก็กระพือปีกและวิ่งออกไป

แต่เนื่องจากที่เท้ายังมีด้ายแดงผูกอยู่ ดังนั้นมันจึงไม่สามารถวิ่งหนีไปได้

ในเวลาเดียวกัน จู่ๆผีผู้หญิงที่อยู่หน้าประตูก็หันมามองที่ไก่ ใบหน้าขาวซีดที่ไร้ชีวิตชีวา ทันใดนั้นก็เผยรอยยิ้มที่น่าสยองขวัญออกมา

ดวงตาเหมือนตาปลาที่ตายแล้ว จับจ้องมาที่ไก่เหลืองตัวใหญ่

เมื่อเห็นท่าทางของผีผู้หญิง ผมก็กลัวจนไม่กล้าหายใจเลยทีเดียว ปิดปากและโน้มตัวให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

ส่วนผีผู้หญิงตนนั้นกลับเขย่งเท้า เดินเข้ามาด้วยท่าทางที่แปลกมากๆ ทันใดนั้นเธอก็พูดออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง “ซนจริงๆนะเจ้าเด็กน้อย ทำพี่สาวคนนี้หาตัวตั้งนาน!”

เมื่อพูดจบ ผีผู้หญิงก็เดินเข้ามาหาไก่ตัวนั้นทันที

ส่วนเจ้าไก่ตัวนั้นเหมือนกับมันรับรู้ได้ถึงอันตรายมันจึงแสดงท่าทางกระวนกระวายออกมา และยังพยายามหลบหนีไปจากผีผู้หญิงตนนั้นด้วย

แต่สุดท้ายมันก็ถูกผีผู้หญิงตนนั้นต้อนเข้ามุม แม้สุดท้ายมันก็ยังพยายามดิ้นรนต่อไป

ผีผู้หญิงเผยรอยยิ้มที่น่าขนลุกออกมา “เด็กน้อย เธออย่าได้กลัวไป มาให้พี่สาวจับหน่อยนะ!”

หลังจากพูดจบ ผีผู้หญิงก็เอื้อมมือที่ขาวซีดออกมา ไม่เพียงเท่านั้นบนนิ้วของเธอยังมีเล็บที่แหลมคมอยู่ด้วย

ไก่ตัวนั้นไม่สามารถวิ่งหนีไปไหนได้อีก มันร้อง “กะต๊าก” ออกมาสองครั้ง จากนั้นกูถูกผีผู้หญิงจับตัวไว้ได้

ไก่ยังคงไม่หยุดดิ้นรน แต่ผีผู้หญิงก็ไม่ยอมคลายมือออก กอดรัดไก่ที่อยู่ในมือตลอดเวลา โดยเฉพาะที่คอของมัน

เธอยังพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น “เจ้าเด็กน้อยเธอนี่มันเซ็กซี่จริงๆ ขนหนานุ่ม สมกับที่เป็นลูกผู้ชายจริงๆ……”

เดิมทีผมยังรู้สึกกลัว แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้ ผมก็เกือบจะกระอักเลือดออกมาทันที ยัยผีนี่มีรสนิยมแบบนี้นี่เอง

ในเวลาเดียวกันผมก็แอบพูด คุณไก่ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่คืนนี้ผมต้องมาทำเรื่องเลวร้ายกับคุณ

เมื่อผมคิดถึงจุดนี้ ผีผู้หญิงตนนั้นก็ค่อยๆอ้าปาก จากนั้นก็เข้าไปสูดดมที่หัวไก่

พูดแล้วก็แปลก ในวินาทีสุดท้ายไก่ยังคงดิ้นรนไม่หยุด มันพยายามกระพือปีก แต่ขณะนั้นเองมันเหมือนหมดกำลังใจ มันท้อแท้ จนแม้แต่คอของมันยังห้อยลง

เมื่อเห็นฉากนี้ ผมก็รู้สึกสิ้นหวังมาก จากนั้นขนของผมก็ค่อยๆลุกจนเหมือนหนังของไก่ที่ถูกถอนขน

ยัยผีนี่กำลังดูดพลังหยาง เมื่อก่อนเคยได้ยินอาจารย์พูดว่า การที่ผีร้ายต้องการมาเอาชีวิตก็เพื่อดูดซับพลังหยางนี้

และถ้าโดนดูดไปหนึ่งครั้ง สิบวันหรือครึ่งปีก็อย่าหวังว่ามันจะฟื้นขึ้นมาได้

ถ้าโดนดูดออกไปมาก อาจทำให้เสียชีวิตได้ทันที

แต่มันก็เป็นสิ่งที่เคยได้ยินมาเท่านั้น ผมยังไม่เคยเห็นมันมาก่อน เหตุการณ์ตอนนี้ถือว่าเป็นการได้เพิ่มความรู้อีกหน่อย

หลังจากนั้นไก่ก็เริ่มอิดโรย จู่ๆสีหน้าของผีผู้หญิงตนนั้นก็เปลี่ยนไป เธอเผยสีหน้าโกรธแค้นออกมา

เธอพูดด้วยความโกรธ “ไม่ได้เรื่อง คิดว่าเป็นผู้ชายแข็งแกร่งซะอีก คิดไม่ถึงจะห่วยได้ขนาดนี้! มีพลังหยางน้อยแค่นี่เนี่ยนะ”

หลังจากพูดจบ ผีผู้หญิงตนนั้นก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เธออ้าปากกว้าง แล้วกัดเข้าไปที่คอของไก่ทันที

วินาทีนั้น ไก่ร้อง “กะต๊าก” ออกมาสองครั้ง กระพือปีกอีกสองที จากนั้นมันก็หมดลมหายใจ

ตอนนี้ที่ปากของผีผู้หญิงเต็มไปด้วยหยาดเลือด เธอก็โยนไก่ทิ้งลงพื้น

หลังจากมองมันด้วยสายตาที่อาฆาต ไม่นานเธอก็หันหลังจากไป

เมื่อเห็นว่าผีผู้หญิงจากไปแล้ว ผมก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา มองไปข้างหน้า หวังว่ายัยผีนั้นจะออกไปเร็วๆ ตัวเองจะได้ผ่านพ้นคืนนี้ได้ซะที

แต่ตอนที่ยัยผีนั้นเดินมาถึงประตู ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทันที

จู่ๆ ด้านนอกประตูก็มีผู้ชายเดินเข้ามา

ตอนที่ผู้ชายคนนั้นปรากฎตัว ฉันก็รู้ทันทีว่าเขาเป็นใคร ชายคนนั้นก็คือผู้ชายที่กลายเป็นศพไปเมื่อสองวันก่อน สามีของผีผู้หญิงนั้นเอง

เมื่อผีผู้ชายเดินเข้ามา เขาก็มองไปที่ผีผู้หญิงทันที “เมียจ๋า ไปเก็บวิญญาณของเจ้าเด็กนั้นมารึยัง”

ผีผู้หญิงตนนั้นพยักหน้า “เก็บแล้ว แต่ว่าพลังหยางของมันน้อยมาก ไม่พอให้ฉันดูดถึงหนึ่งลมหายใจด้วยซ้ำ!”

หลังจากพูดจบ ผีผู้หญิงตนนั้นก็ชี้มาที่ไก่ตัวนั้น

ผีผู้ชายจึงมองตาม แต่เมื่อเขาเห็น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

เขาพูดด้วยความโมโห “อีเมียโง่ โดนชาวบ้านมันหลอกอีกแล้ว……”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset