ศพ – ตอนที่ 434 ยกให้

ตอนที่ 434 ยกให้

ติดตามอาจารย์มานานขนาดนี้ ไม่คิดไม่ฝันมาก่อน ว่าอาจารย์ยังมีบางอย่างซ่อนอยู่

ฟังจากน้ําเสียงของอาจารย์ สิ่งที่อาจารย์ซ่อนไว้ ต้องร้ายกาจและทรงพลังมากแน่ๆ

ถึงกับจ้องทดสอบผมนานขนาดนี้ ตอนนี้ยังต้องให้ผมสาบานก่อน แล้วถึงจะถ่ายทอดให้ผม

ผมตื่นเต้น รู้สึกลุ้นสุดๆ

ผมนึกถึงฉากซ้ําๆเดิมๆในนวนิยายมากมาย ที่ตัวเอกมักได้เจอกับคนแก่ที่แข็งแกร่งจนไม่มีใครเทียบได้

ยอมถ่ายทอดวิชายุทธให้

ตาแก่บนถนน แลกวิชายุทธกับเงินเพียงไม่กี่สิบหยวน หลังฝึกเสร็จแล้ว เขาก็จะลอยหายไป

แล้วก็ยังมี พวกของที่ตกทอดมาจากอาจารย์ วันหน้าไม่ว่าจะลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

ไอ้หยา อาจารย์ผมจะถ่ายทอดวิชาเทพๆอะไรให้ผมหรือเปล่านะ

ผมตาโต ในใจมีความคิดประหลาดผุดขึ้นมากมาย

แต่หลังจากอาจารย์เอาของสิ่งนั้นออกมาแล้ว ม่านตาของผมก็ขยายออกอย่างรวดเร็ว

มันคือถุงหอมสีดํา เหมือนด้านในจะใส่อะไรบางอย่างเอาไว้

อาจารย์เอาถุงหอมสีดําอันนั้นออกมา จากนั้นก็พูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน นี่เป็นของที่ตกทอดมาจากอาจารย์ฉัน ตอนนี้ฉันจะยกเจ้านี่ให้แก หวังว่าแกจะทําตามที่สาบานไว้ อย่าลืมมันเด็ดขาด ด้วยความสามารถและนิสัยของแก อาจารย์เชื่อว่า แกต้องเข้าใจมันในเวลาที่สั้นที่สุดแน่ๆ”

อาจารย์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง แถมยังท่าทางลับๆล่อๆขนาดนั้น มันเลยทําให้ผมอยากรู้มาก

ว่าเจ้านี่มันคืออะไรกันแน่ ทําไมอาจารย์ถึงต้องเป็นแบบนี้

ผมไปรับถุงหอมสีดําด้วยมือทั้งสองข้าง “อาจารย์วางใจได้ ศิษย์จะไม่ทําให้ผิดหวังอย่างแน่นอน”

“ลุกขึ้นมาเถอะ ! แกลองแกะออกมาดู !” อาจารย์พูดออกมาอีกครั้ง

“อ๋อ !” หลังพูดจบ ผมก็รีบลุกขึ้น

ในเวลาเดียวกัน ผมก็รีบแกะถุงหอมออก อยากรู้ว่าใส่อะไรเอาไว้ข้างในกันแน่

แต่หลังแกะถุงหอมเสร็จ ผมกลับนิ่งอึ้งไปทันที

เพราะผมพบว่าด้านในถุงหอม ใส่ของที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายเกล็ดปลาเอาไว้ ตัวมันมีขนาดเกือบครึ่งฝ่ามือ

รูปทรงเหมือนพัด สีม่วง ค่อนข้างหนัก แต่ไม่เหมือนเหล็ก และไม่เหมือนสแตนเลส ไม่รู้ว่าเป็นวัสดุประเภทไหน

ผมหยิบออกมาวางไว้บนมือ แล้วมองสํารวจด้วยความสงสัย “อาจารย์ เจ้านี่คืออะไร ?”

อาจารย์รินเหล้าให้ตัวเองอีกรอบ “อาจารย์ปู่ของแก บอกว่านี่คือเกล็ดชิ้นหนึ่ง”

“เกล็ด เกล็ดปลาเหรอ ? แต่ทําไมมันใหญ่ขนาดนี้ละ ?” ผมทําหน้าสงสัย

เหมือนอาจารย์จะดื่มมากเกินไปแล้ว เขาส่ายหัว และยังเรอออกมา “ไม่ใช่เกล็ดปลา อาจารย์ปู่ของแกบอกว่า นี่คือเกล็ดของกิเลน”

“อะไรนะ ? กิเลน ?” ผมตะลึงใจทันที

ผมมองอาจารย์ที่หน้าแดงแล้ว ท่าทางเหมือนคนเมาเหล่า ด้วยหน้าตาเล็กลัก

เฮอะ ! เกล็ดกิเลนงั้นเหรอ ตีให้ตายผมก็ไม่เชื่อ

แต่อาจารย์กลับดื่มอีกหนึ่งอีก แล้วถึงพูดต่อ “ใช่ ตอนนั้นอาจารย์ของแกพูดเอาไว้แบบนี้ และบนเกล็ดอันนี้ ยังมีวิชาฝึกพลังสลักเอาไว้อีกด้วย ถ้าฝึกสําเร็จ จะไม่มีใครในฝ่ายอธรรมเอาชนะได้เลย แต่ถ้าคนฝึกมีใจคิดชั่ว ก็อาจหลงเข้าไปในทางมารได้

“จริงหรือเปล่าเนี่ยอาจารย์ มันเทพขนาดนั้นเลย ? ผมมองตั้งนานสองนาน ก็ยังไม่เห็นมีเคล็ดวิชาอะไรเขียนเอาไว้เลยนะ” ผมพูดต่อ คิดว่าอาจารย์เมาแล้วหรือเปล่าเลยพูดแบบนั้นออกมาเพื่อหลอกผม

แต่อาจารย์กลับพูดต่อ “จริงๆ ขอแค่แกรู้วิธีอ่านมัน แต่ฉันกับอาจารย์ปู่ของแก แล้วก็อาจารย์ของอาจารย์อีกที ก็ยังไม่มีใครอ่านมันได้เลย”

พอได้ยินแบบนั้น ผมก็มีนในทันที

อาจารย์ของอาจารย์ของอาจารย์ของอาจารย์ของผม……นี่มันพี่รุ่นไหนกันเนี่ย

คนมากมายขนาดนั้นยังไม่มีทางได้อ่าน งั้นมันก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีใครได้ฝึกน่ะซิ

“อาจารย์ ไปโดนใครหลอกมาหรือเปล่า อาจารย์แน่ใจจริงๆเหรอว่าอาจารย์ปู่ให้มาน่ะ ?”

อาจารย์ดื่มเหล้าต่อ “ เหลวไหล ถึงอาจารย์กับอาจารย์ปู่ของแก และอาจารย์ท่านอื่นๆจะไม่ได้ฝึกเจ้านี่

แต่ศิษย์พี่ของแก ได้ฝึกมันนะ ! ”

ตอนพูดถึงตรงนี้ อาจารย์กลับหันหน้ามาอย่างรวดเร็ว เขาจ้องผมอย่างจริงจัง ดวงตาเหมือนจะลุกเป็นไฟ

พอได้ยินถึงตรงนี้ ในใจผมก็มีเสียงดัง “ถูก” ทําหน้าประหลาดใจออกมาทันที

ศิษย์พี่ของผม ผมอยู่กับอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก แต่กลับไม่เห็นจะมีศิษย์พี่อะไรสักคน

ผมคิดว่าอาจารย์เมาแล้ว เลยพูดไปเรื่อย

แต่หลังจากดื่มเหล้าอีกอีกเสร็จ อาจารย์ก็พูดต่อ “ เสี่ยวฝาน เกล็ดอันนี้ มีวิชาที่สุดยอดอยู่มันมีชื่อว่า

เฟินเทียนกง การจะฝึกวิชานี้ได้ ต้องมีจิตใจที่ดีงาม ก่อนหน้าแก อาจารย์เคยรับศิษย์คนหนึ่ง เขาก็คือศิษย์พี่ของแก ”

“เฟนเทียนกง ศิษย์พี่ ทั้งหมดนี่คงไม่ใช่เรื่องจริงหรอกนะ ?” อยู่กับอาจารย์มานานขนาดนี้ พอนับๆดูแล้ว

ก็ผ่านไป 21 ปีแล้ว แต่จู่ๆก็ได้ยินอาจารย์พูดว่า ผมยังมีศิษย์พี่คนหนึ่ง ผมเลยเริ่มจะรับไม่ไหวแล้ว

“นี่เป็นเรื่องจริง แต่ศิษย์พี่ของแกมีจิตใจไม่ซื่อตรง ตอนนั้นอาจารย์ยกของสิ่งนี้ให้เขา หวังว่าเขาจะสืบทอดวิชาของเหล่าอาจารย์ได้ ศิษย์พี่ของแกก็ไม่ทําให้ผิดหวัง เขาอ่านเคล็ดวิชาในนี้ได้จริงๆ แต่ แต่หลังจากนั้น กลับเป็นเพราะใจคิดชั่วเลยหลงเข้าไปเดินในเส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับได้” อาจารย์พูดต่อ

“อาจารย์ ถ้าอย่างนั้น ที่อาจารย์พูดก็เป็นเรื่องจริงหมดน่ะซิ” ผมค่อนข้างตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง

อาจารย์กลับพยักหน้าเล็กน้อย “ ไม่พูดถึงมันแล้ว นี่ก็ผ่านมายี่สิบปีแล้ว แกเก็บเจ้านี่เอาไว้ให้ดีๆ

แล้วลองพยายามหาทางเอาละ……”

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็ยกแก้วขึ้นอีกครั้ง แล้วดื่มมันจนหมด

พอดื่มหมดแก้วนี้แล้ว อาจารย์ก็ไม่พูดอะไรอีก เห็นได้ชัดว่าเขาค่อนข้างเศร้า จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปในห้องทันที

ทิ้งให้ผมยืนอยู่คนเดียว ผมจับเจ้าท่าทางเหมือนเกล็ดปลามามองแบบอึ้งๆ

ผมมองเกล็ดปลานี่ทีนึง จากนั้นก็หันไปมองทางอาจารย์ทีนึง สุดท้ายก็ค่อยๆนั่งลง เอาเจ้าสิ่งนี้มาไว้บนมือแล้วมองมันอย่างละเอียด

นอกจากเจ้าสิ่งนี้จะเหมือนเกล็ดปลาแล้ว ผมก็ไม่เห็นอะไรอีก

ส่วนวิชาเฟินเทียนกงอะไรนั้น ผมไม่เห็นเลยสักนิด

ถ้าสิ่งที่อาจารย์พูดเป็นเรื่องจริงทั้งหมด งั้นเจ้าสิ่งนี้ ก็อาจเป็นเหมือนที่อาจารย์พูดไว้ จะต้องผ่านขั้นตอนบางอย่างก่อน

แต่ขั้นตอนอะไรละ เผาไฟ จุ่มลงไปในน้ําเหรอ

พอคิดถึงตรงนี้ ผมก็ลองดู แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และไม่มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้น

หลังจากนั่งในบ้านมาครึ่งชั่วโมง ผมก็กลับเข้าไปในห้อง

ผมล้มตัวลงนอนบนเตียง จ้องมันที่อยู่ในมือ แต่หลังจากจ้องอยู่นานสองนาน ผมก็ไม่เห็นจะมีอะไรต่างไปจากเดิม

ผมเลยคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยลองถามอาจารย์ดู จากนั้นตัวผมก็ค่อยเผลอหลับไป

เมื่อเช้าวันรุ่งขึ้นมาถึง ผมก็ถือเจ้าสิ่งนี้ออกไปถามอาจารย์

อาจารย์กลับฉีกยิ้มให้ผม แล้วบอกว่าเขาลองหาวิธีมาทั้งชีวิต ก็ยังไม่เห็นอะไรเลย ดังนั้นตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะอ่านมันได้ยังไง

นอกจากเรื่องนี้ ตอนผมถามอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องศิษย์พี่ อาจารย์กลับถอนหายใจออกมา แล้วก็โบกมือให้ผม

บอกว่าก่อนหน้าผม มีศิษย์พี่คนนึงอยู่จริงๆ

ส่วนเรื่องชื่อ ตัวเขาอยู่ที่ไหน ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง อาจารย์กลับโบกมือ เหมือนกับไม่อยากพูดถึง

ถึงจะรู้สึกสงสัย แต่พอเห็นอาจารย์เป็นแบบนั้น ผมก็ไม่พยายามถามต่อ

แต่ตอนนั้นผมยังนึกไม่ออก ว่าก่อนหน้านี้ตอนอาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้ผม อาจารย์เคยพูดเอาไว้ว่า คราวนี้ไม่ได้ถ่ายทอดให้คนผิดอีก

ตอนนั้นเขาพูดคำว่า “อีก” เพียงแต่ตอนนั้นผมไม่ได้เก็บมาใส่ใจ

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ พอเห็นอาจารย์ไม่พูด ผมก็ไม่สนใจเขาอีก

วันนี้เป็นวันแรกของปีใหม่ พวกเราไม่เปิดร้าน

หลังกินข้าวเสร็จ ผมก็หยิบเจ้าเกล็ดปลาอันนั้นออกมา แล้วกลับเข้าไปลองหาวิธีต่อให้ห้อง

ผมเองก็อยากรู้ว่า ในนี้มีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่

ทําไมถึงต้องพิเศษถึงขนาดนี้ จําเป็นต้องซ่อนเอาไว้ในเจ้าน ทําไมถึงเรียกเจ้านี่ว่าเกล็ดกิเลนด้วย

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset