พูดแล้วก็แปลก หลังจากเฟิงเฉว่หานกินยาเม็ดนั้น ผลลัพธ์กลับรุนแรงยิ่งกว่ายาทั่วไป
แค่กินเข้าไปเท่านั้น อาการของเฟิงเฉว่หานก็บรรเทาลงทันที
ไม่เพียงแค่นี้ ช่วงเวลาต่อมาสีหน้าของเขายังดีขึ้นไม่น้อย
ผ่านไปประมาณ 10 วินาที ดวงตาของเฟิงเฉว่หานก็กลับมาเป็นปกติ ฟันก็ไม่กระทบกัน แต่เขายังคงสั่นอยู่เล็กน้อย
เมื่อผมเห็นอาการของเฟิงเฉว่หานดีขึ้น ก็รีบส่งแก้วน้ำไปให้เฟิงเว่หานทันที
“เหล่าเฟิง นายป่วยเป็นอะไร ทำไมจู่ๆอาการก็กำเริบขึ้นมาละ เมื่อกี้ทำฉันตกใจแทบแย่เลยนะ!” ผมตกใจจริงๆ ตอนนั้นจึงยังพูดด้วยความรู้สึกหวาดกลัว
ตอนนี้เฟิงเฉว่หานฟื้นตัวขึ้นมาก จนสามารถลุกขึ้นมานั่งบนเตียงได้
เขารับแก้วน้ำจากมือผม ด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น
เขาดื่มน้ำก่อนหนึ่งอึด จากนั้นก็พูดว่า “ปัญหาเก่าน่ะ แต่มันไม่ใช่โรคนะ!”
เมื่อได้ยินเฟิงเฉว่หานบอกว่ามันไม่ใช่โรค ผมต้องไม่เชื่ออย่างแน่นอน
ชั่งเถอะ! เมื่อกี้ยังสั่นอย่างกับเต้นในผับ แล้วตอนนี้จะมาบอกฉันว่าไม่ใช่โรคเนี่ยนะ ผีนะซิจะเชื่อนาย
เฟิงเฉ่วหานเห็นผมทำหน้าแปลกๆ แต่ก็ไม่อธิบายอะไรมาก “นายคิดว่ามันแปลกมากซินะ แต่มันไม่ใช่โรคจริงๆ แค่ตอนที่อาการกำเริบ จะเกิดท่าทางเหมือนเมื่อกี้น่ะ”
เฟิงเฉ่วหานพูดออกมาเบาๆ แต่ผมก็ยังไม่เชื่อเขาอยู่ดี
คิดซิ! นี่อาจเป็นความในใจของเฟิงเฉว่หาน ปฏิเสธอาการป่วยของเขาเอง คนที่เชื่อมั่นว่าตัวเองแข็งแกร่งมากอย่างเขา คงไม่อยากยอมรับเรื่องแบบนี้
ผมคิดว่าอาจเป็นแบบนี้ ดังนั้นจึงพูดกับเฟิงเฉว่หานว่า “อือ ฉันเชื่อนาย แต่นายอย่ายอมแพ้แล้วล้มเลิกการรักษา ชีวิตของคนเรายังเต็มไปด้วยความหวังนะ!”
ผมพูดคำพูดนี้ด้วยความจริงใจ แต่หลังจากเฟิงเฉว่หานได้ยิน เขาก็แทบจะกระอักเลือดออกมาทันที
แต่เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พิเศษ ดังนั้นตอนนั้นเขาจึงยังไม่บอกเหตุผลที่แท้จริงกับผมทั้งหมด
เนื่องจากตอนนี้ผมนอนไม่หลับแล้ว จึงนั่งดูทีวีและคุยกับเฟิงเฉว่หานอยู่ในห้อง
ประมาณ 5 โมงครึ่ง อาจารย์ นักพรตตู๋ และเหล่าฉินก็เดินมาเคาะประตู
หลังออกจากโรงแรม พวกเราก็ไปร้านอาหารหาอะไรกินกันอีกหน่อย จากนั้นก็รีบออกเดินทางไปป่าช้าเก่าทันที
ป่าช้าเก่าอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 30 กิโลเมตร เพราะมันอยู่ห่างไกล จึงเดินไปไม่ค่อยสะดวก พวกเราจึงนั่งรถมาประมาณ 2 ชั่วโมง
หลังจากพวกเรามาถึงเชิงเขาของป่าช้าเก่า ก็เป็นเวลา 2 ทุ่มครึ่งแล้ว
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ป่าช้าเก่าจึงเต็มไปด้วยความมืดมิด ประมาณว่าไม่สามารถมองเห็นรูปร่างที่ปรักหักพังของป่าช้าเก่า ผ้าขาวที่แขวนไว้อาลัยวิญญาณทั้งทางด้านซ้ายและขวา หรือเศษขี้เถ้าสีดำที่เกิดจากการเผากระดาษเงินกระดาษทอง และยังพวกกระถางที่ใช้เผาได้อย่างทันที
สรุปก็คือ สถานที่แห่งนี้มีพลังหยินแรงมาก เป็นความมืดมิดที่แปลกมากนั้นเอง
ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวจนตัวสั่น จากนั้นผมก็หันไปพูดกับอาจารย์ “อาจารย์ พลังหยินของที่นี่แรงมาก วิญญาณเร่ร่อนที่อยู่ที่นี่ต้องเยอะมากแน่ๆ!”
แต่อาจารย์กลับยิ้มออกมาเล็กน้อย “ใช่มีเยอะเลยละ เมื่อกี้ทางเล็กๆที่พวกเราเดินผ่านมาก็มีผีเต็มไปหมด! มีทั้งคนแก่และเด็กวนอยู่รอบๆ พวกมันต่างมองมาที่พวกเรา!”
หลังจากอาจารย์พูดจบ อากาศที่อยู่รอบๆ ก็มีลมกระโชกเกิดขึ้นอย่างฉับพรัน
ไม่เพียงเท่านั้น ดูเหมือนจะมีใครบางคนหายใจรดต้นคอผมจากทางด้านหลังด้วย
สิ่งนี้ทำให้ผมตกใจ จนขนลุกแล้วลุกอีก
กลับกันเหล่าฉิน นักพรตตู๋และคนอื่นๆ ที่ทำงานในสายงานเดียวกัน ต่างเคยเห็นลมกระโชกมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงสงบมาก
แน่นอนว่าผมไม่สามารถพูดออกมาได้ แม้ว่าในใจจะหลอนจนสุดขีด แต่ก็ยังคงแกล้งทำเป็นสงบเหมือนเดิม
แม้ว่าพวกเราจะเคยได้ยินชื่อป่าช้าเก่าแห่งนี้ แต่ก็ยังไม่เคยมาเลยสักครั้ง
สำหรับวัดร้างที่อยู่ในป่าช้าตั้งอยู่ไหน พวกเราเองก็ยังไม่รู้
ดังนั้นหลังจากมาถึงที่นี่ พวกเราจึงต้องค้นหามันด้วยตัวเอง
แต่สิ่งที่แปลกคือ พวกเขาค้นหาในป่าช้ามาประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ยังไม่พบร่องรอยของวัดร้างเลยสักนิด
ทุกคนต่างรู้สึกมึนงง สถานที่แห่งนี้ใหญ่ขนาด ที่ทำให้พวกเราหาวัดร้างไม่เจอเชียวเหรอ
ตอนนี้ ทุกคนเริ่มสงสัย ว่าเหวินจ้งโกหกรึเปล่า
“อาจารย์ ดูเหมือนเจ้าเหวินจ้งจะโกหกพวกเรานะครับ ที่นี่ไม่มีวัดร้างตั้งแต่แรกแล้ว!” จู่ๆเฟิงเฉ่วหานก็พูดออกมา กำลังบอกว่าพวกเราเข้ามาติดกับดัก
นักพรตตู๋ อาจารย์ และเหล่าฉิน ต่างขมวดคิ้ว เผยสีหน้าที่หดหู่ออกมา
“เหมือนจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ที่นี่ไม่มีวัดร้างอะไรนั้นตั้งแต่แรกแล้ว พวกเราต้องถูกหลอกแน่!” นักพรตตู๋พูด
เมื่อได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็รู้สึกเสียใจนิดหน่อย จึงคิดจะหาทางกลับที่พัก
เพราะตอนนี้ถึงพวกเราจะอยู่ที่นี่ต่อ ก็ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว
แต่ตอนนั้นเอง จู่ๆผมก็มองเห็นแผ่นหินที่อยู่ห่างออกไป ด้านบนนั้นยังมีแมวป่าตัวอ้วนสีดำนอนอยู่ด้วย
ตอนที่ผมเห็นแมวดำตัวนั้น สติของผมก็หลุดทันที ผมเผยท่าทางตกตะลึงออกมา
เพราะแมวดำตัวนั้นคุ้นตามาก ถ้าผมเดาไม่ผิด แมวดำตัวนี้จะต้องเป็นตัวที่ไปทำให้ศพของคุณหนูเหวินเปลี่ยนไปแน่ จู่ๆแมวป่าเรียกศพตัวนั้นก็ปรากฎตัวขึ้น
ถ้าเป็นแบบนั้น เรื่องนี้มันก็ดูแปลกๆไปหน่อยนะ
บ้านของคุณหนูเหวินอยู่ห่างจากป่าช้านี้มาก นี่มันถึงผ่านไปไม่กี่วัน เจ้าแมวป่าตัวนี้กลับวิ่งมาอยู่ที่นี่เนี่ยนะ
เรื่องนี้มันผิดปกติชัดๆ เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็รีบตะโกนบอกเฟิงเฉว่หานทันที “เหล่าเฟิง นายมามองไปที่นั้นซิ!”
เฟิงเฉว่หานทำหน้าสงสัย เขาจึงมองไปตามนิ้วของผม
ทันใดนั้นเมื่อเขาได้เห็นภาพตรงหน้า ก็เผยสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา “ใช่ ใช่แมวป่าตัวนั้น!”
“แมวป่าอะไร” อาจารย์ไม่เข้าใจ
ผมรีบอธิบาย “ก็คืนนั้นที่ศพของคุณหนูเหวินเปลี่ยนแปลง ก็เป็นเพราะแมวป่าตัวนั้นไปอยู่บนโลงแล้วร้องออกมาไงครับ!”
“แมวตัวนี้มาอยู่ที่นี่งั้นเหรอ มันจะต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่! เจ้าหมอผีกุ๋ยและผีชั่ว อาจอยู่ที่นี่ก็ได้ และเจ้าแมว เจ้าแมวตัวนี้ยังมีกลิ่นของศพแรงมาก มันต้องไม่ใช่แมวป่า แต่เป็นแมวศพที่คนเลี้ยงขึ้นมา” อาจารย์พูดออกมาอีกครั้ง
ผมเคยได้ยินเรื่องแมวศพมาเช่นกัน บอกว่าคือการนำเนื้อของศพมาให้แมวชนิดหนึ่งกิน
หลังจากเลี้ยงแมวชนิดนี้จนโต รูปร่างของมันจะใหญ่กว่าแมวธรรมดาถึงหนึ่งเท่า และยังมีนิสัยดุร้ายมากด้วย
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ แมวศพชนิดนี้จะมีพลังเยอะมาก จนเสียงร้องของมันดูดวิญญาณได้ มันสามารถทำให้คนช็อกจนเสียชีวิตได้เลยทีเดียว
“ใช่แล้ว มันคือแมวศพ เจ้าแมวศพตัวนี้มีพลังมหาศาลมาก มันจะต้องถูกคนเลี้ยงไว้แน่ ถ้าพวกเราตามมันไป! อาจหานายของเจ้าแมวศพตัวนี้เจอก็ได้!” นักพรตตู๋ก็พูดออกมาเช่นกัน
แต่เสียงพึ่งจางหาย ดูเหมือนเหล่าฉินจะค่อนข้างใจร้อน “ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วจะรออะไรอยู่ละ!”
หลังจากพูดจบ เหล่าฉินก็หยิบก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่งจากนั้นก็โยนใส่แมวดำทันที “ไอ้สัตว์เดรัจฉาน!”
เดิมทีแมวตัวนั้นนอนหลับตาอยู่บนแผ่นหิน ทันใดนั้นเหมือนมันจะรู้ถึงอันตรายที่กำลังมาถึง จึงลืมตาขึ้น และรีบกระโดด หลบหินก้อนนั้นได้อย่างฉิวเฉียด
ปากของมันยังร้อง “เมี๊ยว” ออกมา เสียงดังมาก มันเสียงหนามากและทุ้มมาก
ดวงตาที่เปล่งประกายของมัน หันมาจ้องพวกเรา ดูเหมือนมันจะไม่กลัวเลยสักนิด
“ไอ้สัตว์เดรัจฉาน ยังร้องอีกนะ!” เหล่าฉินยังพูดต่อ
ขณะที่พูด เอาก็หยิบหินขึ้นมาโยนอีก
หลังจากแมวตัวนั้นหลบได้สองสามครั้ง มันก็หมุนตัว และวิ่งหนีไปอีกทางหนึ่ง
เมื่ออาจารย์และนักพรตตู๋เห็นสิ่งนี้ พวกเราก็ตะโกนออกมาทันที “ตามไป!”
ขณะที่พูด พวกเราก็เริ่มวิ่งตามแมวป่าตัวนี้
เจ้าแมวป่าตัวนี้วิ่งเร็วมาก แต่ถึงอย่างนั้นตั้งแต่ต้นจนจบพวกเราก็ไม่คาดสายตาจากมันสักครั้ง
หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที พวกเราก็เข้ามาสู่ทุ่งหญ้าหนาทึบแห่งหนึ่ง
หลังพวกเราวิ่งออกมาจากทุ่งหญ้า ทันใดนั้นก็พบว่า วัดเก่าๆที่หามาตั้งนาน กลับปรากฎขึ้นตรงหน้าของพวกเรา……