ศพ – ตอนที่ 47 วัดผี

วินาทีที่พวกเราเห็นวัดเก่า สายตาของทุกคนกลับหยุดนิ่ง เผยสีหน้าแห่งความสุขออกมา

ในที่สุดพวกเราก็ไม่เดินหาอย่างเสียแรงเปล่า คิดไม่ถึงว่าวัดร้างจะอยู่ในสถานที่ลึกลับที่เต็มไปด้วยพุ่มหญ้ารกทึบ แต่มันอยู่ไม่ไกลจากพวกเราเลยสักนิด

เพราะสถานที่แห่งนี้อยู่ติดกับภูเขาและไร้ซึ่งแสงจันทร์ ดังนั้นถ้าไม่เข้ามาใกล้ๆ ก็คงไม่สามารถมองเห็นวัดร้างแห่งนี้ได้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเราใช้เวลาเดินตามหาถึง 2 ชั่วโมงก็ยังไม่เจอ

ส่วนแมวดำตัวนั้น ก็วิ่งไปทางวัดร้างด้วยความรวดเร็ว

เมื่อเห็นสิ่งนี้ อาจารย์ก็เผยสีหน้าที่มืดมน “ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ที่เหวินจ้งพูดถึง มันต้องเป็นที่นี่ไม่ผิดแน่ ป่ะ พวกเราไปดูข้างในกันสักหน่อย! แต่ต้องเปิดตาก่อน ไม่อย่างนั้นเราอาจถูกลอบโจมตีได้”

 

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดประโยคนี้ ทุกคนก็พยักหน้ารับทันที

หลังจากนั้นทุกคนก็ลงมืออย่างรวดเร็ว หยิบขวดน้ำตาวัวออกมาและป้ายไปที่เปลือกตาทันที

หลังจากนั้นความรู้สึกเย็นๆก็เกิดขึ้น ป่ารกทึบที่อยู่ตรงหน้าก็สว่างขึ้นมาทันตา

เมื่อหันไปมองรอบๆ ก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติอะไร ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่เห็นผีที่เร่ร่อนอยู่ในป่าด้วย

แต่อากาศที่อยู่รอบๆ กลับมีหมอกสีขาวที่ปะปนไปด้วยพลังอันชั่วร้าย

เมื่อเห็นว่ารอบๆไม่มีอันตราย ทุกคนก็เริ่มเดินไปที่วัดร้าง

การผุพังของวัดร้างนั้นทรุดโทรมมาก ทุกๆที่ต่างมีหญ้าหนาๆขึ้นเต็มไปหมด ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันถูกทิ้งร้างมานานแค่ไหน

 

ยิ่งเข้าใกล้วัดร้าง ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงพลังชั่วร้ายของที่นี่ ไม่ใช่แค่นั้นพลังชั่วร้ายที่มียังแรงมาก จนอากาศที่อยู่รอบๆสามารถทำให้คนรู้สึกไม่สบายได้เลย

หลังจากที่พวกเรามาถึงประตูวัด อาจารย์และนักพรตตู๋ก็บอกให้ผมและเฟิงเฉ่วหานถอยไป และไปอยู่ด้านหลังของพวกเขา เผื่อตอนที่เข้าไป จะถูกกับดักที่ประตูเล่นงาน

สำหรับเหล่าฉิน ที่เดินอยู่ข้างหลังสุดนั้น ก็คอยระวังอันตรายที่อาจเกิดขึ้นที่ข้างหลัง

ตอนนี้พวกเราได้เดินมาอยู่ที่หน้าประตู บนบานประตูไม้ที่ผุพังมีมอดขึ้นอยู่จำนวนมาก จึงนำพามาซึ่งกลิ่นเหม็นอับ

นักพรตตู๋และอาจารย์มองมันแค่แป๊บเดียว จากนั้นผมก็เห็นนักพรตตู๋ใช้ดาบไม้ทำลายซากมอดเหล่านั้นนิดหน่อย

 

จากนั้น ประตูไม้ที่อยู่ในป่าที่เงียบสงับ ก็มีเสียงดังแสบแก้วหู “เอี๊ยด….” มันค่อยๆถูกเปิดออกทีละนิด

เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น ทุกก็เริ่มตื่นตัวอย่างเคร่งเครียด

สมาธิของผมจดจ่ออยู่ที่ดวงตา จ้องประตูที่ถูกเปิดออกอย่างไม่ละสายตา

ขณะที่เสียง “เอี๊ยด…” ดังขึ้น ประตูได้ก็ค่อยๆเปิดออก

วิวของด้านใน ก็ค่อยๆปรากฎขึ้นตรงหน้าของพวกเรา

ตอนที่ประตูไม้เปิดออกได้แค่ครึ่ง “พรึบ” สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที

วินาทีนั้น ผมรู้สึกตัวสั่นไปทั้งตัว

 

แม้แต่ความรู้สึกกลัวขนหัวลุกก็ยังมี เหมือนบนหัวของผมจะมีลมเย็นพัดเข้ามา จนถึงปลายเท้าของผมเลยทีเดียว

เนื่องจากผมสามารถมองเห็นอย่างชัดเจน ภายในวัดแห้งแล้งอย่างไม่น่าเชื่อ และนอกจากนี้ยังมี “ศพ” ถูกแขวนไว้ถึงสามศพ

ศพทั้งสามนี้ต่างสวมชุดสีขาว ผมเผ้ายุ่งเหยิง จนสามารถมองเห็นใบหน้าที่ขาวซีดผ่านทางช่องว่างระหว่างเส้นผมเท่านั้น

ส่วนที่คอของศพ มีเชือกป่านเส้นหนาผูกติดไว้กับคานเป็นแนวตั้ง

 

ขณะที่ประตูเปิดออก สายลมอ่อนๆ ก็ค่อยๆพัดร่างของพวกเขาลอยตามลม ภาพแบบนั้นมันทำให้คนที่เห็นตกใจกลัวสุดๆ

ไม่เพียงเท่านี้ ด้านหน้าตัววัด ยังมีรูปปั้นหัวขาดอยู่อีกหนึ่งอัน

เมื่อมองข้ามไปมันเผยให้เห็นใบหน้าที่เย็นชาของผู้ชาย เขากำลังใช้มือลูบแมวดำตัวนั้น

และยังพูดออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้ง “เจ้าดำน้อย รอให้ฉันฆ่าพวกมันก่อนนะ แล้วจะเฉือนเนื้อสดๆของพวกมันมาให้แกกิน!”

หลังจากพูดจบ แมวดำตัวนั้นก็แสดงท่าทางดีใจอย่างออกนอกหน้า  ดวงตาทั้งสองข้างของมันจับจ้องไปที่ผู้ชายคนนั้น ในปากยังร้องตอบรับว่า “เมี๊ยว”

 

เนื่องจากเสียงนี้ดังขึ้นในค่ำคืนที่เงียบสงัด มันจึงฟังดูหลอนสุดๆ ความรู้สึกนั้นเหมือนใจของคุณกำลังถูกกรงเล็บข่วน

ไม่เพียงเท่านี้ หลังจากเสียงแมวดังขึ้น ศพนิรนามที่แขวนอยู่ที่คานวัด ก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้น

วินาทีนั้น ผมดำยาวก็ปลิวไสว

เผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดขาวชวนให้คนหวาดผวา และดวงตาทั้งสองข้างของพวกเขา ยังเปิดขึ้นมาทันที ไร้ซึ่งนัยน์ตา เป็นสีขาวโพน เหมือนกับตาปลาตาย

วินาทีที่พวกเขาลืมตาขึ้น ยังเผยรอยยิ้มที่ชวนขนหัวลุก จนทำให้คนที่มองอยู่ชาไปทั้งตัว

ทันใดนั้น ผมก็ได้สติกลับคืนมา

 

ผมมองคนสองสามคนที่อยู่ในวัด จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงไป

วัดแห่งนี้ เป็น เป็นที่อยู่ของผี

บนคานวัด มีศพสามศพเท่านั้นที่แขวนอยู่

งั้นผู้ชายที่กำลังลูบแมวดำ ก็เป็นนายของผีชั่วที่ออกไปฆ่าคนในคืนนั้นซิ

ตอนแรกผมคิดว่า ในวัดแห่งนี้มีคนมากสุดแค่สองคน

คือหมอผี และผีชั่ว

แต่ผมไม่รู้เลยสักนิดว่า กองกำลังของอีกฝ่ายจะมากถึงขนาดนี้ ถึงกับมีผีถึง 4 ตน

 

แต่ละตนยังไม่มีม่านตา และทั้งหมดต้องเป็นผีที่ร้ายกาจมากแน่

ถึงผมจะติดตามอาจารย์ขายธูปเทียนกระดาษเงินกระดาษทองมาหลายสิบปี แต่วินาทีที่เห็นก็ตกตะลึงเช่นกัน

แต่ความมุ่งมั่นก็ทำให้ตัวเองสงบลง ผมปลอบใจตัวเองว่า อีกฝ่ายมีสี่คน แต่พวกเรามีห้าคน พวกเรามีคนเยอะกว่าไม่ต้องกลัวไม่ต้องกลัว……

ผู้นำอย่างอาจารย์และนักพรตตู๋ไม่กลัวเลยสักนิด พวกเขายังยกคิ้วขึ้น จากนั้นผมก็ได้ยินอาจารย์พูดว่า “เป็นรังผีที่ดีนิ อยู่กันพร้อมหน้าเลยนะ ดีคืนนี้ฉันจะได้จัดการทีเดียวเลย!”

แต่ผีชั่วตนนั้นกลับหัวเราะอย่างเยือกเย็น จู่ๆมันก็ลุกขึ้นมา “ฮึ! ประตูนรกไม่มีแต่พวกแกกลับเข้ามา ดีฉันจะได้ไม่ต้องไปหาพวกแก ดันเอาตัวเองมาส่งถึงที่”

 

หลังจากพูดจบ ผีชั่วตนนั้นก็ยกมือขึ้น ทันใดนั้นประตูที่อยู่ด้านหลังของพวกเราก็ปิดดัง “ปัง”

ไม่เพียงเท่านี้ ผีร้ายสามตนที่แขวนคออยู่บนคานวัด ก็ค่อยๆยกกรงเล็บขึ้นมา

จากนั้นก็คำราม “โฮก” ออกมา พวกมันเล็งมาที่พวกเราและพุ่งเข้ามาทันที

เชือกที่แขวนคอเส้นนั้นขาดดัง “บึก” เห็นได้ชัดว่าพวกมันแรงเยอะมาก

เมื่ออาจารย์ นักพรตตู๋ และเหล่าฉินเห็นสถานการณ์เปลี่ยนไป พวกเขาก็พูดฮึออกมาอย่างเย็นชา จากนั้นไม่ลังเล จับดาบไม้ขึ้นและพุ่งเข้าไปต้อนรับทันที

ทันใดนั้น การต่อสู้ของคนหกคนก็เปิดฉากขึ้น

 

ผมและเฟิงเฉว่หานเองก็ไม่ยืนโง่ เมื่อเห็นผีชั่วตนนั้นลูบแมวดำที่อุ้มอยู่อย่างต่อเนื่อง ร่างกายของผมก็เลือดร้อนขึ้นมาทันที “เหล่าเฟิง พวกเราไปจัดการหัวหน้ามันกันเถอะ!”

ชัดเจนมาก ผีชั่วตนนี้เป็นหัวหน้าของที่นี่

ขอแค่กำจัดเขาได้ กองทัพก็จะไร้ผู้นำ จากนั้นพวกเราก็จะมีโอกาสชนะมากกว่าเดิม

ผมและเฟิงเฉ่วหานร่วมมือกัน อาจมีโอกาสเอาชนะเขาได้

เมื่อวันก่อนอาจารย์และนักพรตตู๋ทำผีชั่วตนนี้บาดเจ็บ เพื่อหนีเอาชีวิตรอดเจ้าผีชั่วตนนี้ ถึงกับใช้วิชามารขั้นสุดยอดในการเอาตัวรอด

 

นี่พึ่งผ่านไปแค่วันเดียวเท่านั้น อาการบาดเจ็บของเขาจะต้องยังไม่หายเป็นปกติแน่

ดังนั้น ผมถึงได้กล้าพูดแบบนั้นออกไป แต่ก็ยังไม่บุกเข้าไปคนเดียว

เฟิงเฉว่หานไม่พูดอะไร รีบพยักหน้าทันที

จากนั้น ผมสองคนก็เอาอาวุธออกมา และพุ่งเข้าไปหาผีชั่วตนนั้นทันที

เนื่องจากดาบไม้และดาบเหรียญของผมถูกทำลาย ดังนั้นตอนนี้ผมจึงใช้ดาบเหรียญของเหล่าฉิน

ดาบเหรียญที่ใช้สั้นไปนิดหน่อย แต่มันก็ทรงพลังเช่นเดิม

ฉากการต่อสู้ตัวต่อตัวก็เริ่มขึ้น ผมและเฟิงเฉว่หานพุ่งไปที่ด้านหน้าของผีชั่ว

 

ผีชั่วตนนั้นแสดงสีหน้ามืดมน โยนแมวดำทิ้งไปทันที จากนั้นเขาก็เผยคมเขี้ยวที่น่าสยดสยองออกมา

ปากของเขาคำรามออกมาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นเผยให้เห็นกรงเล็บที่แหลมคม

ผมไม่กล้าประมาท รีบยกมือขึ้นต้านทานทันที

ทันใดนั้น “ปัง” เสียงนี้ก็ดังขึ้น กรงเล็บข้างหนึ่งของเขากระทบเข้ากับดาบเหรียญ วินาทีนั้นผมรู้สึกถึงพลังแปลกๆ จากนั้นก็รู้สึกชาระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ จนดาบเหรียญในมือหลุดออก

ไม่รอให้ผีชั่วโจมตีอีกครั้ง เฟิงเฉ่วหานเองก็พุ่งเข้าไปเช่นกัน

ผีชั่วตนนั้นจึงไม่สนใจผมอีก มันหันไปรับมือกับเฟิงเฉ่วหานแทน

 

ทันใดนั้นเสียง “บึก บึก บึก” เฟิงเฉ่วหานก็ถูกดันไปข้างหลัง เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ต้านทานไม่ไหวเช่นกัน

เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

ดูเหมือนผมจะประเมินพลังของเจ้านี้ต่ำไป ผมประเมินว่าพลังของตัวเองเหนือกว่า

แต่ถึงอีกฝ่ายจะบาดเจ็บ ภายใต้สถานการณ์สองรุมหนึ่งที่ผมและเฟิงเฉ่วหานทำอยู่ กลับดูเหมือนว่าพวกเราจะเป็นฝ่ายที่ต้านทานไว้ไม่ไหว……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset