วินาทีที่พวกเราเห็นวัดเก่า สายตาของทุกคนกลับหยุดนิ่ง เผยสีหน้าแห่งความสุขออกมา
ในที่สุดพวกเราก็ไม่เดินหาอย่างเสียแรงเปล่า คิดไม่ถึงว่าวัดร้างจะอยู่ในสถานที่ลึกลับที่เต็มไปด้วยพุ่มหญ้ารกทึบ แต่มันอยู่ไม่ไกลจากพวกเราเลยสักนิด
เพราะสถานที่แห่งนี้อยู่ติดกับภูเขาและไร้ซึ่งแสงจันทร์ ดังนั้นถ้าไม่เข้ามาใกล้ๆ ก็คงไม่สามารถมองเห็นวัดร้างแห่งนี้ได้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเราใช้เวลาเดินตามหาถึง 2 ชั่วโมงก็ยังไม่เจอ
ส่วนแมวดำตัวนั้น ก็วิ่งไปทางวัดร้างด้วยความรวดเร็ว
เมื่อเห็นสิ่งนี้ อาจารย์ก็เผยสีหน้าที่มืดมน “ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ที่เหวินจ้งพูดถึง มันต้องเป็นที่นี่ไม่ผิดแน่ ป่ะ พวกเราไปดูข้างในกันสักหน่อย! แต่ต้องเปิดตาก่อน ไม่อย่างนั้นเราอาจถูกลอบโจมตีได้”
เมื่อได้ยินอาจารย์พูดประโยคนี้ ทุกคนก็พยักหน้ารับทันที
หลังจากนั้นทุกคนก็ลงมืออย่างรวดเร็ว หยิบขวดน้ำตาวัวออกมาและป้ายไปที่เปลือกตาทันที
หลังจากนั้นความรู้สึกเย็นๆก็เกิดขึ้น ป่ารกทึบที่อยู่ตรงหน้าก็สว่างขึ้นมาทันตา
เมื่อหันไปมองรอบๆ ก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติอะไร ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่เห็นผีที่เร่ร่อนอยู่ในป่าด้วย
แต่อากาศที่อยู่รอบๆ กลับมีหมอกสีขาวที่ปะปนไปด้วยพลังอันชั่วร้าย
เมื่อเห็นว่ารอบๆไม่มีอันตราย ทุกคนก็เริ่มเดินไปที่วัดร้าง
การผุพังของวัดร้างนั้นทรุดโทรมมาก ทุกๆที่ต่างมีหญ้าหนาๆขึ้นเต็มไปหมด ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันถูกทิ้งร้างมานานแค่ไหน
ยิ่งเข้าใกล้วัดร้าง ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงพลังชั่วร้ายของที่นี่ ไม่ใช่แค่นั้นพลังชั่วร้ายที่มียังแรงมาก จนอากาศที่อยู่รอบๆสามารถทำให้คนรู้สึกไม่สบายได้เลย
หลังจากที่พวกเรามาถึงประตูวัด อาจารย์และนักพรตตู๋ก็บอกให้ผมและเฟิงเฉ่วหานถอยไป และไปอยู่ด้านหลังของพวกเขา เผื่อตอนที่เข้าไป จะถูกกับดักที่ประตูเล่นงาน
สำหรับเหล่าฉิน ที่เดินอยู่ข้างหลังสุดนั้น ก็คอยระวังอันตรายที่อาจเกิดขึ้นที่ข้างหลัง
ตอนนี้พวกเราได้เดินมาอยู่ที่หน้าประตู บนบานประตูไม้ที่ผุพังมีมอดขึ้นอยู่จำนวนมาก จึงนำพามาซึ่งกลิ่นเหม็นอับ
นักพรตตู๋และอาจารย์มองมันแค่แป๊บเดียว จากนั้นผมก็เห็นนักพรตตู๋ใช้ดาบไม้ทำลายซากมอดเหล่านั้นนิดหน่อย
จากนั้น ประตูไม้ที่อยู่ในป่าที่เงียบสงับ ก็มีเสียงดังแสบแก้วหู “เอี๊ยด….” มันค่อยๆถูกเปิดออกทีละนิด
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น ทุกก็เริ่มตื่นตัวอย่างเคร่งเครียด
สมาธิของผมจดจ่ออยู่ที่ดวงตา จ้องประตูที่ถูกเปิดออกอย่างไม่ละสายตา
ขณะที่เสียง “เอี๊ยด…” ดังขึ้น ประตูได้ก็ค่อยๆเปิดออก
วิวของด้านใน ก็ค่อยๆปรากฎขึ้นตรงหน้าของพวกเรา
ตอนที่ประตูไม้เปิดออกได้แค่ครึ่ง “พรึบ” สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที
วินาทีนั้น ผมรู้สึกตัวสั่นไปทั้งตัว
แม้แต่ความรู้สึกกลัวขนหัวลุกก็ยังมี เหมือนบนหัวของผมจะมีลมเย็นพัดเข้ามา จนถึงปลายเท้าของผมเลยทีเดียว
เนื่องจากผมสามารถมองเห็นอย่างชัดเจน ภายในวัดแห้งแล้งอย่างไม่น่าเชื่อ และนอกจากนี้ยังมี “ศพ” ถูกแขวนไว้ถึงสามศพ
ศพทั้งสามนี้ต่างสวมชุดสีขาว ผมเผ้ายุ่งเหยิง จนสามารถมองเห็นใบหน้าที่ขาวซีดผ่านทางช่องว่างระหว่างเส้นผมเท่านั้น
ส่วนที่คอของศพ มีเชือกป่านเส้นหนาผูกติดไว้กับคานเป็นแนวตั้ง
ขณะที่ประตูเปิดออก สายลมอ่อนๆ ก็ค่อยๆพัดร่างของพวกเขาลอยตามลม ภาพแบบนั้นมันทำให้คนที่เห็นตกใจกลัวสุดๆ
ไม่เพียงเท่านี้ ด้านหน้าตัววัด ยังมีรูปปั้นหัวขาดอยู่อีกหนึ่งอัน
เมื่อมองข้ามไปมันเผยให้เห็นใบหน้าที่เย็นชาของผู้ชาย เขากำลังใช้มือลูบแมวดำตัวนั้น
และยังพูดออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้ง “เจ้าดำน้อย รอให้ฉันฆ่าพวกมันก่อนนะ แล้วจะเฉือนเนื้อสดๆของพวกมันมาให้แกกิน!”
หลังจากพูดจบ แมวดำตัวนั้นก็แสดงท่าทางดีใจอย่างออกนอกหน้า ดวงตาทั้งสองข้างของมันจับจ้องไปที่ผู้ชายคนนั้น ในปากยังร้องตอบรับว่า “เมี๊ยว”
เนื่องจากเสียงนี้ดังขึ้นในค่ำคืนที่เงียบสงัด มันจึงฟังดูหลอนสุดๆ ความรู้สึกนั้นเหมือนใจของคุณกำลังถูกกรงเล็บข่วน
ไม่เพียงเท่านี้ หลังจากเสียงแมวดังขึ้น ศพนิรนามที่แขวนอยู่ที่คานวัด ก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้น
วินาทีนั้น ผมดำยาวก็ปลิวไสว
เผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดขาวชวนให้คนหวาดผวา และดวงตาทั้งสองข้างของพวกเขา ยังเปิดขึ้นมาทันที ไร้ซึ่งนัยน์ตา เป็นสีขาวโพน เหมือนกับตาปลาตาย
วินาทีที่พวกเขาลืมตาขึ้น ยังเผยรอยยิ้มที่ชวนขนหัวลุก จนทำให้คนที่มองอยู่ชาไปทั้งตัว
ทันใดนั้น ผมก็ได้สติกลับคืนมา
ผมมองคนสองสามคนที่อยู่ในวัด จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงไป
วัดแห่งนี้ เป็น เป็นที่อยู่ของผี
บนคานวัด มีศพสามศพเท่านั้นที่แขวนอยู่
งั้นผู้ชายที่กำลังลูบแมวดำ ก็เป็นนายของผีชั่วที่ออกไปฆ่าคนในคืนนั้นซิ
ตอนแรกผมคิดว่า ในวัดแห่งนี้มีคนมากสุดแค่สองคน
คือหมอผี และผีชั่ว
แต่ผมไม่รู้เลยสักนิดว่า กองกำลังของอีกฝ่ายจะมากถึงขนาดนี้ ถึงกับมีผีถึง 4 ตน
แต่ละตนยังไม่มีม่านตา และทั้งหมดต้องเป็นผีที่ร้ายกาจมากแน่
ถึงผมจะติดตามอาจารย์ขายธูปเทียนกระดาษเงินกระดาษทองมาหลายสิบปี แต่วินาทีที่เห็นก็ตกตะลึงเช่นกัน
แต่ความมุ่งมั่นก็ทำให้ตัวเองสงบลง ผมปลอบใจตัวเองว่า อีกฝ่ายมีสี่คน แต่พวกเรามีห้าคน พวกเรามีคนเยอะกว่าไม่ต้องกลัวไม่ต้องกลัว……
ผู้นำอย่างอาจารย์และนักพรตตู๋ไม่กลัวเลยสักนิด พวกเขายังยกคิ้วขึ้น จากนั้นผมก็ได้ยินอาจารย์พูดว่า “เป็นรังผีที่ดีนิ อยู่กันพร้อมหน้าเลยนะ ดีคืนนี้ฉันจะได้จัดการทีเดียวเลย!”
แต่ผีชั่วตนนั้นกลับหัวเราะอย่างเยือกเย็น จู่ๆมันก็ลุกขึ้นมา “ฮึ! ประตูนรกไม่มีแต่พวกแกกลับเข้ามา ดีฉันจะได้ไม่ต้องไปหาพวกแก ดันเอาตัวเองมาส่งถึงที่”
หลังจากพูดจบ ผีชั่วตนนั้นก็ยกมือขึ้น ทันใดนั้นประตูที่อยู่ด้านหลังของพวกเราก็ปิดดัง “ปัง”
ไม่เพียงเท่านี้ ผีร้ายสามตนที่แขวนคออยู่บนคานวัด ก็ค่อยๆยกกรงเล็บขึ้นมา
จากนั้นก็คำราม “โฮก” ออกมา พวกมันเล็งมาที่พวกเราและพุ่งเข้ามาทันที
เชือกที่แขวนคอเส้นนั้นขาดดัง “บึก” เห็นได้ชัดว่าพวกมันแรงเยอะมาก
เมื่ออาจารย์ นักพรตตู๋ และเหล่าฉินเห็นสถานการณ์เปลี่ยนไป พวกเขาก็พูดฮึออกมาอย่างเย็นชา จากนั้นไม่ลังเล จับดาบไม้ขึ้นและพุ่งเข้าไปต้อนรับทันที
ทันใดนั้น การต่อสู้ของคนหกคนก็เปิดฉากขึ้น
ผมและเฟิงเฉว่หานเองก็ไม่ยืนโง่ เมื่อเห็นผีชั่วตนนั้นลูบแมวดำที่อุ้มอยู่อย่างต่อเนื่อง ร่างกายของผมก็เลือดร้อนขึ้นมาทันที “เหล่าเฟิง พวกเราไปจัดการหัวหน้ามันกันเถอะ!”
ชัดเจนมาก ผีชั่วตนนี้เป็นหัวหน้าของที่นี่
ขอแค่กำจัดเขาได้ กองทัพก็จะไร้ผู้นำ จากนั้นพวกเราก็จะมีโอกาสชนะมากกว่าเดิม
ผมและเฟิงเฉ่วหานร่วมมือกัน อาจมีโอกาสเอาชนะเขาได้
เมื่อวันก่อนอาจารย์และนักพรตตู๋ทำผีชั่วตนนี้บาดเจ็บ เพื่อหนีเอาชีวิตรอดเจ้าผีชั่วตนนี้ ถึงกับใช้วิชามารขั้นสุดยอดในการเอาตัวรอด
นี่พึ่งผ่านไปแค่วันเดียวเท่านั้น อาการบาดเจ็บของเขาจะต้องยังไม่หายเป็นปกติแน่
ดังนั้น ผมถึงได้กล้าพูดแบบนั้นออกไป แต่ก็ยังไม่บุกเข้าไปคนเดียว
เฟิงเฉว่หานไม่พูดอะไร รีบพยักหน้าทันที
จากนั้น ผมสองคนก็เอาอาวุธออกมา และพุ่งเข้าไปหาผีชั่วตนนั้นทันที
เนื่องจากดาบไม้และดาบเหรียญของผมถูกทำลาย ดังนั้นตอนนี้ผมจึงใช้ดาบเหรียญของเหล่าฉิน
ดาบเหรียญที่ใช้สั้นไปนิดหน่อย แต่มันก็ทรงพลังเช่นเดิม
ฉากการต่อสู้ตัวต่อตัวก็เริ่มขึ้น ผมและเฟิงเฉว่หานพุ่งไปที่ด้านหน้าของผีชั่ว
ผีชั่วตนนั้นแสดงสีหน้ามืดมน โยนแมวดำทิ้งไปทันที จากนั้นเขาก็เผยคมเขี้ยวที่น่าสยดสยองออกมา
ปากของเขาคำรามออกมาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นเผยให้เห็นกรงเล็บที่แหลมคม
ผมไม่กล้าประมาท รีบยกมือขึ้นต้านทานทันที
ทันใดนั้น “ปัง” เสียงนี้ก็ดังขึ้น กรงเล็บข้างหนึ่งของเขากระทบเข้ากับดาบเหรียญ วินาทีนั้นผมรู้สึกถึงพลังแปลกๆ จากนั้นก็รู้สึกชาระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ จนดาบเหรียญในมือหลุดออก
ไม่รอให้ผีชั่วโจมตีอีกครั้ง เฟิงเฉ่วหานเองก็พุ่งเข้าไปเช่นกัน
ผีชั่วตนนั้นจึงไม่สนใจผมอีก มันหันไปรับมือกับเฟิงเฉ่วหานแทน
ทันใดนั้นเสียง “บึก บึก บึก” เฟิงเฉ่วหานก็ถูกดันไปข้างหลัง เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ต้านทานไม่ไหวเช่นกัน
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ดูเหมือนผมจะประเมินพลังของเจ้านี้ต่ำไป ผมประเมินว่าพลังของตัวเองเหนือกว่า
แต่ถึงอีกฝ่ายจะบาดเจ็บ ภายใต้สถานการณ์สองรุมหนึ่งที่ผมและเฟิงเฉ่วหานทำอยู่ กลับดูเหมือนว่าพวกเราจะเป็นฝ่ายที่ต้านทานไว้ไม่ไหว……