ศพ – ตอนที่ 48 สู้กับผีร้าย

ตอนที่ 48 สู้กับผีร้าย

คิดไม่ถึงจริงๆขนาดเจ้านี้กำลังบาดเจ็บอยู่ ก็ยังร้ายกาจได้ถึงขนาดนี้

ผมตกตะลึงในใจ แต่ไม่ว่าจะร้ายกาจขนาดไหน วันนี้ก็ต้องกำจัดเจ้านี้ให้ได้

ส่วนทางด้านอาจารย์และนักพรตตู๋ พวกเขายังไม่สามารถกำจัดพวกมันได้เช่นกัน

สำหรับการต่อสู้ของผีสามตนกับตาแก่สามคน บางครั้งพวกเขาก็ดูดุเดือนจนผิดปกติ บาทีผมก็แยกแยะไม่ออกว่าฝั่งไหนจะเป็นฝ่ายชนะกันแน่

ผีผูกคอตายสามตนต่อสู้กับตาแก่สามคนอย่างไม่กลัวตาย พวกมันคำราม “โฮกโฮก” ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงให้เห็นความดุร้ายและความแข็งแกร่ง

 

ทันใดนั้นเอง จู่ๆผีชั่วตนนั้นก็คำรามออกมาหนึ่งครั้ง และอ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้น จากนั้นก็พุ่งเข้ามาหาผมทันที

ในปากของมันยังคำราม “กากา” เพื่อข่มขวัญศัตรู

แต่ตอนนี้ผมกำลังหัวร้อน จึงไม่หวาดกลัวมันเลยสักนิด

ผมจับดาบเหรียญในมือให้แน่น จากนั้นก็พุ่งไปฟันมันอย่างแรง

แต่ใครจะไปรู้ว่าร่างกายของผีชั่วนั้นก็เปลี่ยนไป จู่ๆร่างของมัน ก็หายวับไปกับตา

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา

ผมหันไปมองรอบๆ เพื่อหาว่าผีชั่วหายไปไหน

 

แต่ไม่รอให้ผมเห็นการเคลื่อนไหวของผีชั่ว จู่ๆทางด้านซ้ายของผมก็มีเสียงคำรามของผีชั่ว “ไปตายซะไอ้เด็กน้อย!”

หลังจากพูดจบ กรงเล็บของผีชั่วก็พุ่งเข้ามาหาลำคอของผม

ตอนนี้กรงเล็บของมันได้แหลมคมยิ่งกว่าเดิม ราวกับดาบดีๆเล่มหนึ่ง

ถ้าผมถูกกรงเล็บของเจ้านี้เข้า ถึงจะไม่ตาย หลอดเลือดของผมก็ต้องฉีกขาดแน่

ใจผมตื่นกลัว จึงรีบหลบทันที

แต่ตอนนี้มันไม่มีทางหลบได้แล้ว เพราะระยะใกล้เกินไป จึงทำได้เพียงมองกรงเล็บที่แหลมคมพุ่งเข้ามาที่คอของผม

เพียงเสี้ยววินาที ใจผมก็รู้สึกหดเกร็ง ความรู้สึกหวาดกลัวเหมือนความตายกำลังจะมาถึงก็เกิดขึ้น

 

แต่ ในช่วงเวลาวิกฤตแบบนี้ เฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างๆกลับระเบิดเสียงออกมา “ไสหัวไป!”

ขณะที่พูด กระจกสีเงินก็ลอยเข้ามา “ปัก” มันกระแทกโดนหน้าผีชั่วเต็มๆ

ทันใดนั้นเสียง “โอ๊ย…” ก็ดังขึ้น ควันดำโพยพุ่งออกมาทันที วินาทีนั้นผีชั่วกรีดร้องโหยหวน เห็นได้ชัดว่ามันกำลังเจ็บปวดจากพลังหยางของกระจกแปดทิศ

แต่นี่ยังไม่จบ เฟิงเฉ่วหานรีบคว้าโอกาส เขากระโดดขึ้น ตรงเข้าไปถีบทันที

“ปัก” เท้าของเขาโดนเข้ากับไหล่ของผีร้ายอย่างจัง

ผีชั่วตนนั้นถูกเฟิงเฉ่วหานถีบไปหนึ่งครั้ง ร่างกายจึงเซไปข้างๆ เมื่อร่างกายสูญเสียจุดศูนย์ถ่วง กรงเล็บนั้นจึงเฉียดใบหน้าของผมไป

 

อีกนิดเดียวมันก็เกือบจะทำร้ายผมได้แล้ว ผมจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดผวา

ถึงจะยังหวาดกลัว แต่ก็ไม่ได้ยืนอยู่นิ่งๆ ผมไม่ปล่อยให้ชีวิตและความตายอยู่บนเส้นด้าย

รีบจับดาบในมือแน่น จากนั้นก็แทงเข้าไปที่หลังของผีชั่ว

เพราะตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่พอเหมาะพอเจาะ ดังนั้นผมจึงไม่ลังเลที่จะรีบขยับตัวทันที

เมื่อรวมกับการโจมตีสายฟ้าแลบ หรือเรียกได้ว่าการลงมือขั้นสุดยอด ผมจึงมั่นใจว่ามันอาจสำเร็จได้ถึง 90 %

ถ้าผีชั่วตนนี้ถูกดาบเหรียญในมือของผมแทงทะลุเสื้อกล้าม ถึงมันจะไม่ตายก็บาดเจ็บสาหัสอยู่ดี

เมื่อเห็นว่าดาบเหรียญเริ่มเข้าใกล้เสื้อกล้ามของผีชั่วมากขึ้นเรื่อยๆ ผมก็ยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่

 

แม้แต่ เห็นภาพที่เจ้านี้โดนผมแทงตายคามือ

แต่สิ่งที่ใครก็คิดไม่ถึงคือ วินาทีที่ผมกำลังจะได้แทงผีชั่วตนนี้

ผีร้ายหนึ่งตนที่กำลังสู้กับนักพรตตู๋และคนอื่นๆ กลับหายตัวไปและปรากฎตัวขึ้นที่ระหว่างกลางของผมและผีชั่ว

ผลลัพธ์เมื่อดาบแทงเข้าไป กลับไม่โดนตัวผีชั่ว แต่เป็นผีร้ายตนนั้นที่เข้ามาขวาง

ผีร้ายตนนั้นจะสามารถรับพลังหยางจากดาบเหรียญได้ยังไง วินาทีนั้นมันกรีดร้องโหยหวนออกมาทันที ควันดำโพยพุ่งเยอะมาก และสีหน้าเปลี่ยนเป็นเจ็บปวดทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ขณะที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ผีชั่วตนนั้นก็ได้โอกาสพักหายใจ

 

เมื่อร่างกายกลับมาสงบอีกครั้ง มันดึงกระจกแปดทิศที่หน้าออก และไม่ปลายตามองผมเลยสักนิด   มันหันมามองผีผูกคอที่ถูกแทง แล้วเงยหน้าขึ้นมองจ้องผมอย่างเอาเป็นเอาตาย “สมควรตาย อีกนิดเดียวก็เกือบทำให้แกได้สมใจแล้วซินะ!”

หลังจากพูด มันก็คิดจะเข้ามาโจมตีผมอีกครั้ง

การต่อสู้กับผีชั่วประเภทนี้ ห้ามลังเลแม้แต่วินาทีเดียว ไม่อย่างนั้นชีวิตของคุณอาจจบลงอย่างง่ายดาย

ผมจับดาบเหรียญแน่น รีบดึงออกจากร่างผีร้ายทันที

ส่วนผีร้ายที่ถูกแทง ก็กรีดร้องออกมาอีกครั้ง “บึก” ร่างของมันล้มลงไปกับพื้น จากนั้นก็เริ่มสั่นเทา เห็นได้ชัดว่ามันกำลังจะตาย

 

ผมไม่สนใจ ยกดาบเหรียญขึ้นและเข้าไปแทงผีชั่วอีกครั้ง

แต่จู่ๆระหว่างนั้น นักพรตตู๋ก็พุ่งเข้ามา “ไอ้ปีศาจ คืนนี้จะเป็นวันตายของแก!”

ขณะที่พูด เขาก็พุ่งเข้าไปหาผีชั่ว

ในเวลาเดียวกัน เฟิงเฉ่วหานก็พุ่งเข้าไปเช่นกัน

แน่นอนว่าผมเองก็ไม่อยากถูกทิ้งท้าย จึงพุ่งตัวเข้าไปเช่นกัน

จากนั้นฉากการต่อสู้สามรุมหนึ่งก็เกิดขึ้น แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นนักพรตตู๋ที่มีพลังสูงที่สุดในหมู่ของพวกเราด้วย

เมื่อนักพรตตู๋ออกโรง สถานการณ์ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกๆครั้งที่เขาฟันออกไป มักเพิ่มคาถาลงไป และมันยังดูทรงพลังมากอีกด้วย

 

เจ้าผีชั่วตนนี้กำลังบาดเจ็บอยู่ ดังนั้นการต่อสู้กับผมและเฟิงเฉ่วหานจึงทำให้มันยังพอรับมือได้

แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักพรตตู๋ ผม และเฟิงเฉ่วหานที่คอยช่วยกันต่อสู้แล้ว ย่อมเป็นธรรมดาที่มันจะไม่สามารถต้านทานได้

นี่เป็นเพียงการต่อสู้แบบตัวต่อตัว มันก็ถูกโจมตีจนต้องถอยร่นไปทางด้านหลังอย่างต่อเนื่อง

ผ่านไปไม่ถึง 30 กระบวนท่า เจ้านี้ก็ถูกพวกเราบีบให้จนมุม

เมื่อเห็นว่าตนเองไม่สามารถถอยไปไหนได้อีก และกำลังถูกนักพรตตู๋ยกดาบขึ้นฟัน วินาทีชีวิตนั้น

จู่ๆแมวดำที่เคยอยู่ในฉาก ก็เข้ามาร้อง “เมี๊ยว” ที่ทางด้านหลัง จากนั้นมันก็กระโดดขึ้นมาบนหัวของนักพรตตู๋

 

มันกางกรงเล็บออก ข่วนและกัดหัวของนักพรตตู๋ทันที

นอกจากนี้ปากของมันยังร้องออกมาอย่างต่อเนื่อง ระเบิดพลังเสียงแห่งความโกรธ “เมี๊ยวเมี๊ยวเมี๊ยว”

ผมและเฟิงเฉ่วหานที่ยืนอยู่ข้างซ้ายและขวา เมื่อจู่ๆก็เห็นแมวดำปรากฎตัว พวกเราก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

จู่ๆก็ภาพแมวข่วนก็ปรากฎขึ้น ถึงมันจะไม่อันตรายถึงชีวิต

แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง  นักพรตตู๋ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ดาบสังหารอยู่ดี

นักพรตตู๋ใช้มือตีตามสัญชาตญาณ เขาคิดจะไล่แมวดำออกไป

“ไอ้สัตว์เดรัจฉานสมควรตาย ออกไป ไสหัวออกไป……”

สุดท้ายการทำแบบนี้ของเขา กลับทำให้ร่างกายแกว่งไปมา ดาบที่ยกขึ้นมาก็สั่นเช่นกัน

 

ผีชั่วตนนั้นรู้ทันที ขณะที่นักพรตตู๋กำลังวุ่นวาย มันก็ใช้โอกาสนี้พุ่งไปด้านหน้าอย่างแรง

มันเข้ามาระหว่างช่องว่างของดาบ จากนั้นก็พุ่งออกไป

แต่วินาทีที่เข้าใกล้นักพรตตู๋ มันยังพลิกมือกลับมาและทำร้ายนักพรตตู๋อีกครั้ง

“แควก” เสียงชุดฉีกขาดดังขึ้น บาดแผลและคราบเลือดสามรอยปรากฎขึ้นที่เอวของนักพรตตู๋ทันที

นักพรตตู๋เจ็บปวด เขารีบถอยไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นเขาอาจถูกข่วนอย่างแรงอีกครั้ง

แต่ผีชั่วตนนั้นไม่ตั้งใจจะฆ่านักพรตตู๋ ขณะที่นักพรตตู๋ถอยหลัง มันก็รีบหมุนตัว และพุ่งออกไปจากตัววัดทันที

 

ประตูใหญ่ที่เคยปิดไว้ “ปัง” กลับถูกเปิดออกอีกครั้ง

ไอ้ผีชั่วตนนั้นไม่ลังเลเลยสักนิด มันรีบพุ่งออกไปจากที่นี่ทันที

ส่วนแมวดำที่ข่วนนักพรตตู๋ วินาทีนั้นมันก็กระโดดไปที่ด้านข้างของนักพรตตู๋ สี่ขาของมันกระแทกกับพื้นอย่างแรง จากนั้นก็รีบวิ่งไปที่ประตู และสุดท้ายก็กลายเป็นเงา ตามเจ้าผีชั่วนั้นไปข้างนอกทันที

ยังไม่จบเพียงเท่านี้ หลังจากที่ผีชั่วและแมวดำจากไป ผีร้ายที่สู้กับอาจารย์และเหล่าฉินอย่างดุเดือด ก็หันไปรอบๆ และวิ่งหนีไปเช่นกัน

ผีตนหนึ่งออกไปทางหน้าต่าง เนื่องจากเหล่าฉินไม่สามารถหยุดมันไว้ได้

แต่ขณะที่ผีอีกตนกำลังหมุนตัว กลับถูกอาจารย์ใช้เชือกดำรัดคอเอาไว้ และใช้ดาบแทงเข้าที่ร่างของมันทันที

 

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วมาก หลังจากที่แมวดำกระโดดขึ้นมาบนหัวของนักพรตตู๋ ทำให้ช่วงเวลาที่ผีชั่วกำลังลำบากอีกครั้ง สุดท้ายก็สามารถทำลายวงล้อม และหนีออกไปจากวัดได้ เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงวินาทีกว่าๆเท่านั้น หรือเรียกได้ว่าเป็นเรื่องเพียงชั่วพริบตานั่นเอง

นี่จึงทำให้ผมและเฟิงเฉ่วหาน ไม่สามารถไปปิดกั้นประตูไว้ได้ทัน จนทำให้อีกฝ่ายหนีไปได้

นักพรตตู๋ลูบหนังศีรษะ และบาดแผลที่เอวของตัวเอง จากนั้นก็ด่าออกมาอย่างรุนแรง“สมควรตาย จะให้มันหนีไปอีกไม่ได้!”

เสียงจบลง อาจารย์ที่มีดาบในมืออยู่แล้ว ไม่มองวิญญาณของผีร้ายที่กำลังแตกสลายเลยสักนิด “บ้าเอ้ย ตามมันไป!”

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็พุ่งตัวออกไปเป็นคนแรก

การปล่อยให้ศัตรูหนีไปได้ปัญหาที่ตามมาจะมีเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด ทุกคนรู้ดีถึงวงจรนี้ดี จึงไม่รอช้า

รีบจับอาวุธไว้ในมือให้แน่น และรีบตามออกไปทันที……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset