ศพ – ตอนที่ 483 อาการไอปริศนา

ตอนที่ 483 อาการไอปริศนา

คนสองคนไอยังพอว่า แต่ตอนนี้ทุกคนกลับไอพร้อมๆกัน

แต่การไอไม่ใช่เรื่องแปลกสิ่งที่แปลกคือทุกคนไอ

นักพรตเฉินและนักพรตหวังที่กําลังสลบอยู่ ก็ฟื้นขึ้นมาพร้อมอาการไอ หน้าแดงหูแดง ไอราวกับปอดจะทะลุออกมา และยังไอเป็นเลือดอีกหลายครั้ง

ความรู้สึกแบบนั้น เหมือนเป็นไข้หวัดนกไม่มีผิด

“แค่กๆๆ……”

พวกเราไอติดต่อกันประมาณสองสามวินาที แต่นอกจากนักพรตหวังและนักพรตเฉินแล้ว พวกเราก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปไม่นานอาการไอก็หายไป หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอื่นอีก

ถึงทุกคนจะรู้สึกสงสัย ไม่เข้าใจว่าเพิ่งมาถึงหน้าประตูแล้ว ทําไมทุกคนถึงไอออกมาพร้อมกัน

แต่เพราะมันเกิดขึ้นแค่คร่เดียว และกําลังรีบดังนั้นทุกคนเลยไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ

สนใจแค่รีบเดินทาง เพราะเราอยากออกจากที่นี่เร็วๆ

ในขณะเดินทางพวกเราแต่ละคนต่างรีบวิ่งออกมาข้างนอก แต่มันกลับยังมีอาการแน่นหน้าอกนิดหน่อยและมีไอ “แค่กแค่ก” ออกมาอีกสองครั้ง

ผมคิดว่าคงเป็นผลจากนางพญาสถิตร่าง เลยไม่ได้คิดอะไร

ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงพาท่านนักพรตทั้งสองและเหล่าฉัน ออกมาจากบริษัทหมิงโลจิสติกส์ จนมาถึงถนนสายใหญ่อย่างรวดเร็ว
เพิ่งมาถึงที่นี่เราก็เห็นในบริษัทมีควันไฟโพยพุ่งออกมา

มันชัดเจน พวกอาจารย์เริ่มจุดไฟแล้ว นี่คือการทําลายซากศพที่เหลือ และหลักฐานทั้งหมด

นอกจากควันแล้วผ่านไปไม่นานไฟก็เริ่มปกคลุมไปทั่วทั้งบริษัท

ส่วนพวกเราก็กลับมาถึงรถในเวลานี้

แต่หลังมาถึงรถทุกคนก็ไอออกมาสองสามครั้ง แต่มันดูไม่รุนแรงเท่าไหร่

บวกกับสายตาของพวกเรากําลังมองไปที่ฐานสํานักสื่อเย่จึงไม่มีใครสนใจเรื่องนี้

หลังรอมาได้ประมาณ 10 นาที อาจารย์พวกปู่หลิ่วและคนอื่นๆก็วิ่งกลับมาถึง

ขาของเหล่าฉนบาดเจ็บ ดังนั้นคนที่ขับรถได้เลยเหลือแค่ผมกับเหล่าเฟิง

เหล่าเฟิงไม่มีใบขับขี่ แต่เจ้าหมอนี่ก็เกิดมาเพื่อเป็นคนขับรถ การพาทุกคนออกไปจากที่นี่ไม่ใช่ปัญหาสําหรับเขาเลยสักนิด

หลังทุกคนทยอยขึ้นรถหมดแล้ว พวกเราก็รีบขับรถออกไปจากที่นี่ และตรงไปที่โรงพยายามในเมืองทันที

ระหว่างทางเพราะทุกคนเหนื่อยมาก

จึงไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก แต่ละคนต่างเอนพิงเบาะในที่ของตัวเอง

แต่ก็ยังมีเสียงไอขึ้นเป็นครั้งคราว หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง พวกเราก็มาถึงโรงพยาบาลในเมือง

ท่านนักพรตและเหล่าฉันถูกส่งเข้าไปในโรงพยาบาล พวกเราเองก็อยู่รักษาบาดแผลกันที่นี่

เหล่าฉันบาดเจ็บหนัก ต้นขาทั้งหมดโดนแทงทะลุจากด้านข้าง แม้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่ก็ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสองวัน เพื่อป้องกันไม่ให้บาดแผลเกิดอาการอักเสบ

ส่วนท่านนักพรตทั้งสอง อาการไม่แย่มากนัก

หลังผ่านการตรวจ พวกเขามีกระดูกหักเลือดออกภายใน ต้องพักอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการและยังต้องดามแขนด้วย

แต่ท่านนักพรตทั้งสองมีพลังภายในเงินหยวนและตันเถียนเยอะมาก หลังจาก ได้สติจิตวิญญาณก็มั่นคงทันที

ดังนั้น ในสายตาของพวกเราเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นอันตรายถึงชีวิตพวกเขาอย่างแน่นอน

หยางเจ่วและนุ่ยเฉิงจิง รีบติดต่อสํานักของพวกเธอ ทางนั้นเองก็จะส่งคนมาช่วยให้เร็วที่สุดอย่างมากสุดพวกเขาจะมาถึงที่นี่ในพรุ่งนี้เช้า

ส่วนทางเหล่าฉิน อาจารย์และท่านนักพรตต์อยู่ที่นี่ต่อ พวกเขาสองคนให้ผมและเหล่าเพิ่งพาพวกป่หลิ่วกลับไปก่อน

อยู่ที่นี่ต่อไป พวกเราก็ทําอะไรไม่ได้

ดังนั้นพวกเราเลยบอกลาทุกคน แล้วออกมาจากที่นั้น

ตอนอยู่บนรถ เพราะทุกคนเหนื่อยมากระยะทางที่ต้องขับหนึ่งชั่วโมง ผมและเหล่าเพิ่งจึงเปลี่ยนกันขับคนละครึ่งทาง

เมื่อมาถึงตาบล ฟ้าก็สว่างแล้ว

อาจเป็นการต่อสู้เมื่อคืน ทุกคนจึงดูเหนื่อยมาก

เหล่าเพิ่งและพวกป่หลิ่ว บอกลาผม จากนั้นก็เหล่ตามองแล้วจากไปอย่างรวดเร็วบอกว่าต้องการกลับไปพักผ่อน

ผมเองก็เป็นเช่นเดียวกัน แม้แต่ข้าวปลาก็ไม่อยากกิน

หลังกลับมาถึงบ้าน ผมก็รู้สึกเหมือนโดนดูดพลังไปทั้งหมด ผมโครตของโครตง่วงเลย

เดิมที่คิดจะนั่งพักสักหน่อยแล้วจะลุกไปจุดธูปให้มู่หลงเหยียน แล้วหลังจากนั้นจะไปอาบน้ํานอน

ผลลัพธ์เพิ่งนั่งบนโซฟาผมกลับหลับไปซะอย่างงั้น

เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นช่วงหัวค่าแล้ว

ผมคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าแค่หลับตาลง ตัวเองจะหลับไปนานถึงขนาดนี้

แต่ผมก็ยังรู้สึกไร้เรี่ยวแรงผมโทรไปหาอาจารย์ ถามว่าสถานการณ์ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง

อาจารย์ดูเหมือนจะง่วงเหงา บอกว่าสถานการณ์ทางนี้เกือบคงที่แล้ว ลงหวางที่สุสานเองก็มาเฝ้าแทนพวกเขาแล้ว

ในเวลานี้อาจารย์และท่านนักพรตติกาลังจะไปที่โรงแรม เตรียมตัวพักผ่อน แล้วพรุ่งนี้ถึงจะกลับมา

สําหรับท่านนักพรตทั้งสอง ก็มีอาการดีขึ้นแล้ว

หยางเจ่วและนุ่ยเฉิงจิงก็กลับไปพักแล้ว ขณะเดียวกันก็มีศิษย์จากสํานักทั้งสองมาเฝ้าที่นี่แทน

พอได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย

หลังวางสายผมก็ไปทําอะไรกินในห้องครัว คิดว่าหลังกินอิ่มแล้วจะไปที่ป่าชุ่ยหม่า

เนื่องจากเมื่อวานมู่หลงเหยียนพูดว่า หลังผมกลับมาแล้วให้ไปหาเธอที่บ้าน เธอมีของสิ่งหนึ่งจะให้

ผมเองก็อยากรู้ ว่าที่มู่หลงเหยียนท่าตัวลับๆล่อๆแบบนั้น เธอจะให้อะไรผมกันแน่

ตอนกินข้าวผมเปิดทีวีด

ในเวลานี้กําลังเป็นช่วงข่าวพอดี พอเหล่ตาดูก็พบว่ามันเป็นข่าวในท้องถิ่น ซึ่งเป็น ข่าวที่บริษัท

หมิงโลจิสติกส์เกิดเพลิงไหม้ หรือแม้แต่ยังมีรูปประกอบด้วย

แต่เนื้อหาในนั้นดูคลุมเครือมาก เพียงบอกว่าเกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่บริษัทห มิงโลจิสติกส์อยู่ในขั้นตอนการสืบหาสาเหตุ หลังจากนั้นก็ไม่มีเนื้อหาอื่นอีก ตัวเนื้อหาสั้นมาก และมีภาพประกอบเพียงไม่กี่ภาพเท่านั้น

บางทีพวกอาจารย์คงจัดการได้สะอาดหมดจด จึงทําให้หน่วยงานรัฐไม่ได้ให้ความสําคัญมากนัก

ผมเองก็ไม่ได้สนใจมากนักเพียงสนใจกินอาหารของตัวเองเท่านั้น

อาจเป็นเพราะเมื่อตอนเช้านอนบนโซฟ้ามาทั้งวัน ผมเลยรู้สึกเหมือนจะเป็นหวัดและมีอาการไอจนแน่นหน้าอก

แต่ร่างกายของผม ปกติก็เป็นแค่ไข้หวัดนิดหน่อย พักสักสองสามวันก็ดีขึ้นแล้วผมเลยไม่คิดว่ามันสําคัญอะไร

หลังเต็มท้องเต็มแล้ว ผมก็อาบน้ําเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินออกจากร้าน เริ่มเดินไปที่ป่าก๋ยหม่า

ผมคุ้นเคยเส้นทางนี้แล้ว จึงเดินทางได้เร็วกว่าเมื่อก่อนมาก

เมื่อมาถึงป่ากุ่ยหม่ามันก็เพิ่งสามทุ่มเท่านั้น

เมื่อก่อนตอนมาถึงที่นี่ จะรู้สึกหนาวเย็นผิดปกติอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นทุกครั้ง

แต่คราวนี้กลับแปลกมากหลังมาถึงสุสานไร้ญาติผมกลับรู้สึกสบายตัวมาก หรือ แม้แต่สูดหายใจเข้าลึกๆอย่างไม่รู้ตัวคิดว่าวันนี้ที่นี่ดูมีบรรยากาศผ่อนคลายเป็นพิเศษ……

เพราะต้องไปจวนมู่หลง ดังนั้นผมเลยไม่ได้หยุดเดิน หลังสูดหายใจเข้าสองสามครั้งแล้ว ผมก็เดินเข้าไปในป่าทันที

ภายในนี้มีพลังหยินแรงมาก แต่ยิ่งพลังหยินแรงเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกสบายมากขึ้นเท่านั้น

แต่ผมยังตกอยู่ในภวังค์ ตอนนั้นผมยังไม่รู้ตัว และไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่ได้ตามหาสาเหตุด้วย

เพราะสบายหรือไม่สบายมันก็ไม่ต่างกัน ความรู้สึกสบายไม่อาจรับรู้ได้ง่ายๆ และก็ไม่มีความรู้สึกที่ต้องไประวังมันด้วย หากเป็นไม่สบายผลที่ตามมาก็คงเป็นอะไรที่รุน

แรงมาก

ผ่านไปไม่นาน ผมก็ได้ยินเสียงของลาธารหลังผ่านพวกป่าไม้ไปจวนมู่หลงอันงดงามก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าผม

มันยังเป็นเหมือนเดิม ประตูสูงใหญ่ โคมแดงอันใหญ่ สิงโตตัวยักษ์ทั้งสอง และทางหินที่รายล้อมไปด้วยดอกไม้สามสี ขาว ม่วง และแดง

เมื่อเห็นถึงตรงนี้ ผมก็อดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้หรือแม้แต่รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันที หลังรับรู้ได้ถึงลมหนาวที่อยู่ที่นี่ผมก็รู้สึกสบายไปทั้งตัวรูขุมขนแทบเปิดกว้างรู้สึกดีสุดๆ

ความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน ทําให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมาก

ผมเคาะประตูทันใดนั้นประตูบานใหญ่ก็เปิดออกทันที

คนที่เปิดประตูคือสาวใช้ที่เป็นคนกระดาษเธอเพิ่งเห็นหน้าผม ก็ทํามือคารวะ และ ตะโกนออกมาว่า

“คุณผู้ชาย !”

ผมพูดพร้อมรอยยิ้ม “คุณหนูละ ?”

“คุณหนูอยู่ที่เรือนด้านหลังคุณผู้ชายเชิญตามข้าน้อยมาเจ้าค่ะ !” น้ําเสียงของสาวใช้ฟังดูเหมือนหุ่นยนต์และแข็งไปหน่อย

แต่ผมเองก็ไม่ได้สนใจ เพียงพยักหน้าเบาๆเท่านั้น

ต่อจากนั้นสาวใช้ก็หมุนตัวพาผมเดินเข้าไปในจวน

ในจวนมู่หลงมีพลังหยินรุนแรงและแพร่กระจายไปทั่ว

เมื่อก่อนตอนผมมาถึงที่นี่ ผมจะรู้สึกเหมือนเข้ามาอยู่ในตู้เย็น ไม่รู้สึกสบายตัวเลยสักนิด

แต่เรื่องที่โครตแปลกเลยก็คือ คราวนี้ผมกลับรู้สึกสบายตัวมากไม่เคยรู้สึกฟินแบบนี้มาก่อน

ไม่รู้ว่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาเท่าไหร่รู้สึกแค่ว่าร่างกายเต็มไปด้วยพลัง……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset