ศพ – ตอนที่ 494 สู้เดี่ยว

ตอนที่ 494 สู้เดี่ยว

ทุกคนเห็นผมหยิบมีดเน่าๆออกมาเล่มหนึ่ง แถมยังคิดจะเข้าไปสู้กับปีศาจงูที่แข็งแกร่งถึงขนาดนั้น

แต่ละคนจึงอดไม่ได้ที่จะตกใจ

ฉู่ยเฉิงจิง เหล่าเฟิงและคนอื่นๆ ถึงกับหน้ากระตุก

หยางเฉ่วมองผมด้วยสายตาแปลกๆ “ติงฝาน นายบ้าไปแล้วหรือไง ! ศิษย์พี่ซึ่งยังสู้ไม่ได้ แล้วนายจะสู้เดี่ยวๆกับมันเนี่ยนะ ? ถ้ามันคิดจะสู้กับพวกเราที่มีคนเยอะขนาดนี้ ก็ให้มันเข้ามาเถอะ ไม่ต้องโชว์พาว !”

หยางเฉ่วแนะนํา กลัวผมจะหัวร้อน ทําอะไรวู่วามไม่คิดหน้าคิดหลัง

หากตายหรือบาดเจ็บขึ้นมา แบบนั้นจะได้ไม่คุ้มเสียแทน

เหล่าเฟิงเองก็พูดขึ้นมาเช่นกัน “ ใช่เหล่าติง ถ้ามันกล้าเข้ามาคนเดียว งั้นพวกเราก็ลุยไปพร้อมกันก็จบ

นายคนเดียว ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันนะ !”

“ลุงติง นายเองก็ใจเย็นหน่อยเถอะ !” ฉู่ยเฉิงจิงเองก็พูดเช่นกัน

เมื่อได้ยินทุกคนพูดแบบนั้น ที่จริงผมก็รู้สึกหงุดหงิดหน่อยๆเหมือนกัน

ผมย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าตัวเองห่างชั้นกับอีกฝ่ายขนาดไหน แต่ในเมื่อม่หลงเหยียนบอกให้ผมสู้ เธอก็น่าจะมีเหตุผลของเธอ

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดกับทุกคนอย่างใจเย็น “วางใจได้ ถ้าฉันสู้ไม่ไหวจริงๆ พวกเราก็มาลุยด้วยกัน ยังไง ยังไงพวกเขาก็ต้องการเวลา……”

หลังพูดถึงตรงนี้ ผมก็กวาดสายตามองนักพรตหวัง นักพรตเฉิน เหล่าฉิน มู่หลงเหยียนและคนอื่นๆ

พอทุกคนเห็นแบบนั้น ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

ตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาสําคัญของการยับยั้งพลังปีศาจ ถ้าโดนขัดจังหวะเข้า ความพยายามที่ทํามาก่อนหน้านี้ก็จะสูญเปล่า

นักพรตทั้งสองคนและเหล่าฉันรวมเป็นสามคน จะกลายร่างอย่างต่อเนื่อง แล้วสุดท้ายก็จะกลายเป็นปีศาจขั้นแรกสําเร็จ

เมื่อเวลานั้นมาถึง เราก็จะช่วยพวกเขาไม่ได้อีกต่อไป พวกเขาก็จะเปลี่ยนเป็นตัวประหลาดครึ่งคนครึ่งสัตว์ ต้องดูดเลือดคนประทังชีวิต

ด้วยเหตุนี้ พวกเราเลยต้องพยายามยื่อเวลาให้พวกมู่หลงเหยียน

หยางเฉ่วยังไม่วางใจ เธอพูดต่อ “แต่นายจะไหวเหรอ ?”

ผมดูจริงจังมาก พยักหน้าให้เธอทันที “วางใจได้ !”

หลังจากพูดจบ ผมยังฉีกยิ้มแก้มปริให้หยางเจ่ว จากนั้นก็หันหน้าไปมองทางปีศาจหัวงตนนั้น

“ฉันจะสู้กับแกเอง !”

“แกเนี่ยนะ ? แกจะเอามีดเน่าๆนั่น มาสู้กับฉันงั้นเหรอ ?” ปีศาจงพูดด้วยน้ําเสียงดูแคลน

และหลังจากพูดจบ เขาก็หัวเราะ “ฮ่าๆๆ” เสียงดังลั่น ท่าทางไม่เห็นมีดปลิดวิญญาณของผมอยู่ในสายตาเลยสักนิด

“ใช่ มีดเน่าๆเล่มนี้แหละ !” ผมพูดต่อ

หลังฟังจบ ปีศาจงูยังพูดด้วยรอยยิ้ม “ ได้ ! ฉันจะรอด ว่าแกจะทําให้ฉันบาดเจ็บด้วยมีดเน่าๆ นี่ได้ยังไง

เข้ามาเถอะ !”

เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น ปีศาจงก็ตัวสั่น กางมือทั้งสองข้างออก ทันใดนั้นเองเกล็ดงก็ปรากฏขึ้นบน

แขนของเขา

มันชัดเจน ปีศาจของเจ้าหมอนี่คือง ดังนั้นร่างกายเลยมีคุณสมบัติเหมือนง

เกล็ดชั้นแล้วชั้นเล่า เปลี่ยนเป็นเกราะคุ้มกันร่างกายของเขา เพิ่มคุณสมบัติป้องกันไปอีกขั้นหนึ่ง

ผมสัมผัสได้ถึงพลังที่มหาศาลของอีกฝ่าย ผมไม่ได้ถอยหนี ผมเองก็เปิดใช้พลังทั้งหมดเช่นกัน

เต้าฉือขั้นสุด แม้จะเป็นพลังที่ไม่สูงมาก แต่ผมมีมีดปลิดวิญญาณอยู่ในมือ

พอพวกเราทุกคนเห็นผมแสดงพลังออกมาแล้ว ก็อดเป็นห่วงไม่ได้

ซงซานเหอทําหน้ามุ่ยยิ่งกว่าใครเพื่อน “ศิษย์น้องจิง เพื่อนของเจ้าคนนี้ไม่มีสมองใช่ไหม เต้าซือขั้นกลางอย่างฉันยังสู้ไม่ได้ แล้ว แล้วพลังน้อยนิดแบบเขาจะไปรนหาที่ตายเหรอ ?”

ช่วงเวลานั้นฉู่ยเฉิงจิงเองก็ไม่รู้จะตอบกลับยังไงดี แต่เมื่อเธอเห็นผมทําท่าทางจริงจัง และ ยังไม่เหมือนคนโง่ที่บ้าบินไปเอง

เหล่าเฟิงและพี่เฟิงก็ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าผมกําลังคิดจะทําอะไร

แต่เหนือกว่านั้น พวกเขาเตรียมตัวพร้อมสู้ตลอดเวลา

หากผมส์ไม่ไหว ทั้งสองคนก็จะพุ่งเข้ามาช่วยผมทันที

หยางเฉ่วใจเต้นแรง แต่เธอคิดว่ารู้จักผมมานานขนาดนี้ จึงไม่คิดว่าผมจะออกไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ

ผมคนที่เยือกเย็นและระมัดระวังมาตลอด จู่ๆก็ทําท่าที่แบบนั้นออกมา บางทีผมอาจมีวิธีบางอย่างอยู่

หรือจะพูดได้ว่า หยางเฉวเป็นคนที่เชื่อในตัวผมที่สุด เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าในมือผมมีลูกเล่นอะไรอยู่กันแน่

ต่อจากนั้น ผมก็เคลื่อนพลังเข้าไปในมีดปลิดวิญญาณ

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมปล่อยพลังเข้าไปในมีดปลิดวิญญาณ หลังผมถ่ายเทพลังเสร็จแล้ว จุดตันเถียนในตัวผม

ก็เกิดอาการสั่นพักหนึ่ง

ดูเหมือนจุดตันเถียนของผม กําลังเชื่อมโยงกับมีดปลิดวิญญาณ

ต่อจากนั้น ผมก็สัมผัสได้ว่าในมีดปลิดวิญญาณ เหมือนมีกระแสพลังแปลกๆออกมา มันซึมเข้ามาในร่างผมผ่านตัวมีด

เพียงชั่วพริบตา ผมก็รู้สึกเหมือนกระแสพลังแปลกๆที่อยู่ในตัวมีดปลิดวิญญาณ ทําให้พละกําลังในร่างกายเพิ่มขึ้นเยอะมาก และพลังก็เอ่อล้นมากขึ้นเรื่อยๆ

ผมรู้สึกแปลกใจหน่อยๆ หรือแม้แต่รู้สึกคาดไม่ถึง

คิดไม่ถึงว่า มีดปลิดวิญญาณยังมีคุณสมบัติเพิ่มพลังให้ผู้ใช้ได้ด้วย ถึงว่าทําให้มู่หลงเหยียนบอกให้ผมใช้มีดปลิดวิญญาณสู้กับศัตรู

ที่แท้นอกจากจะสามารถดูดซับวิญญาณได้แล้ว มันยังมีความสามารถเพิ่มพลังให้ผู้ใช้ได้อีกด้วย

แต่ในเวลานี้ ผมไม่มีเวลามานั่งทดลอง หลังจับมีดปลิดวิญญาณแน่นแล้วผมก็พุ่งเข้าไปทันที

แต่เจ้าปีศาจงไม่เห็นความวิเศษวิโสอะไร มันเผยรอยยิ้มสุดพิลึกออกมา “เจ้าหนู ให้ข้าได้ลองว่ามีดของเจ้าคมขนาดไหนหน่อยเถอะ !”

น้ําเสียงแฝงไปด้วยความดูถูก หรือแม้แต่ยื่นมือออกมา หามีดในมือของผม

เมื่อเห็นอย่างงั้น ผมก็ดีใจทันที

ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี แกอาจจะไม่รู้ว่าเจ้ามีดเล่มนี้มันคมขนาดไหน แต่ยังไงเจ้านี่ก็คือ สมบัติที่ตกทอดกันมาของสํานักหยินชื่อ มีดปลิดวิญญาณ

มันคมยิ่งกว่าอะไรดี โต๊ะหินหนาสิบกว่าเซนติเมตร ยังเป็นเหมือนนั่นผัก

แล้วร่างกายที่มีเลือดเนื้อของแก ถึงจะมีเกล็ดงคอยช่วย แต่มันจะเทียบกับโต๊ะหินที่หนากว่าสิบเมตรได้งั้นเหรอ

เมื่อกี้ผมยังค่อนข้างกังวลกับการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย ผมละคิดว่าเขาจะโจมตีอย่างรอบคอบและระมัดระวัง

หากเป็นแบบนี้ อีกฝ่ายก็จะสามารถใช้พลังที่อยู่เหนือผม สังหารผมได้ หรือแม้แต่หาช่องโหว่จากตัวผม

แล้วทําให้ผมพ่ายแพ้ในครั้งเดียว

แต่ตอนนี้ ดูเหมือนผมจะคิดมากไปเอง

ปีศาจงตรงหน้าตนนี้ เป็นพวกบ้าหลงตัวเอง

อีกเดี๋ยวผมจะทําให้เขารู้ว่า การดูถูกมีดปลิดวิญญาณ และผมมันจะมีจุดจบยังไง

ร่างทั้งสองพุ่งเข้าหากัน เพียงชั่วพริบตา พวกเราก็เข้ามาถึงระยะสังหารแล้ว

อีกฝ่ายคิดจะใช้พลังอันมหาศาลมาสยบผม แต่ทันใดนั้นเขาก็พบกับเรื่องแปลก

พลังขั้นเต้าจจิ้นของเขา ในเวลานี้กลับสยบขั้นเต้าฉือขั้นสุดไม่อยู่

สิ่งที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือ เขาสัมผัสได้ลางๆ ว่ามีดในมือผม กําลังปลดปล่อยพลังแปลกๆออกมา

แต่เขาเองก็คิดไม่ถึง และไม่คิดว่าคนที่มีพลังเต้าฉือขั้นสุดอย่างผม จะทําร้ายเขาได้

แต่เจ้าหมอนี่จะรู้ได้ยังไง ว่าคนที่มีพลังเต้าฉือขั้นสุดอย่างผม

หลังได้ความช่วยเหลือจากมีดปลิดวิญญาณ พลังของผมก็เพิ่มขึ้นเยอะมาก

ผมรู้ตัวดี ผมในตอนนี้ น่าจะก้าวขึ้นไปถึงเต้าชื่อขั้นกลางแล้ว

แม้จะไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่มันก็น่าจะอยู่ในระดับประมาณนั้น

ขณะต้านพลังที่อีกฝ่ายปล่อยออกมา ผมก็พุ่งเข้าไปพร้อมกับมีด

เจ้าปีศาจงตนนั้น ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ มันยื่นมือออกมาเหมือนคนโง่ คิดจะจับมีดด้วยมือเปล่า

“เจ้าหนู มีดเน่าๆนี่มันมีประโยชน์เหรอฮะ ?”

ผมกลับเค้นเสียงดัง “โอหัง !”

เสียงเพิ่งเงียบลง มีดก็สัมผัสกับมือที่เต็มไปด้วยเกล็ดงของอีกฝ่ายแล้ว

เจ้าหมอนั่นมั่นใจเต็มร้อย กระชับมือจับอย่างแรง คิดจะดึงมีดออกมาจากมือผม

แต่วินาทีที่สัมผัสกับมีด เขาก็ต้องพบกับเรื่องที่แปลกสุดๆ

มีดในมือผมที่ดูเน่าๆและขึ้นสนิมแล้ว กลับเปลี่ยนไปภายในชั่วพริบตานั้น มันตัดเกล็ดบนมือของเขา

และทะลุเข้าไปถึงเนื้อของเขา ความเจ็บปวดแวบเข้ามาในสมองเขาทันที

ถ้ากํามีดเล่มนี้เอาไว้จริงๆ นิ้วมือของเขาคงรักษาไว้ไม่ได้แน่นอน ปีศาจงูตกใจ แอบพูดว่าแย่แล้ว

มันประเมินความคมและความสามารถของมีดผมต่าไป

ด้วยเหตุนี้ เขาเลยคิดจะดึงมือกลับ เพื่อหลบคมมีดปลิดวิญญาณ

แต่ตอนนี้มันทันเหรอ ผมจะให้โอกาสกับอีกฝ่ายเหรอ

เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ผมดึงหน้าลง ปลดหล่อยพลังออกมาทั้งหมด

ผมตวัดมีด ทํามือขวาง แล้วตรงไปที่ข้อมือของอีกฝ่ายทันที

ผมเคลื่อนไหวเร็วมาก เพียงแค่ชั่วพริบตา และตอนนี้ผมยังได้ครองสิทธิโจมตีก่อน

เจ้าปีศาจโง่นี่คิดได้ช้าไปแล้ว ถึงพลังของเขาจะมากกว่า ตอนนี้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว

เพราะเราอยู่ใกล้กันเกินไป และมีดปลิดวิญญาณในมือผมยังคมมาก

ผลลัพธ์ผมได้ยินเพียงเสียง “ฉีบ” ในเวลานี้มือที่เต็มไปด้วยเกล็ดงูข้างนั้น ลอยออกไปทันที เกล็ดงกระเด็นเซ็นซ่าน พร้อมเลือดที่สาดไปรอบๆ

ส่วนเจ้าปีศาจงตนนั้น ก็มีแววตาสันไหว ทําหน้าตกใจ พร้อมกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น “อ้า !”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset