ศพ – ตอนที่ 498 ศาสตร์ฉีเหมินตันเจี้ย

ตอนที่ 498 ศาสตร์ฉีเหมินตันเจี้ย

จู่ๆก็ได้ยินมู่หลงเหยียนพูดถึง “ฉีเหมินตันเจีย” สี่คํานี้ ผมเลยอดไม่ได้ที่จะตกใจพอสมควร

สี่คํานี้ผมเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก แต่ถ้าพูดถึงเรื่องเรียน แม้แต่ผิวเผินผมยังไม่เคยแตะ

หรือแม้แต่คนที่เข้าใจศาสตร์ฉีเหมินตันเจี่ย ก็ยังมีน้อยยิ่งกว่าน้อย หรือจะพูดในหมื่นคน ไม่มีใครสักคนที่สามารถฝึกไปถึงขั้นสูงได้

สําหรับเราทุกคน ศาสตร์ฉีเหมินตันเจี้ย ต้องเป็นคําที่เคยได้ยินมาแล้ว เพียงแต่จะแตกต่างกันที่น้อยหรือมากเท่านั้น

เนื่องจากศาสตร์ฉีเหมินตันเจี้ย มีผลต่อชีวิตมนุษย์เยอะมาก มันกระจายอยู่ในทุกด้าน

หนึ่งในศาสตร์ที่สําคัญที่สุด ก็คือฮวงจัย เข็มทิศ โหราศาสตร์

เพราะฮวงจุ้ย เข็มทิศและศาสตร์อื่นๆ ก็คือผลพวงที่สืบต่อมาจากฉีเหมินตันเจี้ย

หากพูดถึงฉีเหมินตันเจี้ย มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะไม่รู้จัก

แต่ถ้าหากให้ใครบางคนเล่าถึงมัน ก็คงจะเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร

เพราะเนื้อหาในศาสตร์ฉีเหมินตันเจียยากมากและเยอะมาก ในวิชาต้นกําเนิดสรรพชีวิต มันเป็นอะไรที่ยากมาก เป็นตัวที่มีเนื้อหาซับซ้อนที่สุด

และศาสตร์ฉีเหมินตันเจี้ยที่จริงเป็นชื่อรวมของสามบทความ แยกเป็น ฉีเหมิน และตุ้นเจีย

ในสามบทความนี่ควบคุมทุกอย่าง หนึ่งในนั้นก็มีฮวงจัย งานสร้าง ค่ายกลการหลบหนีและอื่นๆ

ศาสตร์ที่ร้ายกาจที่สุด น่าจะเป็นค่ายกล ได้ยินมาว่าหากเรียนศาสตร์ฉีเหมินตันเจียไปจนถึงระดับลึกแล้ว

จะสามารถใช้ลมปราณในร่างกาย หรือแม้แต่ภูเขาแม่น้ํามาทําเป็นค่ายกลได้ จากนั้นก็จะสามารถใช้ค่ายกลพวกนี้ มาซ่อนตัวตน หรือใช้พลังจากขุนเขา แม่น้ํา ดวงดาวได้อย่างอัศจรรย์สุดๆ

คนประเภทนี้ มีแต่ในตํานานเท่านั้น เพราะยังไม่เคยมีใครเห็นด้วยตาตัวเองมาก่อน

ส่วนปีศาจที่หนีไปตนนั้น ก็อาจเป็นปีศาจที่เคยฝึกศาสตร์ฉีเหมินตันเจี้ยมาก่อน

ด้วยเหตุนี้ เจ้าหมอนี่เลยใช้วิชาพิเศษของฉีเหมินตันเจี้ย ใช้หมอกดําอําพรางกาย แล้วสุดท้ายถึงได้หนีรอดไปจากเงื้อมมือพวกเราได้

หรือสามารถเข้าใจได้ง่ายๆว่า เจ้าหมอนี่ใช่วิชาพรางตากับพวกเรา วิชาพรางตาแบบนี้เป็นวิชาที่ค่อนข้างล้ําเลิศพอสมควร

ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจรู้สึกเสียใจไม่น้อย

หากเป็นแบบนี้ เราก็จะมีศัตรูตัวฉกาจเพิ่มอีกคน

เพิ่งคิดถึงตรงนี้ เหล่าเฟิงก็พูดขึ้นมาว่า “ก่อนหน้านี้ท่านหลิงอะไรนั่นก็หนีไปได้ ตอนนี้ยังมีท่านเทพอีกคน บ้านเราทุกวันนี้ ยิ่งวุ่นวายขึ้นทุกวัน !”

พอได้ยินเหล่าเฟิงพูดถึงขนาดนี้ ผมก็ส่ายหัวอย่างจนปัญญา

เหล่าเฟิงพูดถูก ที่นี่มีการต่อสู้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

ตอนนี้ยังมีท่านเทพสํานักสื่อเย่เฉินโผล่มาอีกคน และยังแข็งแกร่งมาก รู้จักการใช้ศาสตร์ฉีเหมินตันเจียด้วย

วันนี้ไม่อาจกําจัดเขาได้ วันข้างหน้าหากเจอกัน ผลที่ตามมาคงพูดยาก

แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจะคิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากนั้นก็พูดกับเหล่าเฟิงว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คิดมากไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา พวกเราไปดูเหล่าฉันกับท่านนักพรตทั้งสองก่อนเถอะ !”

หลังได้ยินผมพูดแบบนั้น เหล่าเฟิงก็พยักหน้ารับเบาๆ

หลังคนอื่นกวาดสายตามองรอบๆเสร็จ และไม่เห็นร่องรอยของปีศาจเสือดาวแล้ว ก็ทยอยเดินกลับมาทีละคน

ต่อจากนั้น พวกเราก็หมุนตัวสายตาจับจ้องไปทางเหล่าฉินและท่านนักพรตทั้งสอง

ผมพบว่าเหล่าฉันนอนสลบอยู่บนพื้น การกลายร่างของเขาได้หยุดลงแล้ว เห็นได้ชัดว่าควบคุมพลังปีศาจพวกนั้นได้แล้ว

ส่วนท่านนักพรตทั้งสอง ภายใต้ความช่วยเหลือของยายโม่และอู่ซึ่งหลง การกลายร่างของพวกเขาก็ค่อยๆชะลอลงแล้ว จัดว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว

ผ่านไปไม่นาน ทุกคนก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเหล่าฉัน

มู่หลงเหยียนเองก็ไม่ได้ทําตัวว่างงาน เธอเดินตรงเข้าไปแทนที่อู่ซึ่งหลง เริ่มช่วยขจัดพิษให้นักพรต

หวังเฉิงกาน ควบคุมพลังปีศาจในร่าง

ทุกคนต่างจับตามองกันอย่างใกล้ชิด หลังผ่านไปได้ประมาณหนึ่งนาที ยายโม่ก็ประทับฝ่ามือลงไปแรงๆหนึ่งครั้ง

นักพรตเฉินจื่ออี้ตัวสั่น แล้ว “อั่ก” กระอักเลือดออกมาทันที เพราะนักพรตเฉินจื่ออี้มีพื้นฐานที่

หลังกระอักเลือดออกมาแล้ว จึงไม่ได้สลบเป็นตายเหมือนเหล่าฉัน เขาค่อยๆฟื้นขึ้นมา
ตอนลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าสองสามครั้ง จากนั้นก็ทํามือคารวะยายโม่

“ขอบคุณสหายที่ช่วยชีวิต !”

ยายโม่ยิ้มอ่อน “ไม่เป็นไรๆ”

“อาจารย์ลุง ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง ?” นุ่ยเฉิงจังและซ่งซานเหอพูดด้วยความเป็นห่วง

นักพรตเฉินจื่ออี้โบกมือ บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว จากนั้นก็สั่งให้ฉัยเฉิงจังและซงซานเหอ

นําเรื่องราวในวันนี้ และเรื่องที่เกิดกับเขาไปบอกทางสํานักให้เร็วที่สุด

จุ่ยเฉิงจังและซ่งซานเหอเองก็ไม่รอช้า พยักหน้ารับทันที

ในเวลาเดียวกัน เพราะหวังเฉิงกานมาช่วยรักษานักพรตหวังเฉิงกานแทนอู่ซึ่งหลง อู่ซึ่งหลง จึงได้ออกมาพัก ส่วนพวกเราในเวลานี้ก็ได้แนะนําตัวสั้นๆ

เจ้าอู่ซึ่งหลงคนนี้ ดูท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนมาก เมื่อเทียบกับซงซานเหอแล้ว เขาพูดจาหนักแน่น

และดูไม่ได้เป็นคนเหลาะแหละขนาดนั้น

ต่อจากนั้น พวกเราก็รอกันอยู่ที่นี่

ท้ายที่สุด หลังได้ม่หลงเหยียนช่วย พลังปีศาจในตัวนักพรตหวังเฉิงกาน ก็ได้ถูกขับออกมาจำนวนมาก

มันเปลี่ยนเป็นการกระเลือดออกมาหนึ่งครั้ง ทุกอย่างกระเซ็นเต็มพื้น

ตอนนี้อาการของนักพรตเฉินจื่ออี๋และนักพรตหวังเฉิงกานคงที่แล้ว ใจของผมเลยเริ่มเป็นห่วงอาจารย์และท่านนักพรตต์

เพราะตอนนี้ผมยังไม่ได้ข่าวจากพวกเขาเลย จึงไม่รู้ว่าสถานการณ์ของพวกเขาว่าเป็นยังไงบ้าง

แต่ในขณะที่ผมกําลังเป็นห่วง จู่ๆโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น

ทุกคนหันมามองผมทันที ผมไม่ลังเลเลยสักนิด รีบหยิบขึ้นมาดูทันที

ทันใดนั้นผมก็พบว่าคนโทรไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คืออาจารย์

เมื่อเห็นอาจารย์โทรมา ผมก็ดูดีใจพอสมควร นี่น่าจะเป็นการโทรบอกให้สบายใจของอาจารย์

เนื่องจากก่อนหน้านี้ผมได้บอกอาจารย์ไปแล้ว ถ้าสถานการณ์ของเขาคงที่แล้ว ก็ให้โทรศัพท์

มาหาผม

ดังนั้น ผมเลยรีบกดรับสายทันที

แต่เพิ่มรับสาย ผมก็ได้ยินเสียงที่เร่งรีบ “เสี่ยวฝาน แย่แล้ว เหล่ากลายร่างแล้ว…..”

เพราะรอบๆเงียบมาก และทุกคนยังคอยจับจ้องมาที่โทรศัพท์ของผม

ดังนั้นเมื่อทุกคนเลยได้ยินเสียงของอาจารย์

และเพิ่งได้ยินถึงตรงนี้ ทุกคนก็รู้สึกชาวาบขึ้นมาทันที

โดยเฉพาะเหล่าเพิ่งและพี่เฟิง สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที

เหล่าเพิ่งรีบพูดขึ้นว่า “อา อาจารย์ ลุงติง อาจารย์ผมเป็นอะไรไป ?”

ขณะพูด เหล่าเฟิงก็แย่งโทรศัพท์ไปจากมือผมแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขากังวลและกลัวมาก

ต่อจากนั้น อาจารย์ก็ตอบกลับด้วยน้ําเสียงท้อใจ “ เสี่ยวเฟิง อา อาจารย์ของเธอกลายร่างแล้ว ตอนนี้เสีย

เสียสติไปแล้ว ฉันกําลังวิ่งตามเขาอยู่……

“ลงติง อาจารย์ผม อาจารย์ผมอยู่ที่ไหน ? ตอนนี้พวกเราอยู่ในสวนสาธารณะ” เหล่าเพิ่งรีบพูด

อาจารย์เองก็ไม่รอช้า รีบพูดขึ้นมาอีกครั้ง “เหล่าอยู่ อยู่ที่ริมแม่น้ํา พวกนายอยู่ใกล้แม่น้ําไหม รีบมาหยุดเขาเอาไว้เร็ว……”

เสียงของอาจารย์เพิ่งเงียบลง ทุกคนยังไม่ได้ตอบสนองใดๆ พี่เฟิงในฐานะวิญญาณ ก็เคลื่อนตัวออกไปจากสวนสาธารณะอย่างรวดเร็ว และเริ่มลอยตัวไปที่แม่น้ํา

เหล่าเฟิงเองก็ไม่ชักช้าเลยสักนิด เขาตะโกนออกมาหนึ่งครั้ง “อาจารย์” จากนั้นก็รีบวิ่งไปที่แม่น้ําทันที

ท่านนักพรตตู๋กลายร่าง สําหรับเหล่าเฟิงแล้วมันเป็นระเบิดลูกใหญ่

หากเป็นแบบนี้ เมื่อท่านนักพรตต์ได้กลายร่างเป็นปีศาจขั้นแรก แล้วพลังปีศาจที่มีเปลี่ยนร่างกายเขาอย่างสมบูรณ์ หากคิดจะขจัดออกไป คงยากน่าดู

แม้ตอนนี้ จะยังไม่มีวิธี แต่ถึงจะเป็นอย่างงั้น เราก็ไม่มีทางปล่อยท่านนักพรตตูไปอย่างงั้น เราไม่มีทางให้ท่านนักพรตต์กลายเป็นปีศาจไปกว่านี้ เสียสติ เปลี่ยนเป็นตัวประหลาดที่ไม่ใช่ทั้งคน และปีศาจอย่างแน่นอน

ดูเหมือนเหล่าเพิ่งจะเป็นบ้าไปแล้ว เขาวิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง

สําหรับผม ท่านนักพรตตู๋ก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต ผมย่อมไม่ทําตัวชักช้าแน่นอน

ผมพูดกับหยางเจ่ว นุ่ยเฉิงจังและคนอื่นๆสั้นๆ “หยางเจ่ว นุ่ยเฉิงจัง พวกเธอพาท่านผู้อาวุโสกลับไปพักผ่อนก่อน พวกเราไปเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวก็กลับ……”

หลังจากพูดจบ ผมก็หันไปมองมู่หลงเหยียนและยายโม่ “น้องศพ ยายโม่ พวกเราไป……”

ต่อจากนั้น ผม มู่หลงเหยียน ยายโม่ก็เริ่มวิ่งตามเหล่าเฟิงไปติดๆ แต่ละคนต่างรีบวิ่งไปทางแม่น้ํา……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset