ศพ – ตอนที่ 61 เลี้ยงผี

ตอนที่ 61 เลี้ยงผี

หลังจากได้ยินท่านผู้อาวุโสหวางพูดอย่างกระทันหัน ทุกคนก็ต่างทำหน้าสงสัย

ไม่เข้าใจว่า “ของ” ที่ท่านผู้อาวุโสหวางพูดคืออะไร ผมจึงพูดกับท่านอาวุโสหวางตรงๆ “ท่านผู้อาวุโส ข้างในนี้ยังมีสิ่งชั่วร้ายอยู่เหรอครับ”

ท่านอาวุโสหวางพยักหน้าเล็กน้อย “พลังหยินในวัดยังไม่แตกสลายหายไป ดังนั้นข้างในจะต้องมีของชั่วร้ายอยู่แน่!”

เสียงพึ่งจางหาย เหล่าฉินก็พูดขึ้น “ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกเราก็เข้าไปดูกันเถอะ!”

ขณะที่พูด ทุกคนก็หมุนตัวเดินเข้าไปในวัดทันที

วัดร้างแห่งนี้ไม่มีอะไรแตกต่าง จากการมาครั้งก่อนเลยสักนิด มันยังคงทรุดโทรมเหมือนเดิม

 

นอกจากพลังหยินในนี้จะมากเป็นพิเศษ ก็ไม่มีอะไรแตกต่างแล้วละ

ยังไงผมก็ไม่เห็นความแตกต่างเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่เห็นสิ่งชั่วร้ายที่ท่านอาวุโสหวางพูดไว้เลยสักชิ้น

นอกจากผมแล้ว แม้แต่ท่านนักพรตตู๋และอาจารย์ ก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติด้วย

หลังจากนั้นผมก็ได้ยินท่านนักพรตตู๋พูดกับผู้อาวุโสหวางว่า “ท่านผู้อาวุโส ข้าน้อยโง่เขลา มองไม่เห็นจริงๆว่าในวัดแห่งนี้มีของชั่วร้ายอยู่!”

ท่านอาวุโสหวางไม่รอช้า ใช้มือชี้ไปที่เทวรูปไร้หัวซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก จากนั้นก็พูดว่า “พวกนายขุดใต้ฐานเทวรูป ก็จะรู้เอง!”

เมื่อทุกคนได้ยิน ก็ทำหน้ามึนงง

 

ผมไม่รอช้ารีบพูดทันที “ผมทำเอง!”

ขณะที่พูด ผมก็หยิบมีดหั่นศพออกมาจากกระเป๋า

ตอนนี้ไม่มีอุปกรณ์อื่น จึงเริ่มใช้มีดหั่นศพขุดดินทันที

เนื่องจากวัดแห่งนี้ทรุดโทรมอยู่แล้ว ดังนั้นดินที่อยู่ใต้ฐานเทวรูปจึงชื้นมาก ซึ่งส่งผลให้มีกลิ่นเหม็นอับ แต่ก็ขุดง่าย

ส่วนคนอื่นๆ ก็เข้ามาอยู่รอบๆตัวผม พวกเขาเองก็อยากเห็นว่าใต้เทวรูปองค์นี้ มีอะไรอยู่กันแน่

ผมขุดลงไปได้ไม่ถึงครึ่งเมตร ทันใดนั้นมีดก็กระแทกเข้ากับโถดิน

 

ผมขมวดคิ้วลงเล็กน้อย แต่ยังไม่หยุดขุด ผมรีบขุดรอบๆตัวโถดินทันที

ผ่านไปแค่แป๊บเดียว ผมก็สามารถขุดโถดินใบนั้นออกมาได้

มันเล็กมากๆ เหมือนกับขวดเหล้าเล็กๆใบหนึ่ง

ด้านข้างได้ใช้ขี้ผึ้งสีขาวปิดผนึกเอาไว้ ด้านนอกขวด มีอักษรคำว่า “ผนึก” สลักไว้ ผมเองก็ไม่รู้ว่าของข้างในนี้คืออะไร

ดังนั้นหลังจากผมขุดโถดินใบนี้ออกมาจากโคลนได้ ก็พูดกับท่านอาวุโสหวางด้วยท่าทางสงสัย “ท่านผู้อาวุโส เป็นเจ้าโถดินใบนี้เหรอครับ”

 

“ไม่ใช่ทั้งหมด ขุดต่อไป ข้างในน่าจะมีอีก!” ท่านผู้อาวุโสหวางพูด

ผมก็ไม่ลังเล หลังจากวางโถดินไว้ข้างๆเรียบร้อย ก็เริ่มขุดต่อทันที

ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่เข้าใจเช่นกัน

อาจารย์จะนำโถดินไปเปิดดู แต่ถูกท่านผู้อาวุโสหวางห้ามเอาไว้ก่อน เขาบอกว่ารออีกหน่อย

จากนั้นไม่นาน ผมก็พบข้างในยังมีโถดินรูปร่างเหมือนกันอีก

เมื่อเห็นแบบนั้น ผมก็ขุดอย่างต่อเนื่อง ในเวลาต่อมาผมก็ขุดเจอโถดินรูปร่างเหมือนกันถึง 11 ใบ

ใต้ฐานเทวรูป ได้ถูกขุดจนเกือบเป็นหลุมลึก

 

ผมตรวบสอบด้านซ้ายและขวาอย่างรอบคอบ หลังจากเห็นว่าไม่มีโถใบอื่นแล้ว ก็วางมีดหั่นศพลง

จากนั้นก็หันไปพูดกับท่านผู้อาวุโสหวางว่า “ท่านผู้อาวุโส ข้างในไม่มีอะไรแล้วครับ มีแค่โถพวกนี้ครับ!”

ผู้อาวุโสหวางพยักหน้าเล็กน้อย “เจ้าเด็กน้อย ลำบากเธอแล้ว!”

“แฮะแฮะ” ผมหัวเราะออกมา ในเวลาเดียวกันก็ถามต่อ “ท่านผู้อาวุโส ข้างในโถนี้ใส่อะไรไว้กันแน่”

ผู้อาวุโสหวางก้มลง หยิบโถดินขึ้นมาช้าๆ จากนั้นก็พูดกับผมว่า “ในแต่ละใบใส่ วิญญาณที่ยังไม่เป็นผีชั่วเอาไว้หนึ่งตน ส่วนใบนั้น ก็คือวิญญาณผีชั่วที่พวกเธอฆ่าไม่ตาย!”

เมื่อคำพูดนี้ดังขึ้น ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายในเข้าลึกๆ

 

ต่างจับจ้องมาที่ท่านผู้อาวุโสหวางด้วยท่าทางตกตะลึง หรือว่านี้จะเป็น “โถชีวิต” ที่อาจารย์ปู่พูดถึง มันมีอยู่จริงงั้นเหรอ

วิญญาณของผีชั่วถูกเก็บไว้ในโถนี้เหรอ มันถึงได้ฆ่าไม่ได้ซะที

“ถ้าพูดแบบนี้ งั้นในนี้ก็คือที่เลี้ยงผีเหรอครับ เจ้าปีศาจนั้นใช้เจ้านี้เป็นที่เลี้ยงผี” นักพรตตู๋พูดด้วยความแปลกใจ

ผู้อาวุโสหวางพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่ โถ 11 ใบ ก็คือผี 11 ตัว! ”

หลังจากพูดจบ ผู้อาวุโสหวางก็แกว่งโถในมือ จากนั้นก็โยนมันลงกับพื้นทันที

“เพล้ง” เสียงโถดินแตกกระจาย

 

ในเวลาเดียวกัน พวกเถ้ากระดูกสีขาว ก็ไหลลงมากองบนพื้น

แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ

พวกเราพบว่าในซากโถใบนี้ มีหุ่นฟางหนึ่งตัวและยันต์ดำอีกหนึ่งแผ่น ปนอยู่ข้างในเศษเถ้ากระดูก

เมื่ออาจารย์เห็นสิ่งนี้ ก็ค่อยๆหยิบยันต์ดำและหุ่นฟางออกจากเศษโถอย่างระมัดระวัง

หุ่นฟางทำมาจากฟางไม่กี้เส้น มันทำขึ้นมาอย่างง่ายๆ

แต่ยันต์ดำแผ่นนั้น กลับมีคำว่า “ชีวิต” เขียนไว้ด้วยหมึกสีแดง

เมื่ออาจารย์เห็นยันต์แผ่นนี้ ก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมาทันที “ยันต์ชีวิตผี!”

 

ผู้อาวุโสหวางพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่แล้ว เพราะมีเจ้ายันต์แผ่นนี้อยู่ วิญญาณพวกนี้ถึงไปจากที่นี่ไม่ได้ พวกมันจึงต้องทนรับพลังชั่วร้ายของที่นี่อยู่ทุกวันทุกคืน จนกระทั่งความโกรธแค้นซึมลึก และวันนั้นวิญญาณของพวกมันก็จะกลายเป็นผีชั่วอย่างสมบูรณ์!”

ผู้อาวุโสหวางพูดอย่างสบายอกสบายใจ ราวกับเหตุการณ์ตรงหน้า ไม่ทำให้ใจเขารู้สึกตื่นกลัวเลยสักนิด

“ท่านผู้อาวุโส ทำยังไงถึงจะทำลายยันต์แผ่นนี้ได้ครับ” จู่ๆนักพรตตู๋ก็พูดแทรกขึ้นมา

“ไม่ยาก ทำลายยันต์ชีวิตกับหุ่นฟางก็จบแล้ว!” ท่านผู้อาวุโสหวางพูดต่อ

เมื่ออาจารย์ได้ยิน ก็ไม่ลังเล รีบฉีกกระฉากยันต์ดำและหุ่นฟางออกทันที

 

วินาทีที่ยันต์ดำและหุ่นฟางถูกฉีกออก ฉากแปลกๆก็ปรากฎขึ้น

ตรงหน้าของพวกเรา มีลมหนาวพัดเข้ามา ทันใดนั้นเถ้ากระดูกที่อยู่บนพื้น ก็กลายเป็นควันสีขาว

ควันสีขาวลอยขึ้นไปตามลม เรียวและโค้ง ขึ้นไปเรื่อยๆ

เมื่อทุกคนเห็นสิ่งนี้ ก็ถอยไปข้างหลังอย่างช่วยไม่ได้

จนกระทั่งถึงตอนที่ควันสีขาวนั้นลอยสูงมากๆแล้ว ทันใดนั้นมันก็จางหายไปทันที

จากนั้น พวกเราก็เห็นวิญญาณหญิงสาวใส่ชุดสีขาวอายุราวๆ 17-18 ปีปรากฎขึ้นตรงหน้าของพวกเรา

ขณะมองผีชุดขาว ม่านตาของผมก็ขยายตัวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ผมจ้องมองผีตนนี้ด้วยความกลัวเล็กน้อย

แต่หลังจากที่ผีตนนี้ปรากฎตัว เธอกลับมองพวกเราด้วยความสงสัย

 

จากนั้นก็เผยท่าทางหวาดกลัวออกมา เธอถอยหลังตามสัญชาตญาณ “อย่า อย่าเข้ามา ฉัน ฉันไม่หนี ฉันไม่หนีไปไหนแน่นอน……”

ดูจากท่าทางเธอคงกลัวจนเสียสติ เวลาที่เธอพูด ยังทรุดตัวนั่งยองๆกับพื้น ไม่กล้าหันมามองหน้าพวกเราอีก แถมเธอตัวยังสั่นไปทั้งตัว

แต่ผู้อาวุโสหวางกลับพูดกับผีตนนี้ด้วยเสียงที่แผ่วเบา “พวกเราไม่ใช่คนเลว  พวกเรามาเพื่อช่วยเหลือพวกคุณ ตอนนี้เธอเป็นอิสระแล้ว!”

หลังจากผีตนนั้นได้ยิน ก็นิ่งอึ้งไปทันที เธอยังเผยท่าทางหวาดกลัวออกมา

“พวกคุณ พวกคุณเป็น เป็นคนดี เป็นคนดีจริงๆเหรอ”

 

“พวกเราล้วนเป็นนักพรตฝ่ายธรรมะ เจ้านักพรตชั่วนั้นถูกพวกเราไล่ไปแล้ว ไปเกิดใหม่ซะนะ!” นักพรตโปพูดเพิ่ม

ดูเหมือนผีตนนั้นจะจับต้นชนปลายไม่ถูก จู่ๆก็ได้ยินแบบนี้ เธอจึงตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง

ผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็ค่อยๆหันมามองพวกเรา เผยท่าทางมีความสุขออกมา “จริง จริงเหรอ”

“จริงซิ! ถ้าเธอยังไม่ไปตอนนี้ อีกเดี๋ยวถ้าเจ้าหมอผีนั้นกลับมา เธอจะไม่มีโอกาสไปแล้วนะ!” นักพรตโปพูดออกมาอีกครั้ง

ผลลัพธ์หลังจากผีตนนั้นได้ยิน สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที

เธอรีบหันมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็คุกเข่าก้มหัวให้กับพวกเรา “ขอบคุณ ขอบคุณท่านนักพรตทุกท่าน ขอบคุณท่านนักพรตทุกท่าน!”

 

หลังจากพูดจบ ผีตนนี้ก็ลุกขึ้น ไม่กล้าอยู่ตรงนี้ต่อไป

เธอหมุนตัว และรีบวิ่งออกไปจากวัดทันที

เพียงชั่วพริบตา ร่างของเธอก็เลือนหายไปกับความมืดมิด……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset