ศพ – ตอนที่ 63 กินวิญญาณ

ตอนที่ 63 กินวิญญาณ

จู่ๆก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง พวกเราทุกคนจึงตกใจ

รีบหันไปมองนอกวัดทันที แต่เพียงเสี้ยววินาที ด้านนอกก็มีเสียงแมวร้องติดๆกัน

“เมี๊ยว! เมี๊ยวเมี๊ยว!”

เสียงดังกังวาน และดุร้ายมาก

ใบหน้าของทุกคนมืดมนลง ไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น

“ไป ไปดูกัน!” ผู้อาวุโสหวางพูดออกมาคนแรก

เมื่อได้ยินผู้อาวุโสหวางพูด ทุกคนก็ไม่รอช้า ผมและเฟิงเฉ่วหานพุ่งออกไปจากวัดเป็นคนแรก

 

พวกเราวิ่งตรงไปยัง ทิศทางที่มีเสียงแมวกรีดร้องเมื่อก่อนหน้านี้

เพียงแค่แป๊บเดียว พวกเราก็วิ่งเข้ามาให้กอหญ้าหนาทึบ

พวกเราพึ่งเข้ามาในพุ่มหญ้า ก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ต่อมาก็มีพวกแมวแก่ๆแผดเสียงออกมา

เมื่อได้ยินเสียงแปลกประหลาดพวกนี้ ฝีเท้าของพวกเราก็เพิ่มความเร็วขึ้นทันที

เดินไปข้างหน้าได้ประมาณ 1 นาที พวกเราก็แหวกหญ้าออก ทันใดนั้นร่างกายของพวกเราก็แข็งทื่อ

เพราะด้านหน้าของพวกเรา กำลังมีผีชุดขาวนอนอยู่หนึ่งตน

และผีตนนั้น ก็คือหนึ่งในสิบวิญญาณที่พวกเราปล่อยออกมาเมื่อกี้

 

ตอนนี้วิญญาณตนนั้นกำลังถูกแมวป่าฝูงหนึ่งกดไว้กับพื้น จนไม่สามารถต่อต้านได้แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นเขากำลังโดนแมวป่ากัดกิน แม้วิญญาณตนนั้นจะพยายามดิ้นรน

แต่มันก็ไม่ได้ผล ทำได้เพียงร้องโอดครวญออกมาเบาๆ

แมวดำกลุ่มนั้นมีลวดลายที่แตกต่างกันออกไป แต่หนึ่งในนั้นมีแมวดำหนึ่งตัว รูปร่างใหญ่เป็นพิเศษ และเด่นสะดุดตาที่สุด

มันก็คือแมวดำที่โตมากับการกินเนื้อคนตาย ตอนนี้มันกำลังกัดที่คอของวิญญาณอย่างแรง ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยจากวิญญาณเลยแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นดวงตาสีเขียวคู่นั้น ก็หันมาจ้องผมและเฟิงเฉ่วหานอย่างไม่วางตา

 

ปากของมันยังแผดเสียงร้อง “ฮือฮือฮือ” ออกมา ดูท่าจะเกลียดชังผมสองคนเอามากๆ

เห็นได้ชัดว่า แมวกลุ่มนี้ไม่ใช่แมวธรรมดาๆ

เพราะแมวพวกนี้สามารถกดวิญญาณไว้ได้ แถมยังกัดกินอย่างกับอาหาร ราวกับเห็นวิญญาณที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นอาหารจริงๆ

จะต้องเป็นแมวศพที่เจ้าผีชั่วและปรมาจารย์กุ่ยเลี้ยงมาแน่ มันเคยกินเนื้อศพ และคงเป็นสัตว์พิเศษที่เคยกินวิญญาณผีเร่ร่อนแถวนี้แน่

ไม่อย่างนั้นก็คงไม่สามารถจับวิญญาณมารุมกัดกินได้แบบนี้ แถมวิญญาณตนนั้นยังไม่สามารถต่อต้านได้อีกด้วย

เมื่อพวกเราเห็นสิ่งนี้ วิญญาณตนนั้นก็เห็นผมและเฟิงเฉ่วหานเช่นกัน

 

แม้คอของเขาจะถูกกัดอยู่ ร่างกายก็ถูกกัดกินอย่างต่อเนื่อง แถมจิตวิญญาณข้างในก็ยังถูกดูดอย่างไม่ขาดสาย

แต่วิญญาณตนนี้ยังเหลือสติอยู่ เขามองพวกเรา และพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง “นัก นักพรต ช่วย ช่วยฉัน……”

เสียงพึ่งจางหาย จู่ๆแมวดำที่กัดคอเขาก็แผดเสียงออกมา “เมี๊ยว!”

มันกัดแรงยิ่งกว่าเดิม หัวของมันสะบัดไปมา ฉีดกระชากคอนั้นอย่างบ้าคลั่ง

ส่วนวิญญาณที่ถูกกัดคอ ทันใดนั้นต่อหน้าของพวกเรา

ก็มีเสียงระเบิดดัง “ปัง” วิญญาณของเขาแตกสลาย หายไปทันที

ส่วนแมวดำตัวนั้น และแมวที่อยู่รอบๆอีกเจ็ดแปดตัว หลังจากที่วิญญาณตนนั้นหายไป พวกมันก็สูดหายใจหนึ่งครั้ง

 

ราวกับกำลังดูดซับเศษเสี้ยววิญญาณที่เหลืออยู่ของผีตนนั้น มาบำรุงร่างกายของตัวเอง

เมื่อเห็นสิ่งนี้ สีหน้าของผมและเฟิงเฉ่วหานก็มืดมนลงทันที

โอหัง ไอ้พวกสัตว์เดรัจฉาน กล้าฆ่าวิญญาณบริสุทธิ์ต่อหน้าพวกเรา ช่างน่ารังเกียจจริงๆ!

“ไอ้เดรัจฉานสมควรตาย!” หลังจากพูดจบ ผมก็ยกดาบไม้ขึ้นและพุ่งเข้าไปหาพวกมันทันที อยากสับแมวพวกนั้นให้ตายคามือ

พวกชั่วแบบนี้จะเหลือไว้ไม่ได้ ถึงจะไม่มีผีชั่วและปรมาจารย์กุ่ยคอยเลี้ยงดู แต่สัตว์เดรัจฉานพวกนี้ก็สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้

 

และดูจากท่าทาง เจ้าพวกเดรัจฉานนี้คงไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก

ถ้าไม่ฆ่ามัน ในอนาคตวิญญาณบริสุทธิ์จำนวนมากก็จะถูกทำร้ายอีกแน่!

ขณะที่ผมกำลังจะลงมือ เฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างๆก็ไม่ลังเล ยกดาบไม้ขึ้นและพุ่งเข้าไปเช่นกัน

แต่แมวป่าพวกนี้ไม่กลัวคนเลยสักนิด ไม่ใช่แค่ไม่กลัว เมื่อเห็นพวกเราพุ่งเข้ามา พวกมันกลับร้อง “เมี๊ยวเมี๊ยว” ออกมาไม่หยุด แสดงท่าทางดุร้าย เห็นได้ชัดว่าพวกมันกำลังตื่นเต้น

เสียงของพวกมันดังมาก เมื่อได้ยินในยามค่ำคืนแบบนี้ เหมือนกับได้ยินเสียงของเด็กทารกที่กำลังร้องไห้อยู่ มันฟังดูหลอนมากๆ

เมื่อผมเข้าไปใกล้ แมวพวกนั้นก็กระโดดหลบ พุ่งเข้าไปรุมเฟิงเฉ่วหานทันที

 

หัวของแมวพวกนี้ค่อนข้างใหญ่ และมีความคล่องตัวสูงมาก

นอกจากนี้กรงเล็บของพวกมันยังคมมากด้วย พึ่งเข้าไปใกล้เท่านั้น หน้าของผมก็ถูกข่วนแล้ว

บาดแผลไม่ลึกมาก แต่มันก็แสบ

“เดรัจฉานสมควรตาย!”

ผมด่าทันที จากนั้นก็กวัดแกว่งดาบไปทั่ว

มีแมวหนึ่งตัวหลบไม่ทัน มันจึงถูกผมฟาดเข้าไปที่หัวทันที

ได้ยินแค่เสียง “เมี๊ยว” จากนั้นร่างของแมวป่าก็กระเด็นออกไป

นอนชักกระตุกอยู่บนพื้น ที่หัวของมันยังอาบไปด้วยเลือด

 

เมื่อแมวดำที่อยู่นอกสุดเห็น ดูเหมือนมันจะโกรธมาก มันร้องเสียงดังมาก

ขณะเสียงร้องนั้นดังขึ้น แมวป่าที่อยู่รอบๆก็รีบเข้าไปโจมตีเฟิงเฉ่วหานอย่างบ้าคลั่ง

พวกมันกระโดดขึ้นมาทั้งข่วนและกัดพวกเรา นอกจากนี้แมวพวกนี้ยังรวดเร็วมาก มีความคล่องตัวสูงมาก จับตัวพวกมันได้ยากมาก

แต่ทันใดนั้นเอง อาจารย์ นักพรตตู๋ ผู้เฒ่าหวางและนักพรตโปที่วิ่งตามมาก็มาถึง

พึ่งแหวกหญ้าออก ก็เห็นผมสองคนกำลังต่อสู้กับฝูงแมว พวกเขาเองก็ตกตะลึง

แต่เมื่อมองให้ละเอียด กลับมีบางอย่างผิดปกติ

 

บนตัวของแมวป่าฝูงนี้มีกลิ่นศพแรงมาก หัวใหญ่กว่าแมวทั่วๆไปเยอะมาก

แถมยังดุร้ายผิดปกติ ลำคอมีลักษณะพิเศษ ดวงตากดต่ำ จะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

เหล่าฉินเป็นคนหงุดหงิดง่ายที่สุด เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ก็โมโหขึ้นมาทันที “ไอ้สัตว์เดรัจฉานตายซาก วันนี้ฉันจะฆ่าพวกแก!”

หลังจากพูดจบ เหล่าฉินก็พุ่งออกมาเป็นคนแรก

เมื่ออาจารย์ นักพรตตู๋และนักพรตโปเห็นแบบนั้น ก็ต่างวิ่งเข้ามาช่วยทันที

พลังของทั้งสามคนสูงกว่าผมและเฟิงเฉ่วหานมาก เมื่อทั้งสามคนลงมือพร้อมกัน ก็ช่วยลดแรงกดดันให้ผมและเฟิงเฉ่วหานได้ทันที

 

ตอนนี้เหล่าฉินเองก็ดุดันกว่าปกติ จับหางของแมวป่าตัวหนึ่งไว้ ยกขึ้นมาและจับฟาดลงกับพื้นทันที

ถึงแมวตัวนั้นจะร้ายกาจ แต่ก็ไม่สามารถหยุดการฟาดของเหล่าฉินได้

มันร้องออกมาสองครั้ง จากนั้นก็ถูกทุบจนเละเลือดไหลนอง หัวแตก ……ไหลทะลักออกมาทั้งหมด

อาจารย์ นักพรตตู๋ และนักพรตโป ก็ฆ่าได้คนละตัว

เพียงชั่วพริบตา แมวกลุ่มนั้นก็ตายไปกว่าครึ่ง

เมื่อแมวดำเห็นสถานการณ์ไม่ดี มันจึงส่งเสียงเรียกแมวที่เหลืออีกสามตัว จากนั้น ก็หมุนตัววิ่งเข้าไปในกอหญ้าทันที!

เมื่อผมเห็นว่ามันจะหนีไป ผมจะเต็มใจให้มันทำแบบนั้นได้ยังไงละ

 

จับดาบไม้แน่น “ไอ้เดรัจฉาน!”

หลังจากพูดจบ ก็ไล่ตามไปทันที

อาจารย์ เฟิงเฉ่วหานและคนอื่นๆ เองก็วิ่งตามมาอย่างรวดเร็ว

จะปล่อยแมวพวกนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด ถ้าปล่อยไว้จะเป็นหายนะ

แต่หลังจากพวกเราไล่ตามเข้ามาในกอหญ้าก็พบว่า  ด้วยสภาพแวดล้อมแบบนี้  ทำให้พวกเราไม่สามารถไล่ตามเจ้าพวกนี้ได้อีกต่อไป

กอหญ้าพวกนี้สูงเท่าตัวคน แมวพวกนั้นก็ไม่เหมือนกับตอนที่พวกเราเจอครั้งแรก ครั้งแรกมันจงใจล่อพวกเราไปที่วัดร้าง

 

ดังนั้นพวกเราจึงสามารถตามหลังมันไปได้ ตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังสามารถเห็นตัวมันได้

แต่ตอนนี้มันกำลังหนีเอาตัวรอด ดังนั้นความเร็วที่ใช้จึงไม่เหมือนกับตอนแรกเลยสักนิด

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พวกเราพึ่งไล่ตามมาได้ไม่ถึง 100 เมตร ก็ไม่เห็นเงาของพวกเดรัจฉาไม่กี่ตัวนั้นแล้ว

ถึงแม้ผมจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

เมื่อเหล่าฉินเห็นพวกมันหนีไปได้ ก็ด่าออกมาทันที “สมควรตาย!”

ท่านนักพรตตู๋มองไปรอบๆ จากนั้นก็รีบพูดว่า “ศิษย์พี่ ป่ารกร้างห่างไกลแบบนี้ คงหาตัวพวกมันได้ยาก แม้แมวศพสองสามตัวนี้ถึงจะดูเป็นภัยอยู่บ้าง แต่คนเลี้ยงตายไปแล้ว พวกมันก็ไม่น่ากังวลมากแล้ว วันหน้าถ้ามีโอกาสค่อยกลับมาจัดการพวกมันเถอะ……”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset