ศพ – ตอนที่ 97 ตุ๊กตาผี

ตอนที่ 97 ตุ๊กตาผี

เมื่อผมเห็นว่าตรงหน้าเป็นห้องเรียนห้องนั้นอีกแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ

ทำจิตใจของตัวเองให้สงบครู่หนึ่ง ยัยผีนั้นร้ายกาจ ในจุดนี้พวกเราไม่สงสัยกันเลยสักนิด

แต่ถึงเธอจะร้ายกาจขนาดไหนแต่ก็โดนยันต์ของผมไปแล้วหนึ่งครั้ง เรื่องที่พลังของผมมีน้อยนั้นเป็นเรื่องจริง

แต่ยันต์แปดทิศของผม ก็ยังทำให้ยัยผีนั้นบาดเจ็บได้

ขอแค่ต่อไปพวกเราระวังตัวกันดีๆ การจัดการยัยผีนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกแล้ว

หลังจากสงบจิตใจมาสักพัก ผมก็พูดว่า “ พี่เฟิง หยางเฉ่ว ยัยผีร้ายนั้นโดนยันต์ของฉันไปแล้ว ตอนนี้ก็เป็นเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ต่อไปถ้าพวกเราโจมตีอย่างระวัง จะต้องจัดการมันได้แน่ ! ”

 

“ อือ ! ยัยผีร้ายนี้เร็วมาก ดังนั้นตอนพวกเราขึ้นไปบนดาดฟ้า ขอแค่อย่าเข้าไปใกล้ขอบของดาดฟ้า ก็ไม่เป็นไรแล้ว ! ” หยางเฉ่วพูด

เสียงนี่พึ่งจางหาย หานเฉ่วเฟิงที่อยู่ข้างๆกลับทำจมูกฟุดฟิดฟุดฟิด

ส่งเสียง “ ฟุดฟิด ” เหมือนกำลังดมอะไรอยู่ก็ไม่รู้

จู่ๆเมื่อเห็นหานเฉ่วเฟิงทำแบบนั้น ผมกับหยางเฉ่วก็รู้สึกแปลกใจ

ผมทำหน้าสับสน แล้วถามหานเฉ่วเฟิงว่า “ พี่เฟิง พี่กำลังทำอะไร ”

หานเฉ่วเฟิงขมวดคิ้ว ดมรอบๆห้อง และหันไปมองอย่างต่อเนื่อง

ในเวลาเดียวกันก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ อย่าพึ่งรีบ ในห้องนี้มีกลิ่นแปลกๆ ! เหมือนกับกลิ่นของยัยผีนั้นเลย ”

 

กลิ่นแปลกๆงั้นเหรอ แถมยังเป็นกลิ่นของยัยผีนั้นอีกด้วย ทันใดนั้นผมและหยางเฉ่วก็งงหนักกว่าเดิม

ในห้องนี้มีกลิ่นอับชื้นและมืดมาก แถมที่พื้นก็ยังมีน้ำซึมออกมาจนเกิดเป็นเชื้อราอยู่จำนวนมาก แต่มันก็กลิ่นปกตินิ !

แต่ไม่ได้รอให้พวกเราพูดต่อ ตอนนั้นหานเฉ่วเฟิงก็เดินมาถึงหน้าห้องเรียนแล้ว

ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้น มองไปที่ตุ๊กตาฝุ่นเกาะที่แปะอยู่บนกระดานดำแล้วอุทานด้วยความตกใจ “ แม่งเอ้ย ฉันก็ว่าทำไมยัยผีนี้ถึงร้ายกาจขนาดนั้น ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ! ”

หลังจากพูดจบ หานเฉ่วเฟิงก็หยิบตุ๊กตาเปื้อนฝุ่นตัวนั้นออกมาจากกระดานดำ

 

ผมและหยงเฉ่วไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงมองด้วยความสงสัย

“ พี่เฟิง ไอ้ตุ๊กตานี่มันมีปัญหาอะไรเหรอ ” ผมงงมาก แต่ก็เดินเข้าไปกับหยางเฉ่ว

แต่พวกเรายังไม่เห็นตุ๊กตาที่อยู่ด้านหน้า จู่ๆสายลมที่หนาวเย็นก็พัดเข้ามาในห้อง

จนทำให้ฝุ่นที่อยู่ในห้องปลิวฟุ้งกระจาย ไม่เพียงเท่านี้ จู่ๆเสียงของยัยผีตัวนั้นก็ดังขึ้น “ ไอ้ผู้ชายชั่ว วางตุ๊กตาของฉันลงเดี๋ยวนี้ ! ”

เสียงพึ่งจางหาย ทันใดนั้นร่างของยัยผีนั้น ก็ปรากฎขึ้นด้านหลังของห้อง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ยืนตรงข้ามกับพวกเรา

ผีผู้หญิงยังคงแสดงท่าทีดุร้าย กำลังโกรธอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย แถมยังมองพวกเราด้วยดวงตาสีขาวโพน มันทำให้พวกเรารู้สึกขนลุกทันที

 

แต่คนที่ยืนอยู่หน้าห้อง หานเฉ่วเฟิงผู้ถือตุ๊กตาอยู่ๆก็หัวเราะออกมาทันที “ ถ้าฉันฉีกตุ๊กตานี่ทิ้ง เดาดูซิว่าแกจะเป็นยังไง ”

“ แกกล้า ! ” ทันใดนั้นผีผู้หญิงก็คำรามออกมา เธอแยกเขี้ยว ราวกับอยากเข้ามากัดเขาให้เป็นชิ้นๆ

แต่หานเฉ่วเฟิงกลับหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ ทำไมข้าจะไม่กล้าละ ”

หลังจากพูดจบ หานเฉ่วเฟิงก็ยกตุ๊กตาขึ้น แล้วจับมันกระแทกลงกับเก้าอี้ของครูทันที

“ ปัง ” ตุ๊กตาตัวนั้นถูกกดลงจนบู้บี้

นี่มันก็เหมือนไม่มีอะไรมันเป็นเรื่องธรรมดาๆ  แต่ทันใดนั้นเรื่องแปลกๆก็เกิดขึ้น ผีผู้หญิงที่ยืนอยู่หลังห้อง ดูเหมือนจะทรมานมาก เธอกรีดร้อง “ อร๊าย ” ออกมาทันที แสดงสีหน้าเจ็บปวด และทำท่าเหมือนจะยืนไม่ไหว

 

เมื่อเห็นฉากนี้ ผมก็สับสนทันที

อะไรวะ ทำแบบนี้ก็ได้เหรอ ช่วงเวลานั้นผมมองด้วยความสับสน ไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวอะไรกัน

แต่หยางเฉ่วที่อยู่ข้างๆ กลับทำหน้าตกตะลึง พูดด้วยความตกใจ “ ผนึก ผนึกวิญญาณ ! ”

เมื่อหานเฉ่วเฟิงได้ยินหยางเฉ่วพูดแบบนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ “ น้องสาวเก่งเหมือนกันนิ แม้แต่วิชาผนึกวิญญาณก็รู้จัก ! ดูเหมือนยัยผีนี่จะตายอย่างไม่สงบ แถมตายแล้วยังถูกคนใช้เป็นเครื่องมือฆ่าคนด้วย……. ”

คำพูดของหานเฉ่วเฟิง ทำให้ผมงงหนักกว่าเดิม

จึงหันไปพูดกับหางเฉ่วที่อยู่ข้างๆ “ อะไรคือผนึกวิญญาณ ”

 

หยางเฉ่วมองไปที่ผีผู้หญิง และหันมามองตุ๊กตาที่อยู่ในมือของหานเฉ่วเฟิงอีกครั้ง

จากนั้นก็พูดกับผมว่า “ การผนึกวิญญาณ ที่จริงมันก็คือการสะกดวิญญาณอีกวิธีหนึ่ง…… ”

ช่วงเวลานั้น หยางเฉ่วก็อธิบายให้ผมฟังสั้นๆเท่านั้น

เพราะเป็นวิชาลับที่ร้ายกาจแต่รายละเอียดมันค่อนข้างซับซ้อน ผมเลยฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็พอเข้าใจคราวๆบ้าง

ดูเหมือนวิญญาณของยัยผีนี่จะมีชีวิตอยู่ในตุ๊กตาตัวนี้ ถ้าทำร้ายตุ๊กตาตัวนี้ ก็เท่ากับทำร้ายยัยผีนี้

มันส่งผลซึ่งกันและกัน ถ้าโจมตียัยผีนี้ ผลลัพธ์ที่ตามมาจะน้อยกว่าที่คิด

 

แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนี้ เพราะปัญหาที่แท้จริง คือใครเป็นคนแบบนี้ เพราะวิชานี้เป็นวิชาที่ค่อนข้างร้ายกาจอย่างหนึ่ง ต้องให้คนเป็นคนทำ ถึงจะสำเร็จ

ใครทำให้วิญญาณของยัยผีนี่ สิงสถิตอยู่ในตุ๊กตาได้

ผมพึ่งคิดถึงจุดนี้ได้ ยัยผีที่กำลังทำท่าทุกข์ทรมานอยู่ ก็เงยหน้าขึ้นมา

กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด “ ปล่อยมือจากตุ๊กตาของฉันซะ ! ”

เสียงเธอดังมาก เกือบเรียกได้ว่าตะคอกเลยละ แต่มันยังไม่จบเพียงเท่านี้

ขณะที่เธอกรีดร้องออกมา พลังหยินก็ไหลทะลักออกมาจากร่างของเธอ ทันใดนั้นยัยผีนั้นก็ทำท่าว่าจะพุ่งเข้าใส่หานเฉ่วเฟิง เพื่อแย่งตุ๊กตาตัวนั้นกลับไป

 

แต่หานเฉ่วเฟิงกลับหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ รนหาที่ตาย ! ”

เสียงพึ่งจางหาย หานเฉ่วเฟิงก็จับตุ๊กตากดลงกับโต๊ะแรงๆอีกครั้ง ครั้งนี้ตุ๊กตาถูกกดจนเสียรูปทรง

และแล้วผีผู้หญิงก็ทำหน้าทุกข์ทรมาน ทันใดนั้นร่างของเธอก็ล้มลงไปกลิ้งกับพื้น ในปากยังกรีดร้องโหยหวนออกมา

หานเฉ่วเฟิงยังไม่รามือ ไม่สนใจว่ายัยผีนั้นกำลังกรีดร้องอยู่เลย เขาใช้มือกดตุ๊กตาตัวนั้นอย่างหนักหน่วง

เนื่องจากตุ๊กตาตัวนี้อยู่ในที่มืดและอับชื้นเป็นเวลานาน ผ้าที่ห่อหุ้มไว้จึงเสื่อมสภาพนานแล้ว

หลังจากถูกกดเอาไว้เพียงไม่กี่ครั้ง ตะเข็บส่วนใหญ่ก็แตกออก และใยฝ้ายที่อยู่ข้างในก็เริ่มทะลักออกมา

 

ส่วนผีผู้หญิง ยังคงกรีดร้องอย่างต่อเนื่อง ท่าทางดูทุกข์ทรมานมาก

นอนดิ้นอยู่กับพื้นไปมา แต่ก็ไม่ได้พูดขอร้องแต่อย่างใด

ดวงตาสีขาวคู่นั้น เต็มไปด้วยเกลียดชัง และด่าพวกเราอย่างไม่หยุดหย่อน

“ สมควรตาย ไอ้ผู้ชายชั่วสมควรตาย ไอ้ผู้ชายชั่ว ฉันจะ ฉันจะฆ่า ฆ่าพวกแก ตก ตกตึกตายไปซะพวกแก อร๊าย…… ”

หานเฉ่วเฟิงไม่สนใจเลยสักนิด เขายังคงกดตุ๊กตาตัวนั้นเอาไว้

ในเวลาเดียวกันก็พูดกับผมที่อยู่ข้างๆ “ ติงฝาน ยัยผีนี้หมดทางเยียวยาแล้ว นายเข้าไปส่งวิญญาณเธอซะ ! ”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ผมก็เงียบไปครู่หนึ่ง แม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรกับตอนที่ยัยผีนี่ยังมีชีวิต

 

แต่ถ้าไม่ลงมือตอนนี้ เธอก็จะต้องเข้ามาฆ่าพวกเรา และก็ฆ่าคนอีกมากมาย

ดังนั้น ผมจึงหยิบยันต์ออกมา เตรียมจะลงมือ

แต่ขณะที่ผมเดินไปด้านหน้าได้สองก้าว ผีผู้หญิงที่นอนดิ้นอยู่กับพื้นและกรีดร้องออกมา จู่ๆก็หันหน้ามามองผมอย่างรวดเร็ว

ดวงตาสีขาวคู่นั้น เต็มไปด้วยความเครียดแค้น กำลังมองผมอย่างไม่ละสายตา

ใบหน้าเต็มไปด้วยความสยดสยอง เผยเขี้ยวที่แหลมคมออกมาให้ผมเห็น

แต่สิ่งที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นก็คือ ทันใดนั้น บนหน้าผากที่ซีดขาวของยัยผีนั้น กลับแยกออก

ต่อจากนั้น ดวงตาที่ขาวโพนอีกดวง ก็ออกมาจากหน้าผากของยัยผีนั้นทันที

 

เมื่อดวงตาดวงนั้นปรากฎขึ้น ในสมองของผมก็มีเสียงดัง “ ปัง ” เผยใบหน้าตกตะลึงออกมาทันที

แม้แต่หานเฉ่วเฟิงและหยางเฉ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ยังเผยสีหน้าตกใจออกมาตั้งแต่วินาทีแรก ช่วงเวลานั้นพวกเขาก็ยืนอึ้งไม่ตอบสนองใดๆเช่นกัน

ตาที่สาม สัญลักษณ์ผีสามตา

ตอนนี้คำพูดพวกนั้นโผล่ขึ้นมาในสมองของผม วินาทีนั้นผมรู้สึกกลัวจนใจสั่นทันที

ยัยผีนี้ หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ผีสามตา

ไม่รอให้ผมได้ตั้งตัว จู่ๆยัยผีนั้นก็คำรามออกมา

 

เหมือนกับสัตว์ร้าย เท้าทั้งสองข้างดีดตัวขึ้น พุ่งเข้ามาหาผมทันที

พวกเราทุกคนคิดไม่ถึงว่า ผีผู้หญิงที่กำลังเจ็บปวดทรมานอยู่นั้น จะยังมีแรงสู้อีก

บวกกับระยะห่างที่ไม่ไกลจากผม จึงทำให้การพุ่งเข้ามาของยัยผีนี้ ทำให้ตัวผมล้มลงไปกับพื้นทันที

เมื่อมองจ้องดวงตาคู่นั้น และตาที่สามที่ขาวโพลนไร้ชีวิตชีวา ผมก็รู้สึกว่าความตายกำลังใกล้เข้ามาถึงทันที

ยัยผีนั้นไม่ปล่อยให้ผมได้ทำอะไรมาก หลังจากทำให้ผมล้มลง เธอก็อ้าปากกว้าง คำราม “ โฮก ” ออกมา และเข้ามากัดที่คอของผมทันที……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset