ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด – ตอนที่ 171 ศิษย์หลานเก่งมาก

อวิ๋นเจี่ยวมองดูหยวนเจียงที่เกือบจะจับอสูรกลืนนภาได้อยู่แล้ว โซ่ยักษ์นั้นดูท่าทางจะพันอสูรกลืนนภาจนเป็นบ๊ะจ่างแล้ว ไม่เหมือนจะชนะไม่ได้

เยี่ยยวนกลับพูดขึ้น “อสูรกลืนนภาไม่เพียงแค่รูปร่างใหญ่เท่านั้น”

เอ๊ะ?

อวิ๋นเจี่ยวผงะ นาทีถัดมาเห็นเพียงอสูรยักษ์ที่กำลังดิ้นรนอยู่นั้นหดตัวเล็กลงไป หยวนเจียงคิดว่ามันจะหนีออกจากโซ่ เขาจึงหดโซ่นั้นให้แน่นขึ้น เห็นเพียงแต่อสูรยักษ์เปล่งประกายแสงสีแดงออกมาจากรอบตัว ทันใดนั้นมีพลังอะไรบางอย่างแผ่ซ่านออกไปทั่ว

หยวนเจียงที่ลอยอยู่กลางอากาศนิ่งไป ทันใดนั้นสีหน้าซีดเผือด โซ่ใหญ่นั้นขาดวิ่น ส่วนราชาปีศาจยิ่งกว่า เขาตกลงมาจากกลางอากาศ ยังไม่ทันได้ลุกขึ้น เห็นเพียงแต่ร่างของเขาส่องแสงสีแดง ร่างปีศาจขนาดใหญ่ของเขาราวกับมีเงาจางๆ ถูกดึงออกมา

นี่คือ…

“กลืนวิญญาณ!” อวิ๋นเจี่ยวอุทานออกมา ก่อนจะนึกขึ้นได้ อสูรกลืนนภาไม่เพียงแต่สามารถกลืนกินฟ้าดิน แต่มันยังกินวิญญาณเป็นอาหาร

โฮก…

อสูรกลืนนภาร้องคำรามขึ้นอีกครั้ง หยวนเจียงไหวตัวเล็กน้อย ก่อนจะท่องคาถาปิดผนึกจิตของตนเองไว้ ป้องกันวิญญาณถูกแสงสีแดงนั้นขับออกจากร่าง แต่เมื่อเขาหยุดไป คาถาที่เพิ่งวางนั้นก็ไร้พลังในการประคอง ล้วนถูกอสูรกลืนนภาทำลาย

อสูรนั้นคำรามขึ้นอีกครั้ง แสงสีแดงรอบด้านยิ่งสว่างขึ้น ครานี้ไม่เพียงแต่ราชาปีศาจและหยวนเจียงสองคนเท่านั้น แม้แต่ปีศาจที่วิ่งหนีกันกระจัดกระจายก็ถูกแสงสีแดงดูดเข้าไป ผู้ที่มีพลังสูงยังพอจะต้านทานไว้ได้ ผู้ที่มีพลังต่ำนั้นถูกดึงวิญญาณออกมา เห็นท่าทางวิญญาณเหล่านั้นกำลังจะถูกอสูรกลืนนภากลืนลงไป

อวิ๋นเจี่ยวเห็นท่าไม่ดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป นอกจากอาจารย์อาหยวนชนะไม่ได้แล้ว วิญญาณปีศาจทั้งเมืองจะถูกกลืนกินไปด้วย นางหันไปมองคนด้านข้าง “อาจารย์ปู่…”

นางคิดจะขอความช่วยเหลือ เยี่ยยวนกลับหันมามองนาง พร้อมพูดขึ้น “กลืนกินวิญญาณเท่านั้น เขาทำไม่ได้ แต่เจ้าทำได้!”

“ฮะ?” อวิ๋นเจี่ยวผงะ ก่อนจะเข้าใจ นางพูดด้วยความตะลึง “อาจารย์ปู่หมายถึง…คาถาสะกดวิญญาณ!”

“อืม”

อวิ๋นเจี่ยวไม่ลังเลแม้แต่น้อย นางหันไปหาไป๋อวี้ที่อยู่ด้านข้าง “ชายแก่ ขอยันต์ชักนำวิญญาณ”

“อ้า! ฮะ?” ไป๋อวี้ยังคงตกตะลึงในแสงสีแดงนั้น

“เร็ว!” อวิ๋นเจี่ยวเร่งเร้า!

“อ่อๆ !” เขาหยิบยันต์ใบหนึ่งออกมาแล้วยื่นไปให้

กำลังคิดจะถาม แต่กลับพบว่าอวิ๋นเจี่ยวใช้มือปิดผนึกที่ซับซ้อน ทันใดนั้นร่างกายของนางมีพลังลมปราณแผ่ซ่านออกมามากมาย นาทีถัดมานางโยนยันต์ในมือออกไป ก่อนจะพูดเสียงดัง “เสวียนเหมินฟ้าดิน จิตวิญญาณแห่งสรรพสิ่ง กลับคืนสู่ร่าง ขับไล่ปีศาจสะกดวิญญาณ!”

ทันทีที่สิ้นเสียง ยันต์แผ่นนั้นประกายแสงสีทองออกมาทันที แสงสีทองลอยสูงขึ้นไป ก่อนจะกลายเป็นผนึกขนาดใหญ่บนท้องฟ้า และทับลงมาโดยตรง แสงสีแดงที่ขยายอย่างไร้อาณาเขตนั้นหดกลับไปราวกับได้เจอศัตรูตัวฉกาจ วิญญาณปีศาจทั้งเมืองล้วนถูกดึงกลับเข้าร่าง

อสูรกลืนนภาคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด ร่างกายขนาดใหญ่หดตัวเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะดิ้นรนราวกับเจ็บปวดอย่างมาก

ไป๋อวี้ที่อยู่ด้านข้างตกตะลึงอย่างมาก มองดูอวิ๋นเจี่ยวที่กำลังท่องคาถา ก่อนจะมองไปยังผนึกขนาดใหญ่บนท้องฟ้า

นี่คือ…คาถาสะกดวิญญาณ!

คาถาสะกดวิญญาณ!!!

ไม่เห็นเหมือนกับที่เขาเรียนเลย

w(゚Д゚)w

ไหนบอกว่าคาถาสะกดวิญญาณเป็นเพียงคาถาที่เอาไว้สะกดให้จิตนิ่งสงบ ปกติใช้สำหรับฝึกฝน?! สามารถใช้แบบนี้ได้ด้วย?

อวิ๋นเจี่ยวกลับไม่สังเกตเห็นสีหน้าสงสัยของไป๋อวี้ นางยังคงประคองคาถาภายในมืออย่างตั้งใจ พลังลมปราณที่นางฝึกฝนในหลายวันมานี้ถูกเส้นชีพจรเสวียนดึงออกมา ราวกับจะถูกดึงไปจนแห้งเหือดภายในครั้งเดียว

เพียงแต่อสูรกลืนนภาตัวใหญ่เกินไป ถึงแม้จะควบคุมอีกฝ่ายได้ชั่วคราว แต่หากต้องการควบคุมทั้งหมดคงจะเป็นการยาก โดยเฉพาะในตัวของนางยังมีเส้นชีพจรแบบนี้อีก ตอนแรกยังดี เมื่อถึงตอนหลังนางเริ่มรู้สึกหมดแรงขึ้นมา นางสัมผัสได้ว่าพลังลมปราณภายในร่างกายน้อยลงเรื่อยๆ เหมือนกับลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมออก

นางรู้สึกเพียงตันเถียนว่างเปล่าลงเรื่อยๆ เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นที่หน้าผาก ในขณะที่รู้สึกว่าพลังลมปราณในตัวกำลังจะหมด หลังของนางกลับรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา ราวกับมีบางอย่างเข้าใกล้ อวิ๋นเจี่ยวผงะ ก่อนจะมองไปยังอาจารย์ปู่ที่อยู่ด้านข้าง

“ตั้งใจ!” เยี่ยยวนพูดเตือน

พูดจบ นางรู้สึกเพียงพลังลมปราณมหาศาลส่งเข้ามา ทันใดนั้นพลังลมปราณเย็นๆ เติมเต็มตันเถียนของนาง เส้นชีพจรทั่วร่างที่ใกล้จะแห้งเหือดกลับมามีแรงอีกครั้ง นางยังไม่ทันได้ประหลาดใจ ผนึกในมือก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

ผนึกขนาดใหญ่บนท้องฟ้านั้นขยายใหญ่ขึ้นเท่าตัว มันแทบจะครอบคลุมไปทั่วท้องฟ้า แสงสีทองอร่ามตา กดทับลงไปยังอสูรกลืนนภาที่กำลังดิ้นรนอยู่

โฮก…

อสูรกลืนนภาร้องโหยหวนออกมา แสงสีแดงบนตัวของมันดับไป ก่อนที่จะมีเงาจำนวนมากลอยออกมาจากตัวของมัน เงามหาศาลเหล่านั้นมุดออกจากตัวของอสูรกลืนนภาราวกับหยาดฝน ก่อนจะหนีไปทุกทิศทั่วทาง

“นี่คือ…วิญญาณ!” ไป๋อวี้เห็นเงาพวกนั้นก็รู้ทันทีว่ามันคืออะไร คงจะเป็นวิญญาณในเมืองซิวหลิงที่ถูกอสูรกลืนนภากลืนกินไป ดูท่าทางวิญญาณเหล่านี้ยังไม่ถูกมันย่อยสลายไปจนหมด เพียงแต่ได้รับผลกระทบจากอสูรกลืนนภา ร่างวิญญาณของพวกเขาดูอ่อนแออย่างมาก อีกทั้งราวกับสูญเสียสัมปชัญญะไปแล้ว พวกมันหนีไปอย่างไร้จุดหมาย หากไม่ส่งเข้าไปในยมโลก แม้ว่าวิญญาณเหล่านี้จะหนีรอดจากอสูรกลืนนภา แต่หากอยู่ในโลกนานก็จะสลายไปเช่นเดียวกัน

โชคดีที่หยวนเจียงตั้งสติได้ เขารีบวางข่ายพลังกลับชาติ นำพาวิญญาณเหล่านั้นไปยังยมโลก ตามการลดลงของวิญญาณ ภายใต้การกดทับของคาถาสะกดวิญญาณ ร่างของอสูรกลืนนภาหดเล็กลงเรื่อยๆ ไม่ถึงครึ่ง อสูรยักษ์ขนาดเท่าภูเขาก็เหลือเพียงขนาดเท่าปีศาจธรรมดาแล้ว มันกำลังกลิ้งอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด

อวิ๋นเจี่ยวเก็บคาถาสะกดวิญญาณกลับมา ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก มองไปยังคนที่เติมพลังลมปราณให้ “ขอบคุณอาจารย์ปู่!” เมื่อกี้หากไม่ได้เขาคอยช่วยเหลือ อวิ๋นเจี่ยวคงประคองไม่ถึงตอนนี้

“อืม” เยี่ยยวนพยักหน้า ถึงแม้จะไม่ได้ส่งพลังลมปราณให้ศิษย์หลานแล้ว แต่ฝ่ามือของเขายังทาบอยู่บนหลังของนาง ไม่อยากปล่อยมืออย่างประหลาด

“เจ้าหนู ราชาปีศาจเหมือนจะตกอยู่ด้านหน้า!” ไป๋อวี้ชี้ไปยังด้านหน้า

“ไปดู!” อวิ๋นเจี่ยวรีบเดินไปทางนั้นทันที

เยี่ยยวนที่สัมผัสได้ถึงฝ่ามือที่ว่างเปล่า คิ้วของเขาขมวดขึ้นมาทันที สายตาเย็นยะเยือกราวน้ำแข็งจ้องไปยังคนบางคน

ไป๋อวี้ที่ถูกจ้องตัวสั่นเทา เอ๊ะ? เขาพูดอะไรผิดอีก สายตาของอาจารย์ปู่น่ากลัวจัง

Σ(°△°|||)︴

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด อวิ๋นเจี่ยว ศัลยแพทย์ปริญญาเอกจากคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ถึงคราวต้องกุมขมับเมื่อทำดีกลับไม่ได้ดี ช่วยเหลือคนแก่ที่หกล้มกลับโดนรีดไถและสาปแช่งให้เห็นผี! ยังไม่พอยันต์ที่ยายแก่คนนั้นสาปเธอยังทำให้เธอทะลุมิติไปยังโลกยุคโบราณและโดนล่อลวง (?) ให้เข้าเป็นศิษย์สำนักเต๋าที่ทำหน้าที่ปราบปีศาจผดุงคุณธรรมอีกด้วย เล่าลือกันว่าท่านปรมาจารย์เจ้าสำนักอารามชิงหยางนั้นสำเร็จเป็นเซียนและโบยบิน ขึ้นสวรรค์ไปเมื่อหลายแสนปีก่อน แต่หากเป็นอย่างนั้นจริงเงาร่างหล่อเหลาเปล่ง รัศมีเจิดจ้าที่กำลังนั่งเล่นควันธูปอยู่นี่คือใครกันเล่า?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset