สำนักเทียนซือมีโอกาสขึ้นทะเบียนปีละสองครั้ง ครั้งหนึ่งตอนต้นปี และอีกครั้งหนึ่งในต้นเดือนหก เนื่องจากทุกต้นปีศิษย์ของแต่ละสำนักจะแห่กันไปขึ้นทะเบียน และเข้าร่วมในการทดสอบ ทำให้คึกคักมากเป็นพิเศษ ดังนั้นคนส่วนใหญ่จะเลือกไปขึ้นทะเบียนในเวลานี้
อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกว่าตัวเองค้นพบวิธีที่จะทำให้กระเป๋าเงินของเขาพองโตขึ้นมาแล้ว ก็แค่การทดสอบไม่ใช่เหรอ? นี่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนาง ยิ่งไปกว่านั้น ตาโจวยังบอกอีกว่าตราบใดที่บรรลุถึงเทียนซือระดับจักรพรรดิขั้นที่ห้า ในแต่ละเดือนยังจะได้รับเงินช่วยเหลือพิเศษ และสวัสดิการที่พอสมควรอีกด้วย
แต่ที่สำคัญคือ ความสามารถของชายแก่คงยากที่จะผ่านการทดสอบ ดูท่าทางเขาจะต้องฝึกฝนให้มากกว่าเดิมเสียแล้ว เช่นนี้ถึงจะสามารถหาเงินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อมาคำนวณดูแล้ว ดูเหมือนจะเหลือเวลาอีกไม่ถึงห้าเดือนก็จะถึงปีใหม่ ไม่รู้ว่าการทดสอบของสำนักเทียนซือจะยากกว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือเปล่า เพื่อความปลอดภัย ควรเขียนตำราเรียนเพิ่มเติมให้ชายแก่ไว้อ่านอีกสักหน่อย อวิ๋นเจี่ยวกำมือแน่น ตัดสินใจเองอย่างเงียบๆ
ไป๋อวี้ที่นั่งกินข้าวอยู่ด้านข้างตัวสั่นขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก ฟ้ากำลังจะเปลี่ยนหรือ ทำไมถึงรู้สึกหนาวขึ้นอย่างประหลาด
…
อวิ๋นเจี่ยวที่กำลังรีบกลับไปเขียนตำราเล่มใหม่ เดิมทีวางแผนจะกลับไปอารามตั้งแต่เช้า แต่ทันทีที่ก้าวขาออกจากประตู ก็เห็นรูปร่างคุ้นเคยยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านของตาโจว คนคนนั้นนั่นคือเซ่าเซี่ยน
อวิ๋นเจี่ยวและไป๋อวี้แลกเปลี่ยนสายตากัน ทันใดนั้นนึกถึงชามน้ำแกงโสมที่ใครบางคนแย่งไปกินขึ้นมา นางจับกระเป๋าเงินแน่นแล้วก้าวถอยหลัง เขาไม่ใช่ว่าเพิ่งมารู้ตัวแล้วมาขอเงินคืนใช่ไหม
“ท่านเซียนทั้งสอง” เมื่อเซ่าเซี่ยนเห็นทั้งสองคนออกมา สีหน้าก็ดูดีใจ และยกมือไหว้เป็นการเคารพ
“เจ้าจะทำอะไร” ไป๋อวี้ถาม
เซ่าเซี่ยนสูดหายใจเข้าก่อนเอ่ย “ข้าได้ยินมาว่าในสำนักเทียนซือมีตะเกียงฉางหนิง หากมีนักพรตที่เก่งกาจยินยอม ก็จะสามารถจุดตะเกียงนี้ให้กับคนตายได้ แสงไฟนั้นสามารถปลอบโยนคนตาย และทำให้พวกเขาทนทุกข์ทรมานน้อยลงในนรก “
“ตะเกียงฉางหนิง?” ไป๋อวี้ตกตะลึงครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองตาโจวที่อยู่ข้างหลังเขา “เจ้าเคยได้ยินไหมตาโจว”
“เคย” ตาโจวพยักหน้าและกล่าวต่อ “ข้าได้ยินมาว่าผู้ที่จุดตะเกียงฉางหนิงสามารถสื่อสารระหว่างคนเป็นและคนตายได้ คนตายที่ถูกคุ้มครองด้วยตะเกียงนี้สามารถข้ามแม่น้ำว่างชวน และไปถึงยมโลกได้อย่างปลอดภัย แต่มีเพียงเทียนซือระดับเสวียนเท่านั้นถึงจะทำได้”
ตาของเซ่าเซี่ยนเป็นประกาย มองตรงไปที่อวิ๋นเจี่ยวและกล่าวอย่างร้อนรนว่า “ท่านอวิ๋นมีความสามารถระดับสูง ท่านสามารถทำลายข่ายพลังร้อยผีได้ ท่านสามารถจุดตะเกียงนี้ได้อย่างแน่นอน ขอท่านเซียนโปรดช่วยข้าที”
อวิ๋นเจี่ยวหรี่ตาลงชำเลืองมองเขา และพูดด้วยเสียงทุ้ม “เจ้าต้องการจุดตะเกียงให้ท่านเซ่า?”
เซ่าเซี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาซีดลง ก่อนจะพูดด้วยความอับอาย “ข้า…ข้ารู้ด้วยว่าท่านมีความผิดอย่างมาก แต่ท่านก็เป็นบิดาที่ให้กำเนิดข้ามา ข้า…ข้าอยากทำสิ่งที่ในฐานะผู้เป็นบุตรควรทำ”
น้ำเสียงของเขาลดต่ำลงเรื่อยๆ ราวกับกำลังวิงวอนขอร้อง การตายของท่านเซ่าเป็นเพราะผลกรรมของเขาเอง แต่ใครก็พูดต่อว่าเขาได้ ยกเว้นแต่เซ่าเซี่ยน
“ท่านเซียน ได้โปรด ข้า…”
“ไม่ได้!” ก่อนที่เขาจะพูดจบ อวิ๋นเจี่ยวก็ปฏิเสธขึ้นมาทันที “เขาเป็นบิดาเจ้าไม่ผิด แต่เขาไม่ใช่บิดาข้า เขาไม่ใช่บิดาของศิษย์เสวียนเหมินที่ถูกขังในวันนั้น และยิ่งไม่ใช่บิดาของวิญญาณที่ถูกคุมขังมานับหลายปีแล้ว ไม่ว่าตะเกียงนี้จะใช้ได้หรือไม่ และไม่ว่าข้าจะมีความสามารถนี้หรือไม่ ทำไมเจ้าถึงคิดว่าการที่จะทำเพื่อความรักของเจ้า ก็จะต้องทำให้ผู้เสียหายทุกคนสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความยุติธรรม?”
“…” เซ่าเซี่ยนผงะไปไม่รู้จะตอบอย่างไร
“การตายของบิดาเจ้าเกิดจากการทำร้ายตัวเองทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวอะไรกับคนอื่น แม้ว่าเขาจะต้องไปยมโลกเพื่อรับกรรมอันทุกข์ทรมานเพียงไหน นั่นก็เป็นเพราะกรรมที่เขาก่อขึ้นเอง!” อวิ๋นเจี่ยวกล่าวต่อ “ในเมื่อเขาเลือกที่จะทำเช่นนี้ เขาก็ต้องแบกรับความรับผิดต่อผลที่ตามมา”
“แต่… แต่นอกเหนือจากนี้… ข้าก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้อีก อีกทั้งท่านเป็นบิดาของข้า…”
“เจ้าแน่ใจเหรอ” อวิ๋นเจี่ยวเอ่ยขึ้นทันใด
เซ่าเซี่ยนผงะไปครู่หนึ่ง มองมาที่นางด้วยความสงสัย “สิ่งที่ท่านว่า…หมายความว่าอย่างไร?”
“บิดาเจ้าสร้างข่ายพลังนี้นานแค่ไหน”
แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงถามเรื่องนี้ แต่เขาก็ยังคงตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ดูเหมือนว่าเป็นเวลากว่า…สี่สิบปีแล้ว และข้าเพิ่งรู้เรื่องนี้ไม่นาน”
เมื่อไม่กี่เดือนก่อนอาการป่วยของเขาแย่ลงอย่างกะทันหัน ท่านพ่อเชิญคนในเสวียนเหมินมาที่บ้านในฐานะแขก อ้างว่าจะขับไล่วิญญาณชั่วร้ายให้กับเขา เขาบังเอิญไปรู้แผนการของท่าน ดังนั้นเขาจึงปล่อยคนเหล่านั้นไปในตอนที่ท่านพ่อไม่ระวัง ตั้งแต่นั้นมาท่านพ่อก็ให้เขาคอยเฝ้าถ้ำทุกคืน และขอให้เขาคอยเฝ้าดูพวกผีร้ายที่เริ่มหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ
เพียงแต่ไม่คิดว่า… ยังคงไม่สามารถช่วยคนเหล่านั้นออกมาได้
“สี่สิบปี! เจ้าบอกว่าข่ายพลังนี้มีมาก่อนเจ้าเกิดงั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้!” ไป๋อวี้คิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ เอ่ยถามอย่างรวดเร็วว่า “เจ้าเกิดในปีไหน วันเกิดของเจ้าคือวันที่เท่าไหร่”
เซ่าเซี่ยนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกออกมา
“ตาโจว รีบคำนวณ!” ไป๋อวี้รีบผลักคนข้างๆ เขาอย่างรวดเร็ว
ตาโจวถึงได้ยกมือขึ้นมานับคำนวณ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็หยิบเหรียญทองแดงสองสามเหรียญออกมาเพื่อเป็นการเสี่ยงทาย ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นทันใด “นี่…นี่คือดวงแห่งผู้มีบุญ!” เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง หลายปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นดวงชะตาเช่นนี้
ดวงแห่งผู้มีบุญ หมายถึง ดวงของผู้ที่สะสมความดีในชาติก่อน หรือกลับชาติมาเกิดพร้อมบุญที่สั่งสมมา ซึ่งดวงของคนผู้นั้นได้รับการคุ้มครองจากสวรรค์ ตราบใดที่ไม่ทำชั่ว คนนั้นจะมีความร่ำรวยมั่งคั่งตลอดชีวิต
“ไม่น่า… เจ้าถึงสามารถทนต่อคำสาปได้นานถึงยี่สิบปี” คนธรรมดาที่รองรับแรงอาฆาต อย่างมากสองสามปีก็จะถูกกลืนจนตาย เขาสามารถอยู่ได้นานเช่นนี้ ก็เป็นเพราะดวงในตัวเขาที่ต้านคำสาปไว้ได้
“ไม่น่าเลย ดวงชะตาเช่นนี้ทำไมถึงเกิดในตระกูลเซ่ากัน” ตาโจวขมวดคิ้วหลังจากที่เขาคำนวณเสร็จแล้ว ตามหลักแล้วดวงชะตาเช่นนี้ไม่เกิดใหม่ในราชวงศ์ ก็ต้องเป็นตระกูลในวังที่มีชื่อเสียงถึงจะถูก แต่ตระกูลเซ่าเป็นเพียงตระกูลพ่อค้าเท่านั้น
เซ่าเซี่ยนมองไปที่ไป๋อวี้อย่างฉงนใจ “ข้าขอถามท่านเซียน คำสาปแรงแค้นคืออะไร?”
“เจ้าต้องคำสาปแรงแค้น ดูเหมือนว่าจะติดตัวมาตั้งแต่เด็ก” ไป๋อวี้ก็ไม่ได้ปิดบังเขา อธิบายว่า “คำสาปนี้สามารถรวบรวมความแค้นของผีรอบตัวได้ นี่คือที่มาของโรคที่เจ้าเป็น หากไม่ใช่เพราะเจ้าหนูใช้เข็มเงินเพื่อทำให้ยับยั้งวิญญาณเจ้าให้สงบลง เจ้าคงตายตามท่านเซ่าไปแล้ว” แม้ว่าอาจไม่ได้รุนแรงขนาดนั้นเพราะดวงชะตาของเขา แต่ก็ใกล้เคียง
“ตั้งแต่เด็ก…” เซ่าเซี่ยนราวกับนึกอะไรได้ ทันใดนั้นสีหน้าเขาซีดขาวลงไปทันที
“ท่านเซ่าเลี้ยงเจ้าเป็นภาชนะรับความแค้นเหล่านั้น!” ตาโจวที่อยู่ข้างๆ เขาก็เพิ่งเข้าใจขึ้นมา “แต่… เจ้าเป็นลูกของเขาไม่ใช่หรือ พวกเจ้ามีสายเลือดเดียวกัน หากเจ้าได้รับผลกระทบจากแรงแค้นก็ส่งผลต่อดวงชะตาของตระกูลเซ่าไปด้วย เว้นแต่…เขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ”