ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด – ตอนที่ 42 จิ้งจอกตอบแทนบุญคุณ

หลังจากได้ยินคำพูดของพวกเขา ใบหน้าของเซ่าเซี่ยนก็ซีดลง  

 

 

ตาแก่และตาโจวก็ดูตกใจเช่นกัน ใครจะคิดว่าชายที่เสนอค่าตอบแทนมากมายให้คนมารักษาลูกชายที่ป่วยนั้นจะเป็นต้นเหตุของอาการป่วย แถมลูกที่ว่ายังไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของตนเอง แต่นังหนูรู้ได้อย่างไรกัน  

 

 

“ข่ายพลังร้อยผีถูกสร้างขึ้นโดยพลังด้านลบจำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องการพลังงานลมปราณจำนวนมากเพื่อควบคุม หากได้รับผลกระทบแม้เพียงเล็กน้อย วิญญาณที่ถูกขังในนั้นจะหนีออกมาได้” อวิ๋นเจี่ยวอธิบายด้วยเสียงทุ้ม “ท่านเซ่าไม่เคยฝึกฝนมาก่อน พลังงานลมปราณต้องไม่เพียงพอเป็นแน่ หากต้องการรักษาข่ายพลังไว้ก็ต้องระมัดระวังในหลายเรื่อง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวเองต้องไม่ได้รับพลังด้านลบ และแน่นอนว่ามันยังรวมถึง…การไม่ใกล้ชิดกับผู้หญิงด้วย”  

 

 

หากเซ่าเซี่ยนเกิดมากการทำเด็กหลอดแก้วก็คงเป็นไปไม่ได้  

 

 

“ทั้งหมดนี้เขียนอยู่ในบทที่สามหน้าที่เจ็ดบรรทัดที่ห้าของตำรารวมร้อยผี” หลังจากพูดพบ นางหันหน้าและเหลือบมองตาแก่ ทั้งที่สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ดูเหมือนว่าบนนั้นจะเขียนว่า: ไม่มีอะไรทำหัดอ่านตำราบ้าง  

 

 

ไป๋อวี้: “…”  

 

 

ตาโจว: “…”  

 

 

เจ็บที่หน้าอกอย่างไร้สาเหตุ  

 

 

เซ่าเซี่ยนก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน ใบหน้าแสดงออกถึงความศรัทธาที่พังทลาย ราวกับว่าเขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่เขาได้ยิน แม้ว่าเขาจะรู้อยู่เสมอว่าท่านพ่อไม่ชอบเขามาก และท่านก็ไม่ค่อยปล่อยเขาออกไป ให้เขาอยู่แต่ในจวนเสมอ แม้แต่เขาจะไปเรียนที่สถานศึกษาก็ต้องขอร้องท่านเป็นเวลานานกว่าเขาจะตกลงอย่างไม่เต็มใจ แต่เขาไม่เคยคิดว่าตนเองจะไม่ใช่ลูกของเขา  

 

 

ท่านตั้งชื่อให้เขาว่า เซ่าเซี่ยน อุทิศ… เขาอุทิศให้ใคร?  

 

 

เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดต่อ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเย็นชาไปทั้งตัว  

 

 

ไป๋อวี้ถอนหายใจและอดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าและตบไหล่เขา “หากเจ้าต้องการไถ่บาปให้บิดาของเจ้า จงทำความดีมากกว่านี้”  

 

 

พูดเสร็จ เห็นเขายังทำท่าทางคิดไม่ตกอยู่ แต่ก็ไม่ได้อยู่ต่อ หลังจากบอกลาตาโจวก็เดินทางกลับไปที่สำนักชิงหยาง  

 

 

——————  

 

 

ไป๋อวี้และอวิ๋นเจี่ยวตัดสินใจว่าจะไปสอบที่สำนักเทียนซือตอนต้นปี ดังนั้นหลังจากกลับถึงอาราม ไป๋วอี้ก็กระโจนตัวเข้าสู่การเตรียมสอบอย่างขยันขันแข็ง ตอนแรกไป๋อวี้ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะการทดสอบของสำนักเทียนซือแม้ว่าค่อนข้างจะยาก แต่ก็ยากตรงที่จัดอันดับ แต่หากเขาเพียงต้องการขึ้นทะเบียนเป็นเทียนซือระดับจักพรรดิขั้นที่หนึ่ง เขาเชื่อว่ายังไงเขาก็สามารถทำได้  

 

 

ดังนั้นในตอนแรกเขาไม่ได้จริงจังกับมันมากนัก จนกระทั่ง… อวิ๋นเจี่ยวเพิ่มหนังสือบนชั้นวางหนังสือของเขาเป็นสองเท่า ร่างกายของไป๋อวี้รู้สึกไม่ค่อยสบายขึ้นมาทันที เขารู้สึกว่าชีวิตเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง อุตส่าห์รวบรวมความกล้าที่จะต่อต้าน แต่ก็ถูกคำพูดจากอีกฝ่ายหนึ่งระงับไว้ในทันที  

 

 

“เทียนซือระดับจักรพรรดิขั้นที่ห้าถึงจะมีเงินเดือน ไม่อย่างนั้นก็รออดตายได้เลย ท่านคิดว่าเรายังมีเงินให้ผลาญกันอยู่หรือไม่” เหตุผลของอวิ๋นเจี่ยวนั้นสมเหตุสมผล  

 

 

ไป๋อวี้จึงทำได้แต่หยิบตำราเล่มเล็กขึ้นมาอ่านทั้งน้ำตา รู้สึกว่าถูกคำว่า “จน” หลอกหลอนมาทั้งชีวิต หากรู้ว่าเมื่อกลับมาถึงจะเข้าสู่โหมดนรกเช่นนี้ สู้อยู่ไล่ผีที่จินอี้ต่อจะดีกว่า!  

 

 

แม้ว่าผีร้ายจะดูน่ากลัวไปหน่อย แต่ทุกครั้งพวกเขาก็รอดมาได้ นอกจากนี้พวกมันยังมีท่านกระบอกไม้ไผ่…เอ่อ อาจารย์ปู่ที่คอยปกป้องพวกเขา เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องของตระกูลเซ่าขึ้นมา  

 

 

เรื่องของเซ่าเซี่ยน ตาโจวได้กล่าวถึงหลายครั้งในจดหมายที่เขียนมา เมื่อเทียบกับผู้เป็นบิดา เขาถือว่าเป็นคนดีเลยทีเดียว แม้ว่าตอนนี้จะยังรับความจริงที่บิดาของเขารับเลี้ยงตนเองเพื่อเป็นเครื่องมือกันแรงแค้นไม่ได้ แต่สุดท้ายเขาเองก็ไม่ได้มีความคับแค้นใจในเรื่องนี้ อีกทั้งยังอยากเข้าร่วมเป็นศิษย์เสวียนเหมิน คิดที่จะใช้แรงของตน เพื่อที่จะไม่มีคนเหมือนบิดาของเขาอีก  

 

 

อาจเป็นเพราะเขาเห็นความกล้าหาญของอวิ๋นเจี่ยวตอนที่ทำลายข่ายพลัง อีกฝ่ายจึงขอให้ตาโจวถามว่าเขาจะเข้าร่วมสำนักชิงหยางได้หรือไม่  

 

 

ดวงตาของไป๋อวี้เป็นประกาย เห็นแก่ความมั่งคั่งของตระกูลเขา เขาและอวิ๋นเจี่ยวคิดแล้ว จึงตอบจดหมายกลับไป เพื่อเป็นการรักษาความขลังของสำนัก พวกเขาตอบกลับอย่างอ้อมค้อมว่า: สำนักชิงหยางจะรับศิษย์ที่มีคุณสมบัติสูง และต้องมีพรสวรรค์เท่านั้น ยิ่งกว่านั้นเส้นทางแห่งการฝึกฝนนั้นยากลำบาก และใช้เงินเป็นจำนวนมาก หากต้องการเข้าร่วมต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งด้านจิตใจและด้านการเงิน แน่นอนว่าสิ่งสำคัญคือด้านการเงิน  

 

 

ผลก็คืออีกฝ่ายตอบด้วยความเข้าใจ แล้วกระจายทรัพย์สมบัติของเขาออกไป… ไปที่สำนักเทียนซือเพื่อฝึกฝน!  

 

 

ไป๋อวี้: “…”  

 

 

อวิ๋นเจี่ยว: “…”  

 

 

“ยังไงก็เถอะ…พวกเราพูดอ้อมค้อมเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”  

 

 

“อืม อาจจะ”  

 

 

ถ้ารู้เช่นนี้จะบอกเขาตามตรงว่าค่าเล่าเรียนเท่าไหร่ก็จบแล้ว  

 

 

ไป๋อวี้ลูบกองหนังสือที่อยู่ข้างหน้า รู้สึกอยากร้องไห้เล็กน้อยแต่ไม่มีน้ำตา เดิมทีคิดว่าจะมีเพื่อนมาคอยช่วยเหลือและแบ่งปันหนังสือด้วยกัน แต่สุดท้ายคนมาถึงหน้าประตูแล้ว แต่กลับหันเดินหนีไป ทำให้ความหวังที่จะร่ำรวยของสำนักชิงหยางพังทลายลง  

 

 

“อย่าลืมการทดสอบรายเดือนของอาจารย์ปู่ในวันพรุ่งนี้!” อวิ๋นเจี่ยวเตือนเขา  

 

 

“…” เจ้าคือปีศาจหรือไง?  

 

 

(;´༎ຶД༎ຶ`)  

 

 

อยากจะร้องไห้!  

 

 

อวิ๋นเจี่ยวหันหลังเดินไปที่สวนหลังบ้าน “ข้าจะไปดูที่ขอบหน้าต่างว่าวันนี้มีอะไรกินบ้าง”  

 

 

ไป๋อวี้อึ้งไปครู่หนึ่ง และถามขึ้นโดยไม่รู้ตัวว่า “วันนี้เจ้ายังไม่ไปหรือ”  

 

 

“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า  

 

 

“นี่ส่งให้มาสามเดือนแล้ว ตกลงใครเป็นคนส่ง?” ไป๋อวี้สงสัยเล็กน้อย  

 

 

“ไม่รู้”  

 

 

อวิ๋นเจี่ยวก็รู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมหลังจากกลับมาจากจินอี้ นางก็พบสิ่งแปลกๆ บนขอบหน้าต่างได้ทุกวัน บางครั้งก็เป็นผลไม้เล็กๆ น้อยๆ บางครั้งก็เป็นใบไม้ที่สดใส บางครั้งก็เป็นท่อนไม้แปลกๆ และบางทีก็เป็นซากกระต่าย  

 

 

ตอนแรกคิดว่าตาแก่เป็นคนวางไว้ แต่เขาก็ยุ่งกับตำราที่เพิ่มมากขึ้น คงไม่มีเวลาดำเนินการประท้วงอย่างลับๆ ได้ มาถามในภายหลังถึงได้รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนวางของพวกนั้น แต่ในสำนักชิงหยางมีเพียงสามคนเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นอาจารย์ปู่  

 

 

อวิ๋นเจี่ยวนึกถึงใครบางคนที่ชอบดื่มน้ำแกงกระต่ายมากกว่าใครๆ และได้ปฏิเสธคำตอบนี้อย่างมั่นใจ อาจารย์ปู่ของนางทำเป็นแต่กินเท่านั้น ไม่เคยคำนึงถึงเรื่องวัตถุดิบแม้แค่น้อย  

 

 

แต่จะเป็นใครล่ะ? อวิ๋นเจี่ยวงงงวย แต่ไม่ว่านางจะคิดมากเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าเป็นใคร ดังนั้นนางจึงตัดสินใจครั้งสำคัญด้วนการวางเมนูไว้บนขอบหน้าต่าง…  

 

 

ตั้งแต่นั้นมา อาหารทั้งหมดในเมนูก็ปรากฏบนขอบหน้าต่างของนาง ประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับอารามอย่างยิ่ง  

 

 

อวิ๋นเจี่ยวยังคงรู้สึกขอบคุณผู้เสียสละคนนี้มาก นางเดินอย่างรวดเร็วไปยังห้องของตน แต่น่าเสียดายที่สิ่งที่วางอยู่บนขอบหน้าต่างในครั้งนี้ไม่ใช่วัตถุดิบที่เขียนไว้ในเมนู แต่เป็น… หมาป่าขนสีเทาที่กำลังจะตาย  

 

 

อวิ๋นเจียว: “…”  

 

 

ดูเหมือนหมาป่าจะเป็นสัตว์คุ้มครองหรือเปล่า มันกินไม่ได้  

 

 

“อู้ววว~~~” ขณะที่ลังเลอยู่ ก็มีเสียงร้องเบาๆ จากด้านข้าง นางหันหน้าและพบว่ามีจิ้งจอกนั่งยองอยู่ข้างนาง ขนสีเหลืองของมันไม่มีความมันวาวอะไร อีกทั้งยังมีคราบเลือดติดอยู่บนขน แลยังสามารถเห็นรอยเย็บลางๆ ทั่วท้อง วิธีการเย็บนั้นคุ้นตาเป็นอย่างมาก  

 

 

อืม ใช่ มันเป็นแบบที่นางใช้อยู่บ่อยๆ นี่คือ…จิ้งจอกที่กินของผิดเข้าไปมาก่อนหน้านี้?  

 

 

“อู้ววว~~~” เมื่อเห็นนางนิ่งเฉย จิ้งจอกก็ร้องใส่นางอีกครั้ง หูของมันลู่ต่ำลง และดวงตามองตรงมาที่นาง ส่งสายตา…อ้อนวอนเล็กน้อย?  

 

 

อวิ๋นเจี่ยวมองไปที่หมาป่าสีเทาแล้วมองไปที่จิ้งจอก นี่คือ… พาหมาป่ามารักษา? จิ้งจอกกับหมาป่ามีความสัมพันธ์ที่ดีเช่นนี้เมื่อใดกัน  

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด อวิ๋นเจี่ยว ศัลยแพทย์ปริญญาเอกจากคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ถึงคราวต้องกุมขมับเมื่อทำดีกลับไม่ได้ดี ช่วยเหลือคนแก่ที่หกล้มกลับโดนรีดไถและสาปแช่งให้เห็นผี! ยังไม่พอยันต์ที่ยายแก่คนนั้นสาปเธอยังทำให้เธอทะลุมิติไปยังโลกยุคโบราณและโดนล่อลวง (?) ให้เข้าเป็นศิษย์สำนักเต๋าที่ทำหน้าที่ปราบปีศาจผดุงคุณธรรมอีกด้วย เล่าลือกันว่าท่านปรมาจารย์เจ้าสำนักอารามชิงหยางนั้นสำเร็จเป็นเซียนและโบยบิน ขึ้นสวรรค์ไปเมื่อหลายแสนปีก่อน แต่หากเป็นอย่างนั้นจริงเงาร่างหล่อเหลาเปล่ง รัศมีเจิดจ้าที่กำลังนั่งเล่นควันธูปอยู่นี่คือใครกันเล่า?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset