ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด – ตอนที่ 64 วิธียั่วยุ

“พวกเจ้าแต่ก่อนก็เคยเป็นคน แต่ตอนนี้กลับกินเลือดเนื้อของคนด้วยกันเอง เช่นนี้ยังนับว่ามีชีวิตเหรอ” อวิ๋นเจี่ยวกวาดตามองชาวบ้านที่ตอนนี้ไม่มีรูปร่างความเป็นคนหลงเหลืออยู่ ถึงแม้ภายในร่างกายยังมีวิญญาณ แต่กลับไม่สามารถเรียกว่าคนได้อีกต่อไป  

 

 

“เหอะๆๆ…” ชายหนุ่มยิ่งหัวเราะอย่างอารมณ์ดียิ่งขึ้น ไม่ได้สนใจการเสียดสีของนางแม้แต่น้อย แต่กลับพูดด้วยสีหน้าได้ใจว่า “พวกข้าก็ต้องไม่ใช่คนธรรมดาสิ เทพแห่งสวรรค์มอบชีวิตอันนิจนิรันดร์ให้พวกข้า ทำให้พวกข้าหลุดพ้นจากความทรมานของการเวียนว่ายตายเกิด พวกข้าเป็นเผ่าพันธุ์ที่ได้รับเมตตาจากสวรรค์ ส่วนพวกเจ้าก็เป็นได้เพียงอาหารของพวกข้าเท่านั้น”  

 

 

สายตาของอวิ๋นเจี่ยวแปรเปลี่ยนไป ก่อนจะพูดเสียดสีต่อว่า “เทพแห่งสวรรค์? เทพอะไรกันที่แปรเปลี่ยนให้พวกเจ้ากลายสภาพเป็นผีเช่นนี้ ดูท่าทางเทพของพวกเจ้าก็ไม่ได้มีความสามารถอะไร”  

 

 

“หุบปาก!” ชายหนุ่มโกรธอย่างมาก ทันใดนั้นดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด จ้องเขม็งนางอย่างอาฆาต ทำให้ผีดิบตัวอื่นๆ ก็เริ่มเคลื่อนไหวขึ้นมา อีกทั้งยังมีบางตัวที่ร้องคำรามใส่นาง “เป็นเพียงคนธรรมดา แต่บังอาจมาต่อว่าเทพแห่งสวรรค์ของพวกเรา!”  

 

 

“ที่ข้าพูดมันผิดหรือไง” อวิ๋นเจี่ยวตั้งสติ ก่อนจะตอกกลับอย่างไม่กลัวตาย “พวกเจ้าคิดว่าสภาพของตัวเองดูดีมากหรือไง ต้องให้ข้าจัดงานประกวดนางงามให้ไหม พวกเจ้าหน้าตาน่าเกลียดขนาดนี้แล้ว ดูท่าทางเทพแห่งสวรรค์ของพวกเจ้าจะยิ่งกว่า คงจะหน้าตาอัปลักษณ์จนไม่กล้าออกมาพบหน้าคน”  

 

 

“เจ้า…” ชายหนุ่มยิ่งโกรธมากขึ้น ทำท่าจะพุ่งเข้ามา แต่ก็เกรงกลัวต่อข่ายพลัง ใบหน้าครึ่งซีกที่ดุร้ายนั้น ตอนนี้แทบจะบิดเบี้ยวเพราะความโกรธ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที ก่อนจะพูดว่า “ดี! ในเมื่อเจ้าหาที่ตาย งั้นคืนนี้ก็เริ่มจากเจ้า พวกข้าจะฉีกกินเลือดเนื้อของเจ้า จากนั้นนำเอาวิญญาณของเจ้าเซ่นไหว้เทพแห่งสวรรค์”  

 

 

“มาสิ! คิดว่าข้ากลัวเจ้าหรือไง แน่จริงก็มาตอนนี้เลย!” อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้สนใจคำขู่ของเขา นางเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว ก่อนจะพูดท้าทาย “ทำไม เทพแห่งสวรรค์ของพวกเจ้าก็แค่เต่าหดหัว ไม่กล้าสู้กันซึ่งหน้ากับสำนักเทียนซือ ทำได้เพียงใช้วิธีการสกปรกเท่านั้นใช่ไหม”  

 

 

“เจ้า…” ชายหนุ่มโกรธเคืองมากขึ้นไปอีก ตัวของเขาสั่นเทาขึ้นมา ความอาฆาตในดวงตายิ่งแล้วใหญ่ มันราวกับกำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ฝูงผีดิบบริเวณรอบด้านยิ่งเคลื่อนไหวมากขึ้น ราวกับในวินาทีถัดมาพวกมันจะพุ่งเข้ามาหาอวิ๋นเจี่ยวโดยไม่สนใจอะไร   

 

 

“เจ้า…เจ้าหนู” ชายแก่ที่ยืนอยู่ด้านข้างกระตุกแขนนางอย่างกังวล แต่ก่อนก็ไม่เคยเห็นนางมุทะลุเช่นนี้  

 

 

ศิษย์คนอื่นก็มองไปยังอวิ๋นเจี่ยวอย่างกังวล ถังเฉินยิ่งอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยเสียงทุ้มว่า “เจ้าจะไป…ยั่วโมโหเขาทำไมกัน” หากพวกเขาโมโหขึ้นมาแล้วพุ่งเข้ามาโดยตรง ถึงแม้จะมีข่ายพลังก็คงไม่อาจต้านได้  

 

 

อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้สนใจคนอื่นๆ ยิ่งพูดยิ่งมีอารมณ์ นางส่งเสียงในลำคออย่างเย็นยะเยือก ก่อนจะพูดด้วยท่าทางที่ท้าทายอย่างมาก “ฮึ ยังจะมาบอกว่าเป็นเทพแห่งสวรรค์ ไม่กล้าออกมาก็แล้วไป เขายังต้องพึ่งพาพวกเจ้าจับคนมาเซ่นไหว้ เทพแห่งสวรรค์ของพวกเจ้ายังไม่หย่านมหรือเปล่า”  

 

 

“หุบปาก!” ชายหนุ่มอดกลั้นไว้ไม่ไหวแล้ว ฝ่ามือของเขาสะบัดออกมาทันที ก่อนที่ก้อนพลังสีดำจะลอยออกไปและถูกข่ายพลังต้านเอาไว้ ชายหนุ่มดวงตาแดงก่ำ กัดฟันพูดออกมาว่า “มดตัวน้อยที่กล้าล่วงเกินเทพแห่งสวรรค์อย่างเจ้า ต้องรอรับการลงโทษจากสวรรค์”  

 

 

“มาสิ! ข้ารออยู่” อวิ๋นเจี่ยวหัวเราะเสียงเย็น “บทลงโทษจากสวรรค์ของพวกเจ้าคือการใช้ปากหรือไง มีปัญญาก็ไปเรียกเทพแห่งสวรรค์ของพวกเจ้าออกมา”  

 

 

“วางใจเถอะ พวกเจ้าหนีไม่พ้นแม้แต่คนเดียว เมื่อยามที่ฟ้ามืดก็คือเวลาพวกเจ้าวิญญาณสลาย” สายตาของชายหนุ่มจ้องเขม็งไปยังอวิ๋นเจี่ยว ก่อนจะพูดออกมาทีละคำ “เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะส่งพวกเจ้าไปยังหอบรรพบุรุษ ใช้วิญญาณของพวกเจ้าปลุกเทพแห่งสวรรค์ของพวกข้าให้ตื่นขึ้นมา”  

 

 

เขากวาดตามองไปยังคนในบ้าน ก่อนที่สีหน้าจะยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก คำพูดแต่ละคำนั้นราวกับมีพลังเย็นยะเยือกส่งเข้าในกระดูกของทุกคน พวกเขาต่างสั่นสะท้านขึ้นมา  

 

 

“อ่อ…” เสียงของอวิ๋นเจี่ยวต่ำลง ท่าทางที่ท้าทายเมื่อสักครู่หายเป็นปลิดทิ้ง นางกลับไปเป็นคนที่มีแต่ความเคร่งขรึมจริงจังเหมือนเดิม ก่อนจะเงยหน้ามองชายหนุ่มอย่างเรียบเฉย และพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า   

 

 

“ที่แท้เทพเจ้าแห่งสวรรค์ของพวกเจ้าก็หลบอยู่ในหอบรรพบุรุษ ต้องรอให้ฟ้ามืดถึงจะตื่น”  

 

 

เอ๊ะ อะไรนะ!?  

 

 

“…” สีหน้าของชายหนุ่มซีดเผือด  

 

 

“ขอบคุณสำหรับข่าวของเจ้า” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้าให้เขา ก่อนจะกล่าวคำขอบคุณอย่างจริงใจ จากนั้นนางก็หันหลังหยิบป้ายชื่อของตัวเองขึ้นมาจากข้างตัวอีกครั้ง ก่อนจะพูดกำชับว่า  

 

 

“ท่านอาวุโสเจียว ข้าจะวางข่ายพลังทำลายอุปสรรคทางนี้ แต่มีเวลาเพียงสามอึดใจที่จะเชื่อมต่อกับสำนักเทียนซือได้ ท่านเปลี่ยนข่ายพลังขนส่งให้เชื่อมกับทางนี้ แล้วเริ่มท่องคาถาพร้อมกัน”  

 

 

“ฮะ?” เจียวเหิงอีตะลึงไปพักหนึ่ง เชื่อมโยงทางนั้น ไม่ใช่จะส่งศิษย์กลับมาเหรอ แต่แล้วเขาก็เข้าใจในทันที “ข้าเข้าใจแล้ว! เริ่มได้เลย!”  

 

 

เจ้าสำนักสวีที่อยู่ด้านข้างก็เข้าใจในทันที รีบกำชับศิษย์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง “ไป เรียกท่านอาวุโสทั้งหมดในตำหนักมารวมตัวกันที่นี่เร็วเข้า”  

 

 

เวลาเพียงสามอึดใจไม่อาจส่งศิษย์ทั้งหมดกลับมาได้ก็จริง แต่หากส่งท่านอาวุโสทั้งหมดไปที่นั่นนั้นถือว่าเหลือเฟือ ผีดิบพวกนั้นถึงแม้จะจัดการได้ยาก แต่มีท่านอาวุโสอยู่ก็คงไม่มีปัญหาอะไร  

 

 

ทางด้านอวิ๋นเจี่ยวกำลังเริ่มวางข่ายพลังแล้ว ความเร็วในการวางข่ายพลังของนางนั้นรวดเร็วมาก ไม่เหมือนกับคนอื่นที่ฝึกฝนทางด้านนี้ที่ต้องหยุดลงเพื่อคำนวณซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกคนเห็นเพียงแต่นางสะบัดธงที่ใช้สำหรับวางข่ายพลังอย่างไม่รีบร้อน แม้แต่เวลาหยุดคิดยังไม่มีก็ปักเข้าไปยังตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง นอกจากบางตำแหน่งที่ต้องการวาดยันต์ นางถึงได้หยุดลงแล้วสั่งการให้ไป๋อวี้วาด  

 

 

ฝูงผีดิบด้านนอกนั้นดูออกว่านางกำลังจะทำอะไร ทันใดนั้นก็เริ่มร้อนรนขึ้นมา ชายหนุ่มที่เป็นผู้นำนั้นตะโกนออกมาด้วยสีหน้าที่น่าหวาดกลัวกว่าเดิม “เจ้าจะทำอะไร หยุด หยุดเดี๋ยวนี้!” เขาสั่งการผีดิบโดยรอบให้โจมตีข่ายพลังรอบบ้านอย่างไม่คิดชีวิต  

 

 

ท่าทางของอวิ๋นเจี่ยวนิ่งสงบ แม้แต่สีหน้ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลง นางยังคงวางข่ายพลังต่อ ไม่ถึงครึ่งเค่อ ข่ายพลังก็ใกล้จะเสร็จแล้ว  

 

 

“ท่านอาวุโสเจียว ข้านับสามสองหนึ่ง พวกเราท่องคาถาพร้อมกัน”  

 

 

“ได้ ท่านสหายอวิ๋น” ทางเจียวเหิงอีก็เตรียมตัวเสร็จแล้วเช่นกัน  

 

 

ตอนนี้อวิ๋นเจี่ยวถึงได้หยิบธงอันสุดท้ายขึ้นมา ก่อนจะนับเสียงดัง “สาม สอง หนึ่ง!” จากนั้นปักธงอันสุดท้ายเข้าที่พื้นอย่างรวดเร็ว  

 

 

นาทีถัดมา แสงสีขาวพุ่งขึ้นฟ้า ก่อนที่จะมีเสียงอะไรบางอย่างแตกสลายดังขึ้นมา ในเวลาเดียวกันข่ายพลังขนส่งหนึ่งอันก็ปรากฏขึ้นเหนืออากาศบริเวณสวนด้านหน้า แสงสีขาวค่อยๆ จางไป มีร่างของคนหลายคนปรากฏขึ้นตรงหน้า ทุกคนล้วนสวมชุดสีขาวของสำนักเทียนซือ บนชุดนั้นไม่ใช่ปักดอกไม้ ก็คือแขวนพระจันทร์ ไม่มากไม่น้อย ทั้งหมดสิบคนพอดี พวกเขายืนเรียงรายกันอยู่บริเวณด้านหน้าของศิษย์ผู้เข้าทดสอบ  

 

 

คนที่อยู่ตรงกลางสุดคือเจ้าสำนักเทียนซือ สวีชิงเฟิง สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก กวาดมองไปยังเหล่าศิษย์ที่มีสภาพย่ำแย่ ก่อนจะพยักหน้ากับอวิ๋นเจี่ยวที่ยืนอยู่ด้านข้าง สุดท้ายใช้สายตาอันแหลมคมมองไปยังฝูงผีดิบด้านหน้า  

 

 

เขาสะบัดมือก่อนจะสั่งการ “ศิษย์สำนักเทียนซือฟังคำสั่ง ตามข้ามาปราบมาร!” กำจัดพวกมัน!  

 

 

“รับทราบ เจ้าสำนัก!”  

 

 

ร่างทั้งสิบพุ่งเข้าไปยังฝูงผีดิบในทันที ทันใดนั้นทั่วทุกทิศเต็มไปด้วยแสงของยันต์และคาถา ทั้งสายฟ้า เปลวไฟ ทุกอย่างล้วนถูกส่งออกมาพร้อมกัน สาดส่องให้ทุกทิศทั่วบริเวณเต็มไปด้วยสีสันมากมาย  

Related

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด อวิ๋นเจี่ยว ศัลยแพทย์ปริญญาเอกจากคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ถึงคราวต้องกุมขมับเมื่อทำดีกลับไม่ได้ดี ช่วยเหลือคนแก่ที่หกล้มกลับโดนรีดไถและสาปแช่งให้เห็นผี! ยังไม่พอยันต์ที่ยายแก่คนนั้นสาปเธอยังทำให้เธอทะลุมิติไปยังโลกยุคโบราณและโดนล่อลวง (?) ให้เข้าเป็นศิษย์สำนักเต๋าที่ทำหน้าที่ปราบปีศาจผดุงคุณธรรมอีกด้วย เล่าลือกันว่าท่านปรมาจารย์เจ้าสำนักอารามชิงหยางนั้นสำเร็จเป็นเซียนและโบยบิน ขึ้นสวรรค์ไปเมื่อหลายแสนปีก่อน แต่หากเป็นอย่างนั้นจริงเงาร่างหล่อเหลาเปล่ง รัศมีเจิดจ้าที่กำลังนั่งเล่นควันธูปอยู่นี่คือใครกันเล่า?!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset