ยามซูจิ่นซีล้มลงได้พาความแข็งแกร่งที่มั่นคงอย่างเยี่ยโยวเหยาซวนเซถอยหลังออกไปสองถึงสามก้าว และล้มลงกับพื้นโดยมิได้คาดคิดในทันที
สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือมือข้างหนึ่งของซูจิ่นซียึดสาบเสื้อของเยี่ยโยวเหยา อีกมือหนึ่งก็จับกล้ามเนื้อบนหน้าอกอันสมบูรณ์แบบและเย้ายวนนั้นของเยี่ยโยวเหยาเอาไว้ เมื่อเยี่ยโยวเหยาล้มลงบนพื้น ริมฝีปากสีแดงสดของซูจิ่นซีจึงบังเอิญประกบเข้ากับริมฝีปากที่เย็นชาของเยี่ยโยวเหยาเข้าพอดิบพอดี
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมากจนซูจิ่นซีไม่มีเวลาตอบสนอง สายเกินไปที่จะตกใจ และสายเกินไปที่จะฟื้นคืนสติตนเองกลับมา
นางกำลังนอนอยู่บนร่างของเยี่ยโยวเหยาและนางสามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบนร่างกายของเยี่ยโยวเหยาอย่างชัดเจน
นางคิดว่าตนเองจะต้องตายอย่างแน่นอน นางไม่ทราบว่าควรจะตอบโต้อย่างไร
“เจ้าคนต่ำช้ายังไม่รีบลุกออกไปอีก! ”
ความโกรธเกรี้ยวแสนเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาช่างไม่สมกับเป็นตัวเองเท่าที่ควรและนี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้จับซูจิ่นซีให้ออกห่างจากตนด้วยตนเอง
ร่างกายของซูจิ่นซีขึ้นริ้วสีแดงก่ำไปทั่วทั้งร่างราวกับกุ้งที่โดนต้มจนสุก ทันใดนั้นนางก็ลุกออกจากร่างกายของเยี่ยโยวเหยาและคว้าผ้าเช็ดตัวที่ตกลงบนพื้นขึ้นมาเพื่อปิดกั้นความเขินอายต่อหน้าเขา ทว่านางคิดไม่ถึงว่า ผ้าเช็ดตัวผืนนี้จะเล็กมาก จนไม่สามารถปกปิดสิ่งใดได้เลย
“เยี่ยโยวเหยา ท่าน… ท่านหยาบคายที่สุด! ท่านอ๋องขึ้นมาได้อย่างไรกันเพคะ? ”
เยี่ยโยวเหยาลุกขึ้นอย่างไม่ทันได้ระวัง จึงรู้สึกปวดบริเวณข้อมือ อาจเพราะเมื่อสักครู่เขาได้รับบาดเจ็บจากการล้มทับของซูจิ่นซี ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับทำราวกับว่าความเจ็บปวดที่ข้อมือและการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของตนอันเนื่องมาจากซูจิ่นซีนั้นไม่เคยเกิดขึ้น
“ที่นี่เป็นเรือนในจวนโยวอ๋อง เป็นสถานที่ของข้า เจ้าพูดว่าข้ามาได้อย่างไรเช่นนั้นหรือ? ”
เพียงแต่ว่าน้ำเสียงที่ไม่เป็นตัวเองและแววตาคลุมเครือนั้นดูเหมือนจะขัดแย้งในใจของราชาปีศาจเหลือเกิน
ซูจิ่นซีพูดไม่ออก
“เยี่ยโยวเหยา ท่านเป็นผู้ที่ไร้ยางอายที่สุด ท่านไม่รู้จักมารยาทที่จะไม่มองร่างกายของสตรีหรือ? ข้ากำลังอาบน้ำ ท่านเข้ามาไม่รู้จักเคาะประตูหรืออย่างไร? ”
เคาะประตู?
ห้องนี้มีประตูด้วยหรือ?
เยี่ยโยวเหยาหันศีรษะมองไปด้านหลังของตน บันไดเวียนตามราวบันไดไปยังชั้นสองของเรือนอวิ๋นไคไม่มีประตูเลยสักบานเดียว เยี่ยโยวเหยาหัวเราะเยาะอย่างเงียบๆ ซูจิ่นซีช่างไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย
ซูจิ่นซีกำลังจะระเบิดอารมณ์ด้วยความโกรธ
“ถึงแม้ว่าจะไม่มีประตู ท่านก็ควรจะถามแม่นมฮวากับลวี่หลีก่อนหรือไม่? ท่านไม่รู้หรอกหรือว่าห้องส่วนตัวของสตรีนั้นบุรุษไม่สามารถเข้ามาตามอำเภอใจได้? ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วแน่นแล้วมองไปยังซูจิ่นซี
“มองอันใดของท่านเล่า หากท่านยังมองอยู่อีกข้าจะควักลูกตาของท่านออกมา! ”
ซูจิ่นซีดึงผ้าเช็ดตัวปิดบังร่างกายของนางอย่างดื้อดึง ดวงตาจ้องมองด้วยความโกรธ
ทว่าทันใดนั้นเอง นางก็พบว่าเยี่ยโยวเหยาส่งสายตามองตนอย่างผิดปกติ
นางมองตามสายตาของเยี่ยโยวเหยาและมองลงมาที่ตนเอง
“ว้าย!… ”
ให้ตายเถิด สิ่งที่ไม่ควรเปิดเผยก็ถูกเปิดเผย นางยืนอยู่ต่อหน้าบุรุษเช่นนี้ เผชิญหน้ากับเขานานเหลือเกิน
ซูจิ่นซีรู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง นางรีบวิ่งไปอยู่ด้านหลังของฉากกั้นห้อง
ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาเคร่งขรึมราวกับว่าไม่ได้นึกถึงเรื่องอย่างว่าเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย ทว่าขอเพียงมีผู้ใดสังเกตอย่างละเอียดก็จะพบว่าบัดนี้ใบหน้าที่เย็นชาของราชาปีศาจผู้นี้แดงขึ้น ทว่าเป็นเพราะแดงขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดูภายนอกจึงราวกับไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็หันหลังเดินลงไปชั้นล่าง ทว่าหลังจากเดินไปได้สองก้าว เขาก็หยุดอยู่ที่ราวบันได
ดวงตาที่เดิมทีแดงก่ำจากการยับยั้งความต้องการของร่างกายกลับเปล่งประกายราวกับเปลวเพลิง หน้าผากมีเหงื่อเย็นหยดลงมา เส้นเลือดที่คอเริ่มกระตุกอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเหมือนกับคราวที่พิษดูดเลือดของเยี่ยโยวเหยากำเริบในคืนวันอภิเษกสมรสอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากซูจิ่นซีหนีไปที่หลังฉากกั้นห้องก็รีบสวมใส่เสื้อผ้า ปากก็ขมุบขมิบต่อว่าเยี่ยโยวเหยา แท้จริงแล้วสิ่งที่หลุดออกมามีเพียงคำหยาบคายเท่านั้น
ทว่าเยี่ยโยวเหยาที่อยู่ด้านนอกไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ออกมา ซูจิ่นซีจึงคิดว่าเยี่ยโยวเหยาออกไปแล้ว
หลังจากสวมเสื้อผ้าแล้ว ซูจิ่นซีก็ลูบแก้มร้อนผ่าวของนาง หายใจเข้าลึกๆ ให้กำลังใจตนเอง
“ซูจิ่นซี ไม่เป็นไรนะ คิดเสียว่าวันนี้โชคไม่ค่อยดี ดันไปเจอกับสุนัขบ้ากามตัวหนึ่ง”
หลังจากนั้นก็ออกมาจากฉากกั้นห้องด้วยความสง่างาม
ทว่าซูจิ่นซียังไม่ทันได้ตั้งตัว ดวงตาของนางก็มืดแสงลงในทันใด ตามมาด้วยเงาสีขาวบดบังสายตาของนางไว้ ก่อนที่นางจะได้ตอบสนองว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับร่างกายของตน นางก็ถูกชนจนถอยหลังไปสองถึงสามก้าวและชนเข้ากับเตียงแกะสลักด้านหลัง
ให้ตายเถิด!
นางคาดไม่ถึงว่าจะถูกเยี่ยโยวเหยาจับโยนลงบนเตียง
ในใจของซูจิ่นซีเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ล้วนสายเกินไปที่นางจะตกใจกับใบหน้าที่แสนเย็นชาและทะนงตนของเยี่ยโยวเหยา จู่ๆ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร ริมฝีปากของเยี่ยโยวเหยาโน้มลงบนคอของซูจิ่นซีอย่างไร้ปราณี
เยี่ยโยวเหยาเป็นวรยุทธ์ ร่างกายแข็งแรงมาก ซูจิ่นซีรู้กำลังของตนเองดี เมื่อเจอเรื่องเช่นนี้ หากคิดจะต่อต้านก็ราวกับการกระแทกหินด้วยก้อนกรวด ไม่เป็นผลดีแน่นอน
วิธีเดียวในตอนนี้ที่จะทำได้ก็คือคุยกับเยี่ยโยวเหยาด้วยข้อตกลง
นางพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสงบสติอารมณ์ของตนเองและพูดอย่างประหม่าเล็กน้อย “ท่านอ๋อง ฟังหม่อมฉันก่อนเพคะ แม้ว่าเราสองจะเป็นสามีภรรยากันเพียงในนาม ทว่าท่านก็ไม่ได้ชอบพอหม่อมฉันมิใช่หรือ? เรื่องระหว่างชายหญิงเช่นนี้ แท้จริงอดทนอีกเพียงเล็กน้อยก็สามารถผ่านไปได้แล้ว วันนี้เป็นหม่อมฉันที่ไม่ดี เป็นหม่อมฉันที่ผิด ไม่ควรที่จะอาบน้ำในตอนกลางวัน ยิ่งไม่ควรไม่สวมใส่เสื้อผ้าออกมาจากอ่างอาบน้ำ ทำให้สายตาของท่านแปดเปื้อน ท่านคิดว่าอย่างนี้ดีหรือไม่? หม่อมฉันจะรักษาพิษในร่างกายท่านให้ดีที่สุด แล้วท่านก็ให้พ่อบ้านหาสตรีให้ท่านนางหนึ่ง รอให้ท่านจัดการความต้องการทางกายเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยให้หม่อมฉันมาถอนพิษให้ เป็นอย่างไรเพคะ? ”
บุรุษที่อยู่บนตัวของนางดูเหมือนจะไม่มีการตอบสนองใดๆ เลย
ริมฝีปากที่เปียกชื้นและเย็นยะเยือกกระตุกอยู่บนคอที่บอบบางของซูจิ่นซี แรงยั่วยุเช่นนี้ทำให้ร่างกายของนางร้อนขึ้น นางไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้เลยและนางก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองมากเช่นกัน
ทว่านางยังอดทนพูดต่อ “ท่านอ๋อง หม่อมฉันจะกล่าวกับท่านอย่างจริงใจนะเพคะ! หากท่านฝืนบังคับหม่อมฉันได้ แต่อย่างไรในใจหม่อมฉันก็ไม่มีทางมีท่าน และอาจจะเกลียดท่านยิ่งขึ้นนะเพคะ เหตุใดท่านจะต้องกระทำเช่นนี้! ในโลกนั้นของหม่อมฉัน แม้สตรีจะหลับนอนกับบุรุษไปตลอดชีวิต ทว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมแต่งงานกับชายผู้นั้น ดังนั้นความคิดระหว่างบุรุษและสตรีจึงเปิดกว้างมาก หากท่านคิดอยากจะได้หม่อมฉัน เรื่องนี้ควรจะต้องหารือกันไปอีกนาน ทำเช่นนี้ไม่มีประโยชน์หรอกเพคะ”
ทว่าเยี่ยโยวเหยาก็ยังไม่มีท่าทีตอบสนองเลยแม้แต่นิด
ท้ายที่สุดซูจิ่นซีจึงโกรธและต่อสู้ขัดขืนหลายครั้ง ทว่าก็ไม่สามารถต่อกรกับความแข็งแกร่งของเยี่ยโยวเหยาได้ บุรุษบนร่างของนางนั้นมั่นคงเหมือนภูเขาไท่ซาน แรงต่อสู้เพียงเล็กน้อยของนางถูกเยี่ยโยวเหยาจัดการในไม่กี่วินาที
นางไม่ดิ้นรนอีกต่อไป นอนอยู่บนเตียง กางมือออกทุกด้าน หลับตา ปล่อยไปตามสวรรค์กำหนด
“เช่นนั้นก็ทำเสียเถิดเพคะ! หากทำเสร็จแล้วก็ออกไปจากหม่อมฉัน แล้วชั่วชีวิตนี้อย่ามาให้หม่อมฉันเห็นอีก มิฉะนั้นหากหม่อมฉันมีโอกาสจะเฉือนน้องชายของท่านแน่”
ทว่าเยี่ยโยวเหยานอกจากจะซบอยู่ที่คอของนางตลอดก็ไม่ได้กระทำสิ่งใดอีกเลย และไม่มีการตอบสนองใดๆ กับคำพูดของซูจิ่นซีด้วย
นี่… ไม่ปกติแล้ว!
ซูจิ่นซีสงบใจลงและตระหนักได้ว่าเยี่ยโยวเหยาแปลกไปจริงๆ
เขาไม่ได้คิดจะข่มเหงจิตใจนาง ทว่าเพียงดูดเลือดที่คอของนางเท่านั้น ที่น่าแปลกคือซูจิ่นซีไม่ทราบว่ามีบาดแผลที่คอของนางตั้งแต่เมื่อใด นางไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย
มิน่าเล่า นางพูดออกไปตั้งมากมายเท่าไร ทว่าเยี่ยโยวเหยาก็ยังยอมให้นางพูดต่อไปได้เรื่อยๆ ที่แท้พิษในร่างกายของเขาก็กำเริบจึงคิดใช้นางที่เดิมทีก็เปรียบเสมือนกับคลังเลือดของเขาอยู่แล้ว