สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 102 คุณชายเหยียบนกกระสาที่งดงามที่สุด

        ซูจิ่นซีคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า การกลับมาในครั้งนี้ของจิ่วหรง คาดไม่ถึงว่าเขาจะเหยียบนกกระสามา

        ชุดสีน้ำเงินเย็นสบายทำมาจากผ้าไหมเหมือนกับชุดสีขาวของเขาในครานั้น เนื้อผ้าทิ้งตัวลงมาอย่างทรงพลังและสะอาดเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยของฝุ่นผงแม้แต่นิดเดียว ผมสีดำดั่งน้ำหมึกไม่ได้ถูกมัดไว้ มันพริ้วไสวลอยอยู่บนอากาศ ที่เท้าเหยียบนกกระสาไว้ตัวหนึ่ง พร้อมกับเป่าขลุ่ยร่อนลงมาจากฟ้า พระจันทร์ดวงใหญ่ด้านหลังยิ่งทำให้ร่างของเขาสว่างไสวน่ามอง

        ช่างงดงามเสียจริง

        ฝูงชนล้วนมองอย่างตกตะลึง กระทั่งลืมหายใจ

        นกกระสาที่เท้าของจิ่วหรงบินมาหยุดอยู่ตรงหน้าซูจิ่นซี เขาลงมาจากหลังของนกกระสาอย่างสง่างาม เก็บขลุ่ยในมือ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวกับซูจิ่นซีที่กำลังตกตะลึงว่า “เด็กน้อย หากขืนยังมองต่อ น้ำลายของเจ้าต้องไหลลงมาเป็นแน่”

        ซูจิ่นซีดึงสติกลับมาในทันที เร่งรีบเช็ดน้ำลายที่มุมปากของตนเอง แล้วกล่าวอย่างเขินอายเล็กน้อยว่า “จิ่ว… จิ่วหรง! ”

        จิ่วหรงใช้ขลุ่ยในมือเคาะไปที่หน้าผากของซูจิ่นซีเบาๆ “บอกกี่ครั้งแล้ว ให้เรียกอาจารย์”

        ซูจิ่นซียังคงพูดไม่ออก ได้แต่ยิ้มหวาน

        “จิ่วหรง ท่านรู้ได้อย่างไรเจ้าคะว่าวันนี้เป็นวันเกิดของข้า แม้แต่ข้าเองยังลืมเลย”

        “ข้ารู้มาตั้งนานแล้ว! ” จิ่วหรงตอบตามใจคิด ความหมายคือ เขาไม่ต้องการพูดเรื่องนี้กับซูจิ่นซีต่ออีกแล้ว “ไปดูสิ ว่าชอบของขวัญที่อาจารย์ให้เจ้าหรือไม่? ”

        จิ่วหรงชี้ไปที่ด้านหลัง

        ซูจิ่นซีถึงจะเห็นว่า แท้ที่จริงแล้วบนหลังของนกกระสานั้นยังนำหีบใบหนึ่งมาด้วย

        ชายชุดขาวทั้งสี่คนนำหีบลงมาจากหลังของนกกระสา หีบนั้นใหญ่มาก ตอนที่ย้ายก็ดูเหมือนจะหนักมากเช่นกัน

        ข้างในใส่ของอันใดไว้นะ เหตุใดถึงต้องใช้หีบใบใหญ่ถึงเพียงนี้บรรจุมา?

        ซูจิ่นซีมองไปทางจิ่วหรงอย่างสงสัย

        จิ่วหรงยิ้มอย่างอ่อนโยน สายตามองมาเพื่อให้ซูจิ่นซีเกิดความมั่นใจ “ของขวัญชิ้นนี้ เจ้าจะต้องเป็นผู้เปิดมันเองถึงจะมีความหมาย”

        ซูจิ่นซีเดินไปที่ข้างหีบอย่างไม่รู้อันใด ชายชุดขาวทั้งสี่คนหลบไปด้านข้างให้ซูจิ่นซีมีพื้นที่พอ

        ซูจิ่นซีเอื้อมมือไปเปิดหีบอย่างลังเลใจ เมื่อมองเห็นของที่อยู่ในหีบแล้วก็ถึงกับตกตะลึงในทันที

        ก่อนหน้านี้นางคาดคะเนถึงของขวัญที่จิ่วหรงจะมอบให้นางว่ามีความเป็นไปได้หลายอย่าง ทว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นของสิ่งนี้

        นางขมวดคิ้วมองไปทางจิ่วหรง

        ใบหน้าที่สงบจิตสงบใจของจิ่วหรงยังคงยกยิ้มอย่างเย็นชา “เด็กน้อย กระไรเล่า? เจ้าไม่พอใจกับของขวัญที่อาจารย์มอบให้เจ้าเช่นนั้นหรือ?”

        ในใจของซูจิ่นซีมีทั้งความชอบและความตกใจ ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี นางจึงไม่ได้พูดอันใด

        “คุณชายจิ่ว วันนี้ทางราชสำนักของข้ากำลังก่อสร้างลานพระที่นั่ง และยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก หากท่านว่างจนไม่มีอันใดทำจึงต้องการมาชมเรื่องสนุก เกรงว่าจะมาผิดที่แล้ว ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ท่านควรจะมา”

        ภายในใจของเยี่ยเซินรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย จึงหาโอกาสลงมือตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม

        จิ่วหรงไม่สนใจเยี่ยเซิน เขาพูดกับซูจิ่นซีว่า “เด็กน้อย ต่อไปต้องรอดูเจ้าแล้ว อย่าทำให้อาจารย์เสียหน้าเล่า”

        อย่าทำให้อาจารย์เสียหน้าเช่นนั้นหรือ?

        ทันใดนั้น ประโยคนี้ก็ทำให้ซูจิ่นซีคิดถึงเยี่ยโยวเหยาขึ้นมาในทันที

        นางหันหน้าไปมองเยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง พบว่าใบหน้าของเยี่ยโยวเหยายังคงเย็นชา ราวกับว่าไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นทางนี้แม้แต่น้อย

        ภายในใจของซูจิ่นซีกำลังผิดหวัง นางไม่เหลือความแน่วแน่อันใดแล้ว

        นางจึงหันมาพูดกับจิ่วหรง “ท่านจิ่วหรง ขอบพระคุณท่านแล้ว ข้าชอบของขวัญชิ้นนี้เป็นอย่างมาก”

        ฮั่วอวี้เจียวและฝูงชนจำนวนหนึ่งที่อยู่ใกล้กับซูจิ่นซีต่างอยากรู้อยากเห็นว่าในหีบนั้นมันคือสิ่งใดกันแน่ พวกเขาล้วนพากันลืมจุดประสงค์ในวันนี้เสียสิ้น แล้วทำคอยืดคอยาวไปทางหีบใบนั้น

        เมื่อสายตาของฮั่วอวี้เจียวมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในหีบเต็มสองตา นางก็กรีดร้องขึ้นมาในทันที “ เหตุใด…เหตุใดจึงเป็นนางไปได้? ”

        ใช่แล้ว!

        ของขวัญวันเกิดที่จิ่วหรงมอบให้ซูจิ่นซีไม่ใช่สิ่งอื่นใด ทว่าเป็นชีวิตของคนผู้หนึ่ง

        ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นซิ่งหลิวหลีที่ถูกผีดิบติดพิษช่วยชีวิตรอดไปจากมือของซูจิ่นซี

        ไม่คิดว่าจิ่วหรงจะจับกุมซิ่งหลิวหลีกลับมาได้

        เมื่อเห็นซิ่งหลิวหลี ซูจิ่นซีก็ตกใจเป็นอย่างมาก เพียงแต่ไม่นานความตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความดีใจและรู้สึกขอบคุณจิ่วหรง

        โอกาสที่นางจะได้ตอบโต้มาถึงแล้ว!!!

        “อย่างไรกัน? คุณหนูฮั่ว เจ้าไม่รู้จักนางหรือ? ”

        ซูจิ่นซีตั้งใจยกเสียงให้สูงขึ้นและเอ่ยถามฮั่วอวี้เจียว

        เมื่อมองดูการแสดงออกที่เปลี่ยนไปของฮั่วอวี้เจียว ตลอดจนได้ยินคำพูดที่ซูจิ่นซีพูดกับจิ่วหรง ฮ่องเต้ผู้สูงส่ง เยี่ยเซิน และซูจ้งต่างก็มองไปทางหีบนั้นอย่างอยากรู้อยากเห็นและสำรวจดูในทันที

        “พระชายาโยวอ๋อง เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ” ฮ่องเต้ชิงถามขึ้น

        “คงต้องถามคุณหนูฮั่วแล้วเพคะ คุณหนูฮั่วกับคนผู้นี้คุ้นเคยกันเป็นอย่างมาก บางทีนางอาจสามารถพูดสิ่งที่มีค่ามากกว่าหม่อมฉันก็เป็นได้เพคะ” ซูจิ่นซีตั้งใจทดสอบฮั่วอวี้เจียวและมองนางในเชิงลบ

        “ซูจิ่นซี เจ้าอย่ามาพูดจาใส่ร้ายผู้อื่น! ”

        ฮั่วอวี้เจียวรู้สึกลนลานและตื่นตระหนกขึ้นมาบ้างแล้ว จึงกล่าวออกมาด้วยความโมโห

        “คุณหนูฮั่ว ข้ายังไม่ได้พูดอันใดเลย! ท่านตื่นตระหนกอันใดกัน? หรือว่าท่านไม่ได้ตื่นตระหนก ทว่า… หวาดผวาอย่างนั้นหรือ? ”

        ซูจิ่นซีพูดคำว่า ‘หวาดผวา’ อย่างนุ่มนวลราวกับขนนก ทว่าสะกิดใจของฮั่วอวี้เจียว

        ฮั่วอวี้เจียวเพิ่งตระหนักได้ว่าตนเองตื่นตระหนกจนสูญเสียน้ำหนักในการพูด ทว่านางกลับไม่สามารถควบคุมความลนลานและความตื่นตระหนกเอาไว้ได้ ฮั่วอวี้เจียวรู้สึกเท้าอ่อนแรงจนเดินเซถอยหลังไปสองก้าวอย่างควบคุมไม่อยู่

        เวลานี้แม้แต่คนโง่ก็ยังดูออกว่าฮั่วอวี้เจียวจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน

        “ซูจิ่นซี มีอันใดจะพูดก็พูดออกมาตรงๆ ได้หรือไม่? เก็บงำเอาไว้จะมีความหมายอันใด? ” เยี่ยเซินกล่าวอย่างรำคาญ

        ซูจิ่นซียิ้มมุมปากอย่างไม่สนใจ สายตาเฉียดผ่านมาทางฝูงชน ผ่านไปทางฮ่องเต้ เยี่ยเซิน ซูจ้ง ฮั่วอวี้เจียว ฮองเฮาและเยี่ยโยวเหยาที่นั่งอยู่บนบัลลังค์ พวกเขาต่างเงียบงันไม่พูดจาอันใด อีกทั้งเหล่าฝูงชนที่เฝ้ามองดู

        ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็หันกลับมา ชี้นิ้วไปที่ซิ่งหลิวหลีที่นอนหมดสติอยู่ในหีบแล้วพูดว่า “นาง! ก็คือฆาตกรที่อยู่เบื้องหลังการวางยาพิษฮองเฮา! ”

        ทันใดนั้นทั่วทั้งลานก็เงียบสงบ ฝูงชนถูกทำให้ตื่นตกใจอีกครั้ง มีเพียงเสียงฝีเท้าของฮั่วอวี้เจียวที่เซไปด้านหลังอย่างตกตะลึง

        หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เยี่ยเซินก็กล่าวขึ้นว่า “ซูจิ่นซี เจ้าไม่ได้กำลังพูดจาเหลวไหลอยู่ใช่หรือไม่? นางเป็นสตรีตัวคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสตรีที่ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน”

        “เป็นสตรีแล้วอย่างไร? หรือว่าสตรีจะวางยาพิษไม่เป็นเช่นนั้นหรือ? ไท่จื่อ พระองค์ทรงรักหยกถนอมบุปผา [1] ตั้งแต่เมื่อใดกันเพคะ? ”

        ช่างเป็นเรื่องน่าขันเสียจริง!

        ซูจิ่นซีเพียงแค่คิด ทว่าก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

        แท้จริงแล้ว อุบายการวางยาพิษนี้เป็นเล่ห์เหลี่ยมที่เหล่าสตรีใช้บ่อยที่สุด

        เยี่ยเซินสำลัก “เช่นนั้นเจ้าลองพูดมาสิ สตรีผู้นี้ไม่เคยเข้ามาในวังหลวงมาก่อน นางจะวางยาพิษให้ฮองเฮาได้อย่างไร? ”

        ประตูเก้าของเมืองตี้จิงในตอนนี้มีไท่จื่อเป็นผู้ดูแล เยี่ยเซินยืนยันว่าประตูทั้งสี่ของพระราชวังมีเขาเป็นผู้ลาดตระเวนเฝ้าดูด้วยตัวเอง และเขาไม่เคยพบเห็นสตรีผู้นี้ในวังมาก่อน

        สายตาของซูจิ่นซีหนักแน่นมืดมน นางเคลื่อนย้ายสายตาไปทางฮั่วอวี้เจียวที่กำลังตื่นตระหนกอย่างถึงที่สุด “คุณหนูฮั่ว ถึงเวลาที่เจ้าควรพูดแล้ว! ”

        ฮั่วอวี้เจียวตัวสั่นเทาขึ้นมาในทันที นางกำหมัดทั้งสองข้างเข้าหากันแน่น บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กละเอียด นางกรีดร้องขึ้นมาราวกับถูกบังคับ “ข้าไม่รู้อันใดทั้งนั้น เจ้าจะให้ข้าพูดอันใด? ”

        เนื่องจากเวลานี้ ซิ่งหลิวหลี…ฆาตกรผู้นี้ตกอยู่ในกำมือของซูจิ่นซีแล้ว ซูจิ่นซีไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวและเชื่อฟังคำสั่งเหมือนดังก่อนหน้านี้อีก ซูจิ่นซีมีความหวังและความเชื่อมั่นทั้งหัวใจ ทั่วร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง

        ซูจิ่นซีแอบยกยิ้มที่มุมปากมาโดยตลอด นางเดินไปที่ด้านข้างของฮั่วอวี้เจียวทีละก้าวๆ และพูดข้างหูของฮั่วอวี้เจียวอย่างเย็นชาว่า “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตาอย่างนั้นหรือ? ”

        ในใจของฮั่วอวี้เจียวหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง การขู่เข็ญใส่ความของซูจิ่นซีคอยกัดกร่อนหัวใจของนาง

        ฮั่วอวี้เจียวน้ำตาคลอเบ้าอยู่ตลอดเวลา

        “พระชายาโยวอ๋อง นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่? ” ในที่สุดฮ่องเต้ก็เอ่ยปากพูดออกมา

        “พิษของฮองเฮาและหัวหน้าขุนพลฮั่วที่ได้รับก่อนหน้านี้ เกิดจากยาที่นางผลิตและผสมเข้าไปในสุราที่ฮองเฮาเสวย” ซูจิ่นซีจงใจละเว้นการเอ่ยถึงเยี่ยโยวเหยา เพราะว่านางไม่ต้องการเพิ่มความลำบากเดือดร้อนให้แก่เขา

        “ซูจิ่นซี นี่เจ้ากำลังพูดล้อเล่นหรือ? สุราที่เสด็จแม่เสวยถูกจัดเตรียมจากห้องเสวยมาตลอด และสิ่งของที่จะนำเข้าไปในห้องเสวยได้ล้วนผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดหลายครั้ง เป็นไปไม่ได้ที่… ” ขณะที่เยี่ยเซินกำลังพูด ทันใดนั้นเขาก็ราวกับคิดถึงบางอย่างขึ้นมาได้ แววตาเปล่งประกายความสงสัยขึ้นมา

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset