สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 106 จุดจบของฮั่วอวี้เจียว

       ฮ่องเต้ตรัสอย่างเชื่องช้าและเย็นชา แม้ว่าพระองค์จะรับสั่งกับแม่ทัพฮั่ว ทว่าหางพระเนตรทั้งสองข้างกลับจ้องมองไปยังร่างของฮั่วซืออวี่ตลอดเวลา

        พระองค์กำลังแสดงความโกรธที่มีต่อซูจิ่นซีผ่านร่างของฮั่วซืออวี่ อีกทั้งเป็นการเตือนฮั่วซืออวี่ว่าอย่าเข้าใกล้ซูจิ่นซีมากนัก

        “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตาพ่ะย่ะค่ะ! ”

        “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตาพ่ะย่ะค่ะ! ”

        แม่ทัพฮั่วและหัวหน้าขุนพลฮั่วรีบคุกเข่าขอบพระทัย

        “ฝ่าบาททรงพระปรีชา ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี! ”

        “ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี! ”

        “ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี! ”

        ปวงประชาต่างคุกเข่าลงบนพื้นแล้วกล่าวแซ่ซ้องออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

        ในขณะที่ผู้คนต่างก้มลงกราบ ฮ่องเต้ก็รู้สึกถึงการยืนอยู่เหนือผู้คนนับหมื่นอีกครั้ง ความรู้สึกของเกียรติยศที่เหนือกว่าอย่างไร้ขีดจำกัด พระองค์เปลี่ยนแปลงท่าทีเป็นยกตนข่มท่าน น่าเกรงขามขึ้นมาในทันใด

        ในเวลานี้ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าซูจิ่นซีจะกล่าวขึ้นมา “ฝ่าบาท แม้จวนสกุลฮั่วจะไม่มีส่วนเกี่ยงข้อง ทว่าไม่ได้หมายความว่าความผิดของฮั่วอวี้เจียวจะไม่ต้องไต่สวนกระมัง? ”

        ทันใดนั้นเสียงทั้งหมดก็เงียบลง บางคนถึงกับตกตะลึงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีต้องการทำสิ่งใดอีก

        “พระชายาโยวอ๋อง เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ” ฮ่องเต้ตรัสถามขึ้น

        ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย พลางเหลือบมองไปยังฮั่วอวี้เจียวที่นั่งอยู่บนพื้น ดวงตาทั้งสองของฮั่วอวี้เจียวเลื่อนลอย นางหมดหวังแล้ว

        “แม้ว่าคุณหนูฮั่วจะถูกผู้อื่นหลอกใช้ แต่ก็เป็นเพราะนางคบคนผิด ไม่ดูคนให้ดี หาเหาใส่หัว หากไม่ไต่สวนหาความผิดกับนาง ต่อจากนี้ไป หากมีผู้ใดที่ก่อความผิดเช่นเดียวกันนาง หรืออาจเกิดผลที่ร้ายแรงกว่า เกรงว่าคงเป็นการยากที่จะลงโทษคนผู้นั้น”

        ฮั่วอวี้เจียวมองไปที่ซูจิ่นซีอย่างสิ้นหวัง นางร้องไห้และกล่าวว่า “ซูจิ่นซี ข้าเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังต้องการอันใดอีก? ”

        ฮ่องเต้และฮองเฮาต่างก็จ้องไปที่ซูจิ่นซีด้วยสายพระเนตรเฉียบแหลม พลางตรัสถาม

        ซูจิ่นซีไม่ได้สนใจฮั่วอวี้เจียว นางกล่าวกับฮ่องเต้โดยตรงว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันหมายความว่าสามารถหลีกเลี่ยงโทษตายได้ ทว่าโทษเป็นคงยากจะหลีกเลี่ยง อย่างไรนางก็ควรถูกลงโทษสถานเบา เพื่อเป็นการตักเตือนและเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้อื่นต่อไปเพคะ”

        ซูจิ่นซีทำตัวเป็นสุนัขจับหนูคอยยุ่งเรื่องชาวบ้าน อีกทั้งยังกล่าวขอร้องกับฮ่องเต้แทนผู้อื่นมากมาย ทว่าไม่ได้หมายความว่านางจะปล่อยฮั่วอวี้เจียวไป และยิ่งไม่คิดจะปล่อยฮั่วอวี้เจียวด้วย

        “ซูจิ่นซี ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเจ้าเองที่กล่าว เจ้ามองข้ากับกฎหมายของจงหนิงเป็นสิ่งใดไปแล้ว” ฮ่องเต้ยังทรงกริ้วอยู่ไม่น้อย

        “ซูจิ่นซี เจ้าคิดว่าตนเองเป็นผู้ใดกัน? เจ้าต้องการให้ฝ่าบาททรงลงโทษคุณหนูฮั่วของพวกเรา ก็สามารถลงโทษคุณหนูฮั่วของพวกเราได้เช่นนั้นกระมัง? ” ฉิงสั่ว สาวใช้ส่วนตัวของฮั่วอวี้เจียวทนไม่ได้ที่จะเห็นคุณหนูของตนถูกบีบบังคับดังเช่นตอนนี้ คาดไม่ถึงว่านางจะกล้าประนามซูจิ่นซีแทนฮั่วอวี้เจียวอย่างไม่กลัวตาย

        “ก็แค่สาวรับใช้นางหนึ่ง มีที่ให้เจ้าพูดอย่างนั้นหรือ? ”

        ดวงตาที่เย็นชาของซูจิ่นซีกวาดไปทางฉิงสั่วราวกับใบมีด

        ทันทีที่สิ้นเสียงพูดของซูจิ่นซี เงาดำร่างหนึ่งก็ร่อนลงมาข้างกายของฉิงสั่ว ตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง คาดไม่ถึงว่าลิ้นของฉิงสั่วจะถูกตัดขาด ทันใดนั้นทั้งเนื้อและเลือดก็ร่วงหล่นลงมาเป็นฉากที่คลุมเครือเลือนราง เสียงคร่ำครวญนั้นช่างน่าสังเวชยิ่งนัก

        เขาเป็นคนของเยี่ยโยวเหยา

        ทุกคนต่างมองเยี่ยโยวเหยาด้วยความประหลาดใจ รวมถึงซูจิ่นซีด้วย

        “เจ้าเจ็ด เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? ” ในที่สุดความโกรธของฮ่องเต้ก็แผดเผาไปยังเยี่ยโยวเหยา

        น้ำเสียงของเยี่ยโยวเหยาเย็นชา เขากล่าวออกมาอย่างเฉยเมยโดยไม่มองไปทางฮ่องเต้ “เป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่ง สมควรเรียกชื่อพระชายาที่รักของข้าเช่นนั้นหรือ? ”

        แท้จริงแล้ว สาวรับใช้นางหนึ่งไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเรียกชื่อพระชายาอ๋องผู้สง่างาม เมื่อเยี่ยโยวเหยาทำเช่นนี้จึงไม่มีผู้ใดกล้าพูดสิ่งใดออกมา

        “เสด็จพ่อ จากที่กระหม่อมได้ฟัง สิ่งที่ซูจิ่นซีกล่าวนั้นแท้จริงก็มีเหตุผล เช่นนั้นก็ลงโทษคุณหนูฮั่วให้อยู่แต่ในจวนสกุลฮั่วเป็นเวลาสามเดือนเถิด ลงโทษสถานเบาเช่นนี้เป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? ”

        ไม่ใช่ว่าเยี่ยเซินเกิดกลับใจอย่างกะทันหันจึงกล่าวแทนซูจิ่นซี ทว่าเขารู้ถึงสถานการณ์ปัจจุบันดี เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ลงโทษฮั่วอวี้เจียว เขาจึงเปลี่ยนทิศทางมาพูดแทนฮั่วอวี้เจียวเพื่อบรรเทาโทษของนาง

        “หึ! ” ซูจิ่นซีถอนหายใจ “ไท่จื่อ ท่านกำลังล้อเล่นกับพวกข้าหรืออย่างไร? ท่านเคยเรียนกฎหมายของจงหนิงบ้างหรือไม่? ”

        เยี่ยเซินต้องการปะทะอารมณ์กับซูจิ่นซีมาก ทว่าเพื่อฮั่วอวี้เจียวแล้ว ในที่สุดเขาก็อดทนเอาไว้ได้ ทั้งยังเริ่มเรียกซูจิ่นซีว่า “เสด็จอา วันนี้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายถึงเพียงนี้ ท่านต้องการให้คุณหนูฮั่วรู้ว่าตนเองผิด นางก็รับรู้แล้ว วันหลังนางจะกระทำเรื่องอันใดก็ต้องระวังเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ในเมื่อเสด็จอาสามารถยกโทษให้แก่จวนสกุลฮั่วได้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องให้คุณหนูฮั่วรับผิดชอบความผิดมากมายกระมัง? กักบริเวณสามเดือนก็นับเป็นการลงโทษอย่างหนึ่งแล้ว! ”

        กักบริเวณเพียงสามเดือน?

        เป็นไปได้อย่างไร?

        ก่อนหน้านี้ฮั่วอวี้เจียวหยิ่งผยองต่อหน้าซูจิ่นซีเป็นอย่างยิ่ง เป็นไปได้อย่างไรที่จะกักบริเวณนางเพียงแค่สามเดือน เรื่องมันง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

        ซูจิ่นซูดูเหมือนเป็นผู้ที่ยอมความได้อย่างนั้นหรือ?

        “ไท่จื่อ ท่านอย่าลืมนะว่าสุราที่ไหลรินจากมือของฮั่วอวี้เจียวนั้นเกือบสังหารเสด็จแม่ของท่านแล้ว ท่านทำเช่นนี่หมายความว่า… แม้ฮองเฮาจะถูกฮั่วอวี้เจียววางยาพิษจนสวรรคต ถึงจะประหารฮั่วอวี้เจียวให้ตายก็ไม่อาจลบล้างความผิดบาปที่นางได้กระทำให้หมดไปใช่หรือไม่? ”

        แน่นอนว่าซูจิ่นซีไม่ได้พูดแทนฮองเฮา ทว่าเพื่อลงโทษฮั่วอวี้เจียวตามความคิดของนางแล้ว ซูจิ่นซียังสามารถนำวิธีหนามยอกเอาหนามบ่งกลับมาใช้ได้

        “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าอย่างไร? ” เยี่ยเซินกล่าวขึ้น

        ซูจิ่นซีส่งเสียงเยาะเย้ยขึ้นอีกครั้ง “ไท่จื่อ ท่านคิดผิดอีกแล้ว! ไม่ใช่ว่าข้าต้องการอย่างไร ทว่าท่านควรถามฝ่าบาทว่าพระองค์จะจัดการเรื่องนี้อย่างเป็นกลางได้อย่างไร”

        ฮ่องเต้ในเวลานี้เป็นตามที่ซูจิ่นซีคาดการณ์ไว้ พระองค์ไม่มีความคิดที่จะเสียเวลามากกับเรื่องนี้ เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่มีความหมายสำคัญอันใดสำหรับพระองค์อยู่แล้ว

        ยิ่งไปกว่านั้น ซูจิ่นซีก็ได้จัดการกับธิดาของพระองค์ไปแล้ว กอปรกับไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ในพระทัยไม่ไปไหน! ฮั่วอวี้เจียวจะนับว่าเป็นอันใด?

        “ฮั่วอวี้เจียว เร็วๆ นี้ก็ให้ไปภาวนาอธิษฐานที่อารามอวิ๋นเยวี่ยเถิด! ” ฮ่องเต้ไม่ได้ใส่พระทัยอันใดมาก เพียงตรัสไปอย่างนั้น

        ไปภาวนาอธิษฐานที่อารามอวิ๋นเยวี่ย?

        เยี่ยเซินยังวางแผนให้ฮั่วอวี้เจียวเป็นพระชายาไท่จื่ออยู่นะ!

        นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?

        “เสด็จพ่อ… ”

        เยี่ยเซินคิดจะขอร้องแทนฮั่วอวี้เจียวอีกครั้ง ทว่าทันทีที่เขาเปิดปากพูดก็พบว่าไม่มีโอกาสให้เขาได้ร้องขออีกแล้ว จึงทำได้เพียงอดทนเก็บคำพูดกลับไป

        หากได้เข้าไปยังอารามอวิ๋นเยวี่ย อีกครึ่งชีวิตของฮั่วอวี้เจียวก็นับว่าจบสิ้นแล้ว เมื่อรับราชโองการให้เข้าไปในอารามของแม่ชี หากไม่มีราชโองการจากฮ่องเต้ ตลอดชีวิตนี้ก็อย่าคิดที่จะออกมาได้เลย

        แม้ว่าแม่ทัพฮั่วและฮั่วซืออวี่จะรู้สึกสงสารและเห็นใจฮั่วอวี้เจียว ทว่าสำหรับผลลัพธ์ของจวนสุกลฮั่วในปัจจุบัน เพียงเท่านี้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว พวกเขาไม่กล้าร้องขออันใดเพิ่มเติม

        ฮั่วอวี้เจียวนั่งลงบนพื้น ดวงตาทั้งคู่มองดูเยี่ยโยวเหยาที่อยู่บนลานพระที่นั่ง เยี่ยโยวเหยาดูเฉยเมยและไร้ซึ่งความเมตตาปรานี น้ำตาจากดวงตาทั้งสองข้างพลันไหลรินเป็นสองสายราวกับธารน้ำใสอย่างไรอย่างนั้น นางพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว

        “ทหาร นำตัวซิ่งหลิวหลีไปเข้าคุกและส่งมอบให้ศาลต้าหลี่จัดการ เคลื่อนขบวนกลับวัง! ” ฮ่องเต้รีบรับสั่งให้นำตัวซิ่งหลิวหลีเข้าคุก และวางแผนกลับวังหลวงทันที พระองค์ไม่ปรารถนาอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว

        ทันใดนั้นกลุ่มคนก็ลุกขึ้นด้วยพลังอันยิ่งใหญ่

        เดิมทีคิดว่าเรื่องในวันนี้จะจบลงตรงนี้แล้ว ทว่าผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นอีก

        เมื่อซิ่งหลิวหลีถูกควบคุมตัวเดินผ่านด้านข้างของซูจ้ง ซูจ้งที่มองไปยังใบหน้าของซิ่งหลิวหลี ทันใดนั้นก็หรี่ตาลงและตะโกนว่า “ฝ่าบาท ซิ่งหลิวหลีผู้นี้มีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ”

        ฮ่องเต้ที่กำลังจะขึ้นเกี้ยวพระที่นั่งพลันหยุดชะงักและมองย้อนกลับไปที่ซูจ้งอย่างไม่เข้าใจ

        “ฝ่าบาท ใบหน้าของซิ่งหลิวหลีน่าจะเป็นของปลอมพ่ะย่ะค่ะ นางสวมหน้ากากหนังมนุษย์”

        หน้ากากหนังมนุษย์?

        สีหน้าของซูจิ่นซีก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน

        ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้ซูจิ่นซีจะรู้สึกว่าคุ้นเคยกับซิ่งหลิวหลีผู้นี้ นางเคยสงสัยว่าซิ่งหลิวหลีจะเป็นคนของสกุลซูหรือไม่ แต่เมื่อได้เห็นใบหน้านี้ก็ต้องปฏิเสธความคิดไป ทว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าซิ่งหลิวหลีจะสวมหน้ากากหนังมนุษย์

        ในเวลานี้ การที่ซูจ้งพบว่าซิ่งหลิวหลีสวมหน้ากากหนังมนุษย์ไว้บนใบหน้า ดูเหมือนจะไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก

        ทว่าฮ่องเต้ยังไม่ทันได้ตรัสอันใด ซูจิ่นซีก็ยังไม่ทันได้คิดถึงการรับมือ ทันใดนั้นซูจ้งก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและจับศีรษะของซิ่งหลิวหลี เกิดเสียง “ฟืด” ซูจ้งฉีกชิ้นส่วนหน้ากากผิวหนังมนุษย์บนใบหน้าของซิ่งหลิวหลีออก

        เหตุใด… เหตุใดจึงเป็นนางไปได้???

        ภายใต้หน้ากากผิวหนังมนุษย์นั้นคือใบหน้าที่คุ้นเคยและคาดไม่ถึง

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset