“เจ้าเจ็ด หากตอนนี้เจ้ายังคิดจะปกป้องนาง เกรงว่าคงไม่เหมาะสมกระมัง? ผู้คนมากมายกำลังมองอยู่นะ! ”
เยี่ยโยวเหยาเข้าไปยุ่งถึงเพียงนั้นเสียที่ใด
“คิดจะนำตัวพระชายาที่รักของข้าไป ท่านเคยถามความยินยอมจากข้าหรือไม่? ”
สายตาเย็นชาที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้ของเยี่ยโยวเหยาค่อยๆ มองไปทางฮ่องเต้อย่างความโกรธเคืองเล็กน้อย
ท่ามกลางสายตาของประชาชนมากมาย ฮ่องเต้ไม่สามารถประทับบนเก้าอี้มังกรได้อย่างสบายพระทัยนัก เนื่องจากถูกเยี่ยโยวเหยามองด้วยสายตาเช่นนั้น พระองค์ขยับลูกกระเดือกแล้วตรัสว่า “เจ้าเจ็ด… เจ้า… เจ้าคิดจะทำสิ่งใด? ”
เยี่ยโยวเหยาไม่มองฮ่องเต้อีกต่อไป เขาใช้วิชาตัวเบากระโดดลงจากลานพระที่นั่ง เตะทหารองครักษ์สองนายที่ยืนอยู่ด้านหลังของซูจิ่นซี และก่อนที่ซูจิ่นซีรวมถึงผู้อื่นจะมีเวลาเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างชัดเจน เยี่ยโยวเหยาก็โอบเข้าที่เอวของซูจิ่นซี ดึงนางให้ถอยหลังด้วยท่วงท่าสง่างามแล้วหยุดยืนนิ่ง “นางเป็นพระชายาที่รักของข้า ลงมือกับนางก็เหมือนลงมือกับข้า”
เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉันไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่?
ดวงตาทั้งสองข้างของซูจิ่นซีเบิกกว้างขึ้นอีกครั้ง แทบจะไม่กล้าเชื่อหูของตนเอง
ใบหน้าที่เย็นชาเหนือธรรมชาติราวกับคมมีดของบุรุษผู้นั้นอยู่เบื้องหน้านาง อยู่ใกล้นางมาก
กระทั่งซูจิ่นซีสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเขา สามารถได้ยินจังหวะการเต้นของหัวใจ และสามารถมองเห็นริมฝีปากที่กระทบกันในทุกประโยคที่เขาเอื้อนเอ่ย
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ความฝัน
กระแสน้ำอุ่นที่แผดเผาไหลรินเป็นสาย ซัดซาดเข้าสู่หัวใจของซูจิ่นซี มันพุ่งพล่านจนทำให้หัวใจของนางเต้นรัวเร็ว ทำอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะควบคุมไว้ได้
ในสายตาที่ประหลาดใจของทุกคน ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาหันไปหาซูจิ่นซีที่กำลังเหม่อลอย
ซูจิ่นซีดูเหมือนเข้าใจสาส์นที่เยี่ยโยวเหยาส่งผ่านมาทางสายตาที่เย็นชานับหมื่นปีคู่นั้น มันทำให้นางรู้สึกโล่งใจ ดังนั้นซูจิ่นซีจึงตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วว่า นางไม่ต้องการคิดสิ่งใดแล้ว และนางขอมอบเรื่องทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ของเยี่ยโยวเหยา
“เจ้าเจ็ด เจ้าอย่าทำเกินไปนัก! ” ฮ่องเต้ตรัสด้วยโทสะ
“แตะต้องนางก็คือแตะต้องข้า! ”
เยี่ยโยวเหยาจงใจยั่วยุอย่างเปิดเผย ไม่แม้แต่จะกล่าวอันใดให้มากความ
ในเวลาเดียวกันกับที่เสียงของเยี่ยโยวเหยาสิ้นสุดลง คนชุดดำจำนวนมากก็ร่อนลงมาราวกับใบไม้ร่วงจากทุกทิศทุกทาง ล้อมรอบลานพระที่นั่งทั้งสี่ทิศ
พวกเขาเป็นคนของเยี่ยโยวเหยา นักฆ่าแห่งวิหารวิญญาณ
แม้ว่าองครักษ์ของฮ่องเต้จะมีจำนวนมาก ทว่าหากเกิดการปะทะต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ คนของฮ่องเต้คงไม่สามารถเปรียบเทียบได้
นอกจากนี้ ข่าวลือที่ว่าโยวอ๋องแห่งจงหนิงเป็นผู้ที่เย็นชาและน่าสะพรึงกลัว อีกทั้งยังอำมหิต หยิ่งพยองนั้น ก็ทำให้ผู้คนที่พอทราบข่าวต่างพากันตกตะลึงพรึงเพริด ยิ่งถ่ายทอดคำเล่าลือนั้นอย่างไม่เกรงใจเลยทีเดียว
หากวันนี้เยี่ยโยวเหยาต้องการพาคนไป ก็ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งเขาได้
เกรงว่าใต้ฟ้าแห่งนี้จะมีเพียงเยี่ยโยวเหยาเท่านั้นที่กล้ายั่วยุอำอาจของฮ่องเต้ได้ ผู้อื่นเพียงคิดก็ยังไม่กล้าแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้และเยี่ยโยวเหยาสบตากันอยู่เนิ่นนาน ทันใดนั้น ฮ่องเต้ก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่โอกาสอันดีที่จะปะทะกับเยี่ยโยวเหยา
เพราะพระองค์ไม่สามารถประเมินได้ว่า แท้จริงแล้วเยี่ยโยวเหยาแข็งแกร่งเพียงใด
ท้ายที่สุด ฮ่องเต้จึงต้องทรงยอมประนีประนอม ละสายพระเนตรออกไป
ฮ่องเต้กระแอมเบาๆ สองทีแล้วตรัสว่า “เจ้าเจ็ดนี่! เหตุใดจึงต้องโกรธถึงเพียงนี้? ข้าเพียงสั่งให้จับคนของสกุลซูเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าให้จับพระชายาโยวอ๋อง! ทหารพวกนี้เข้าใจเจตนาผิดไปแล้ว ทหาร จัดการลากข้ารับใช้ไร้ประโยชน์ทั้งสองคนลงไปตัดหัว”
ฮ่องเต้ตรัสสองประโยคด้วยท่าทีสบาย เป็นเรื่องง่ายดายที่จะผลักความผิดให้กับทหารทั้งสอง
ทันใดนั้นก็มีองครักษ์เข้ามาลากทหารทั้งสองนายที่เข้ามาจับตัวซูจิ่นซีก่อนหน้านี้ ทว่ากลับถูกเยี่ยโยวเหยาเตะจนล้มลงกับพื้น
“โยวเหยา! ”
ฉินเทียนปรากฏตัวขึ้นด้านข้างของเยี่ยโยวเหยา และยื่นกระดาษแผนหนึ่งให้เขา
เยี่ยโยวเหยาเอื้อมมือไปคว้ามา ก่อนจะโยนลงไปที่พระบาทของฮ่องเต้ในทันที
“ข้าขอแนะนำเสด็จพี่ หากหลังจากนี้พระองค์กระทำสิ่งใดก็ควรระมัดระวังรอบคอบเสียหน่อย เพื่อไม่ให้มีการใส่ความคนผิดและทำให้ราชสำนักของข้าต้องเสียหน้า ซูเมิ่งเหยาผู้นี้ไม่ได้เป็นคนของสกุลซูด้วยซ้ำ ทว่าเป็นสายลับของไหวเจียง ซูเมิ่งเหยาตัวจริงตายไปนานแล้ว”
เยี่ยโยวเหยาพูดจบก็ดึงมือของซูจิ่นซีและจากไปในทันที ฝูงชนต่างหลีกทางให้เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีเป็นทางเดียว
ทันใดนั้น ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ตะโกนนำว่า “โยวอ๋องเยี่ยมมาก! โยวอ๋องฉลาดและทรงพลัง”
หลังจากนั้นทุกคนก็พากันส่งเสียงตามขึ้นมา “โยวอ๋องเยี่ยมมาก โยวอ๋องฉลาดและทรงพลัง”
“โยวอ๋องเยี่ยมมาก โยวอ๋องฉลาดและทรงพลัง! ”
“โยวอ๋อง… ”
“โยวอ๋อง… ”
“โยวอ๋อง… ”
……
ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่บนลานพระที่นั่ง ทอดพระเนตรด้านหลังของเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีที่จากไป ฟังเสียงของประชาชนที่ให้กำลังใจโยวอ๋อง พระองค์โกรธจนแทบจะระเบิดออกมาให้ได้
นับตั้งแต่โบราณกาลมา เกรงว่าคงไม่มีฮ่องเต้แม้แต่พระองค์เดียวที่ไม่ได้ความเช่นเขามาก่อน คาดไม่ถึงว่าจะขี้ขลาด ไม่กล้าเผชิญหน้ากับน้องชายตนเอง ทั้งยังต้องยอมก้มศีรษะให้กับน้องชายที่เป็นเพียงท่านอ๋อง
วันนี้ถือว่าพระองค์ได้รับความอับอายทั้งหน้าตาและจิตใจแล้ว
รถม้าของจวนโยวอ๋องจอดอยู่ไม่ไกลจากฝูงชนเท่าไรนัก เมื่อเยี่ยโยวเหยากำลังพาซูจิ่นซีเข้าไปในรถม้า ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็นึกถึงเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นางยืนอยู่บนรถม้าแล้วกล่าวกับฮั่วอวี้เจียวจากในระยะไกลว่า
“คุณหนูฮั่ว อย่าลืมว่าระหว่างเจ้ากับข้ายังมีการเดิมพันกันเล่า! เมื่อเจ้าแพ้พนันก็ต้องทำตามเงื่อนไข! วันนี้ก็สายมากแล้ว ถือว่าช่างมันเถิด! เจ้าคงอารมณ์ไม่ดี ข้าก็จะไม่รบเร้า ทว่าหลังจากนี้อีกสามวัน ในตอนเช้าข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ประตูโรงน้ำชาจุ้ยหง พวกเราจะต้องพบกันแน่นอน! ”
เมื่อพูดจบ ซูจิ่นซีก็ขยิบตาให้ฮั่วอวี้เจียวอย่างมีเสน่ห์ยิ่ง
หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นถึงเพียงนี้แล้ว ผู้คนมากมายในจวนสกุลฮั่วต่างก็เดินบนถนนแห่งความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ฮั่วอวี้เจียวก็ได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ให้ไปบวชที่อารามอวิ๋นเยวี่ย แม้แต่หัวใจของนางตอนนี้ก็ล้วนดับสิ้นแล้ว คิดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะยังเอาเรื่องก่อนหน้านี้มากลั่นแกล้งและบีบบังคับนางอีก
ตอนนี้เท่ากับว่าฮั่วอวี้เจียวไม่เหลือสิ่งใดแล้ว ความปรารถนาในฐานะพระชายาของเยี่ยโยวเหยาก็คงไม่มีวันเป็นจริงเช่นกัน ฮั่วอวี้เจียวไม่กลัวอันใดแล้ว
“ซูจิ่นซี หากเจ้ามีความสามารถก็ฆ่าข้าเสียเลย คิดจะให้ข้า… ให้ข้าถอดเสื้อผ้ายืนอยู่บนสถานที่เช่นนั้นถึงสามวัน เจ้าฝันไปเถิด! เจ้าอย่าได้คิดเพ้อเจ้อ คิดเพ้อเจ้อ คิดเพ้อเจ้อ คิดเพ้อเจ้อ! ”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฮั่วอวี้เจียวที่เหมือนสุนัขบ้าเช่นนี้ ซูจิ่นซีก็ไม่พูดอันใดแม้แต่ประโยคเดียว ทำเพียงยิ้มบางๆ ที่มุมปาก และจับมือของเยี่ยโยวเหยาเข้าไปในรถม้า
สายลมกวนใจที่หน้าประตูเจิ้นเป่ยยิ่งห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ซูจิ่นซีนั่งลงข้างเยี่ยโยวเหยา เพลิดเพลินอยู่กับความเงียบ กอปรด้วยเสียงลมหายใจและจังหวะการเต้นของหัวใจที่ชัดเจนของกันและกัน ก่อให้เกิดความแตกต่างที่สวยงามอย่างน่าอัศจรรย์
ซูจิ่นซีต้องการถามเยี่ยโยวเหยาว่า เมื่อครู่นี้เหตุใดจึงช่วยนาง เหตุใดจึงปกป้องนาง
ทว่าคำพูดเหล่านั้น เมื่อถึงริมปากแล้ว นางกลับรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็น
ซูจิ่นซียังต้องการถามเยี่ยโยวเหยาด้วยว่า เหตุใดเขาถึงมีหลักฐานพิสูจน์ว่าซูเมิ่งเหยาเป็นสายลับของไหวเจียง เขาได้รับข้อมูลนี้ตั้งแต่เมื่อใด เขารู้นานแล้วว่าซิ่งหลิวหลีคือซูเมิ่งเหยาใช่หรือไม่
ทว่านางก็ไม่ได้ถามออกไป
ในเวลานี้ ซูจิ่นซีไม่ต้องการรบกวนบรรยากาศอันสุดแสนวิเศษที่เกิดขึ้นจริง นางปรารถนาให้รถม้าวิ่งช้าลง ช้าลง ช้าลงอีกนิด พวกเขาจะได้นั่งนิ่งๆ เช่นนี้ให้นานขึ้นอีกหน่อย
ทว่าฟ้าไม่เคยทำให้คนสมหวัง!
คิดไม่ถึงว่าเวลานี้ ท้องของซูจิ่นซีจะส่งเสียงร้องดัง “โครกคราก” ขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ ในช่วงเวลาที่เงียบสงัด เสียงท้องดังราวกับเสียงฟ้าร้องก็ไม่ปาน
สวรรค์หนอ… ขายหน้าจะตายอยู่แล้ว ซูจิ่นซียกมือปิดหน้าด้วยความเขินอาย
“อยากทานกระไร? กลับไปจะให้แม่นมฮวาทำให้เจ้า” เยี่ยโยวเหยาถามขึ้น
“เกี๊ยวน้ำ เกี๊ยวน้ำหยวนจี้หอมๆ ร้อนๆ จ้า” เสียงคนขายเกี๊ยวดังสะท้อนขึ้นมาจากนอกหน้าต่าง
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็รู้สึกอยากทานมาก
ก่อนหน้านี้ในภพนั้น ซูจิ่นซีไม่มีทั้งพ่อและแม่ นางเติบโตมากับคุณป้า
ทางเข้าปากซอยบ้านของคุณป้ามีร้านเกี๊ยวน้ำหยวนจี้ตั้งอยู่ ตอนที่ซูจิ่นซีเป็นเด็ก นางอยากทานมาก นางมักจะยืนน้ำลายไหลอยู่หน้าแผงขายของผู้อื่น เพราะนางไม่สามารถขอเงินจากคุณป้าเพื่อนำมาซื้อได้ มีบางครั้งที่เถ้าแก่มองว่านางน่าสงสารจึงยื่นให้นางหนึ่งถ้วย ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปผู้คนก็เริ่มรำคาญ กระทั่งที่ว่าหลังจากเลิกเรียน เมื่อซูจิ่นซีเดินผ่านหน้าร้าน เถ้าแก่ก็จะพ่นคำหยาบคายราวกับนางเป็นขโมยอย่างไรอย่างนั้น
ต่อมาเมื่อนางโตขึ้นและได้เข้าร่วมกับสำนักการแพทย์แห่งชาติ นางได้รับเงินเดือนไม่น้อยเลยทีเดียว นางมีเงินให้ซื้อเกี๊ยวน้ำหยวนจี้จากแผงขายของนั้นได้ในจำนวนมาก ทว่ารสชาติกลับไม่เหมือนเมื่อปีนั้นแล้ว
“เยี่ยโยวเหยาเพคะ มีร้านขายเกี๊ยวน้ำ ท่านต้องการเสวยเกี๊ยวน้ำหรือไม่เพคะ? ”
เยี่ยโยวเหยาตกตะลึงเล็กน้อย ไม่ได้พูดจาอันใดสักพักใหญ่
ความคาดหวังบนใบหน้าของซูจิ่นซีค่อยๆ เลือนหายไปตามความเงียบของเยี่ยโยวเหยา
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็พบว่าตนเองนั้นซื่อบื้อเหลือเกิน
เขาเป็นถึงท่านอ๋อง ทานแต่อาหารอันโอชะ อาหารสามมื้อต่อวันนั้นก็ล้วนมีความพิเศษเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นผู้ที่รักสะอาด จะมาทานอาหารจากแผงข้างถนนเป็นเพื่อนนางได้อย่างไรกัน!