ทว่าซูจิ่นซีคาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะตอบตกลง
“เกี๊ยวน้ำ เกี๊ยวน้ำ เกี๊ยวน้ำร้อนๆ นายท่านทั้งสองรับกระไรดีขอรับ? ”
เถ้าแก่ไม่เคยเห็นคนที่มีฐานะอย่างซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยามากินเกี๊ยวน้ำของเขามาก่อน หลังจากประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง เถ้าแก่ก็รีบหาที่นั่งที่เงียบสงบและสะอาดอย่างรวดเร็ว เขาใช้ผ้าซับเหงื่อที่พาดอยู่บนบ่าเช็ดที่นั่งซ้ำแล้วแล้วซ้ำเล่า จากนั้นจึงเชื้อเชิญเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีให้นั่งลง
“เถ้าแก่ เอาเกี๊ยวน้ำมาสองถ้วย! ” ซูจิ่นซีกล่าวขึ้น
“ได้เลย ท่านทั้งสองโปรดรอสักครู่! ”
ผ่านไปไม่นาน เถ้าแก่ก็ยกเกี๊ยวน้ำสองถ้วยเข้ามาวางบนโต๊ะ ในตอนแรกซูจิ่นซีคิดว่าเยี่ยโยวเหยาคงไม่คุ้นชิน กลับไม่คิดว่าการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขาช่างสอดคล้องกัน ทั้งยังเป็นไปอย่างธรรมชาติมาก เยี่ยโยวเหยาจับช้อนและตักเกี๊ยวชิ้นเล็กเข้าปากทีละคำๆ ด้วยท่วงท่าสง่างาม
เห็นได้ชัดว่าตัวตนของเยี่ยโยวเหยาไม่เหมาะสมกับสถานที่นี้ ทว่าเยี่ยโยวเหยาที่นั่งตรงข้ามกลับไม่มีท่าทีฝืนทนเลยแม้แต่น้อย มันยิ่งเพิ่มภาพลักษณ์ของเขาให้สูงส่งมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ
“ไม่หิว? ”
เยี่ยโยวเหยารู้สึกได้ว่าสายตาของซูจิ่นซีจ้องมองบนใบหน้าของเขาอยู่ตลอดเวลา จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย
“อ่า? เอ่อ… หิวเพคะ! ”
ซูจิ่นซีเหมือนกับลูกแมวที่ถูกจับได้หลังจากขโมยของของผู้อื่นอย่างไรอย่างนั้น นางก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็วแล้วกลืนเกี๊ยวคำโตๆ เข้าปาก โดยไม่ทันระวังว่าเกี๊ยวน้ำที่เพิ่งออกจากหม้อนั้นจะร้อนเพียงใด ซูจิ่นซีจึงถูกเกี๊ยวลวก นางไอออกมาอย่างต่อเนื่อง
“กระทั่งทานอาหารก็ยังโง่ถึงเพียงนี้! ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย เขายืนขึ้น ก้าวไปด้านหลังซูจิ่นซี และตบแผ่นหลังให้นางเบาๆ
ฝ่ามือที่กว้างและหนักนั้นตบลงบนหลังของซูจิ่นซีอย่างต่อเนื่อง ด้วยน้ำหนักที่ไม่มากจนเกินไป ทำให้อาการสำลักของซูจิ่นซีค่อยๆ ดีขึ้น แก้มของซูจิ่นซีพลันเห่อร้อนขึ้นมา
ซูจิ่นซีอดไม่ได้ที่จะหันศีรษะแอบมองไปยังเยี่ยโยวเหยา
นี่คือเยี่ยโยวเหยาผู้สูงศักดิ์ราวกับเทพเซียนที่อาศัยอยู่ในตำหนักฝูอวิ๋นใช่หรือไม่?
ซูจิ่นซีคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงเลยว่า วันหนึ่งนางกับเยี่ยโยวเหยาผู้ที่เย็นชาจะมีโอกาสได้มายืนใกล้กันถึงเพียงนี้
ระหว่างที่ซูจิ่นซีครุ่นคิด เยี่ยโยวเหยาก็กลับไปนั่งที่ตำแหน่งเดิมแล้ว
ซูจิ่นซียังคงหมกมุ่น นางเริ่มทานเกี๊ยวน้ำอีกครั้ง ระหว่างทั้งสองไม่มีการสนทนาใดๆ หัวใจดวงนี้ของซูจิ่นซีเต้นอย่างรุนแรง นางไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยโยวเหยาอีก
ระหว่างความเงียบไร้บทสนทนาของทั้งสองคนนั้น ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังแทรกซึมเข้าสู่หัวใจของกันและกันอย่างเชื่องช้า ทั้งยังมีบางสิ่งที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป
สุดท้าย เกี๊ยวน้ำที่ผู้อื่นใช้เวลาทานเพียงหนึ่งถ้วยชา ทว่าซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยากลับใช้เวลาทานถึงครึ่งชั่วยาม
“เถ้าแก่ คิดเงิน! ”
เมื่อทานเกี๊ยวน้ำเสร็จแล้ว ซูจิ่นซีก็รู้สึกว่าทั่วทั้งร่างกายสดชื่นขึ้นมาก นางตะโกนเสียงดังเรียกเถ้าแก่ให้มาคิดเงิน ทว่าค้นดูทั่วร่างแล้ว กลับพบว่าตนเองไม่ได้พกเงินตำลึงมาแม้แต่สตางค์แดงเดียว
“แขกท่านนี้ มากเกินไปแล้ว! นี่เป็นเพียงร้านค้าขายเล็กๆ ไม่มีเงินทอนหรอก”
ซูจิ่นซีได้ยินเสียงประหลาดใจของเถ้าแก่สะท้อนเข้ามาในหู เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเยี่ยโยวเหยวได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให้กับเถ้าแก่ไปแล้ว
“ไม่ต้องถอน! ”
เยี่ยโยวเหยากล่าวเสียงเรียบและลุกขึ้นเดินออกไป ซูจิ่นซีจึงรีบเร่งตามไปทันที
ก่อนหน้านี้ เถ้าแก่ไม่เคยขายเกี๊ยวน้ำสองชามได้ในราคาสูงถึงเพียงนี้มาก่อน เขายืนถือเงินอยู่ตรงนั้นด้วยความงุนงง หลังจากนั้นไม่นานก็ตะโกนออกมาดังๆ ว่า “ขอบคุณนายท่าน! ” เถ้าแก่ก้มลงกัดเงิน ทดสอบจนมั่นใจว่าเป็นของแท้แล้วจึงยัดเข้าไปในแขนเสื้อ
“คือว่า ขอบพระทัยเพคะ! ” ซูจิ่นซีกล่าวขึ้น
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
“ท่านเลี้ยงเกี๊ยวน้ำหม่อมฉัน รอให้หม่อมฉันมีเงินแล้วจะเลี้ยงท่านคืนนะเพคะ! ”
ในยุคปัจจุบันนั้นซูจิ่นซีมีความเป็นอิสระทางการเงินมาก นางไม่ชอบเป็นหนี้ผู้อื่น โดยเฉพาะกับบุรุษ
“อืม” เยี่ยโยวเหยากล่าวขึ้นแผ่วเบา
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก นางนึกขึ้นได้พอดีว่าสินสอดทองหมั้นที่นำมาจากจวนสกุลซูนั้น นางใช้ไปจวนจะหมดแล้ว เงินรายเดือนที่จวนโยวอ๋องมอบให้ทุกเดือนก็ไม่เพียงพอสำหรับนางที่เคยชินกับการใช้เงินฟุ่มเฟือย ยิ่งไปกว่านั้น การใช้ชีวิตในยุคนี้เมื่อเทียบกับยุคปัจจุบันแล้ว นางต้องต่อสู้กับบิดามากกว่าในยุคปัจจุบันที่ไม่มีบิดาให้ต่อสู้ด้วย ในยุคนั้นนางทำได้เพียงต่อสู้กับสมอง ปัญญา ความกล้าหาญ และเงินทอง
ดังนั้นซูจิ่นซีต้องหาแหล่งทำเงินให้ได้โดยเร็วจึงจะดีที่สุด
โดยไม่คาดคิด เยี่ยโยวเหยาที่ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น เขากล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า “เจ้ายังเป็นหนี้ข้าอยู่อีกห้าร้อยยี่สิบล้านตำลึง จำเอาไว้ว่าต้องคืน”
คิ้วทั้งสองของซูจิ่นซีขมวดเข้าหากัน นางหันไปมองทางเยี่ยโยวเหยาด้วยความจนใจอย่างยิ่ง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ท่านอ๋องอย่าโจมตีผู้อื่นเช่นนี้ได้หรือไม่? อย่าทำให้หมดสนุกเช่นนี้ได้หรือไม่เพคะ?
หรือท่านไม่รู้ว่าการกล่าวถึงหนี้ในตอนที่ผู้อื่นไม่มีเงินเป็นการกระทำที่ไม่ปรานีเท่าใด?
ซูจิ่นซีมิได้พบว่าหลังจากที่เยี่ยโยวเหยาพูดจบ เขาก็จงใจเดินเร็วขึ้นอีกเล็กน้อย จนเดินนำไปด้านหน้าของนางแล้ว ดูเหมือนว่าเวลานี้เยี่ยโยวเหยาสามารถรับรู้ได้ถึงการแสดงออกที่ไร้หนทางของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยายกยิ้มมุมปากอย่างเงียบงัน จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มออกมาอย่างงดงามเหนือสิ่งใด
เยี่ยโยวเหยาลอบหัวเราะภายในใจ
โฮะโฮะโฮ…
ก่อนหน้าที่จะลงจากรถม้ามากินเกี๊ยวน้ำ เยี่ยโยวเหยาได้สั่งให้คนขับรถม้ากลับไปก่อนแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีรถ พวกเขาทำได้เพียงเดินกลับไปเท่านั้น
ระหว่างทางซูจิ่นซีพบว่าวันนี้เป็นการเฉลิมฉลองเทศกาลฉงหยาง [1] ทุกครอบครัวจะเสียบใบจูอวี๋ไว้ที่ประตู สตรีบางคนก็ทัดไว้บนศีรษะ ผู้ที่มีฐานะดีหน่อยก็จะแขวนโคมไฟไว้หน้าประตู บรรยากาศน่ารื่นเริงเป็นอย่างยิ่ง
ที่แท้วันเกิดของเจ้าของร่างเดิมก็ตรงกับเทศกาลฉงหยางนี่เอง!
เทศกาลฉงหยางเป็นวันมหามงคล ว่ากันว่าผู้ที่เกิดในวันนี้จะมีดวงชะตาที่แข็งแกร่งมาก เนื่องจากคำพ้องเสียงคือ ‘ยาวนาน’ ดังนั้นจึงมีอายุยืนยาว [2]
ทว่าดูเหมือนจะไม่ค่อยส่งผลกับเจ้าของร่างเดิมเท่าไร!
ซูจิ่นซีกำลังคิดเรื่องนี้กับตนเอง ทันใดนั้นก็มีหญิงชราหลังค่อม ใบหน้าเหี่ยวย่นผู้หนึ่งที่ดูมีอายุมาครึ่งร้อยปีแล้ว นางเดินมาที่ด้านหน้าของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาพร้อมกับยกถาดที่เต็มไปด้วยใบจูอวี๋มาให้
“คุณชายท่านนี้ ซื้อใบจูอวี๋ให้กับภรรยาของท่านสักก้านเถิดเจ้าค่ะ! มันจะอวยพรให้พวกท่านมีชีวิตที่สงบปลอดภัยและราบรื่นนะเจ้าคะ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วแผ่วเบา ทว่าไม่ได้ขยับตัว
ซูจิ่นซีรีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านยาย ไม่เป็นไร ขอบคุณท่านมาก! ”
พูดจบก็รีบกล่าวกับเยี่ยโยวเหยาว่า “ไปกันเถิดเพคะ! ข้าไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอกเพคะ”
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเพียงธรรมเนียมของการฉลองเทศกาลเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับความเชื่อไม่ใช่หรือ?
เพียงแต่ว่าซูจิ่นซีไม่มีเงินและนางก็ไม่ต้องการเป็นหนี้เยี่ยโยวเหยามากไปกว่านี้
“ซื้อสักก้านเถิดเจ้าค่ะ คุณชาย ภรรยาท่านงดงามถึงเพียงนี้ ทัดก้านจูอวี๋จะทำให้งดงามยิ่งขึ้นไปอีกนะเจ้าคะ”
“ท่านยาย ไม่เป็นไรจริงๆ เจ้าค่ะ! ” ซูจิ่นซียิ้มอย่างสดใสให้กับหญิงชรา
ทว่าในนาทีต่อมา ซูจิ่นซีก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง ทำได้เพียงยืนงงอยู่กับที่ กระทั่งดวงตาล้วนไม่กล้าแม้แต่จะสบมอง
เยี่ยโยวเหยาหยิบก้านจูอวี๋ขึ้นมาจากถาดของหญิงชราแล้วทัดลงบนผมของซูจิ่นซี
ที่แท้เมื่อครู่นี้ เยี่ยโยวเหยาใช่ว่าจะไม่เข้าใจในอารมณ์หรือความรู้สึกของมนุษย์ ทั้งยังใช่ว่าจะไม่เข้าใจความหมายของนาง ทว่าเขากำลังมองไปบนถาดของหญิงชราและตั้งใจเลือกก้านจูอวี๋ที่เหมาะกับซูจิ่นซี
เยี่ยโยวเหยาควักเงินจำนวนหนึ่งให้กับหญิงชรา
เช่นเดียวกับเถ้าแก่ร้านเกี๊ยวน้ำ เมื่อหญิงชราผู้นั้นบอกว่าไม่มีเศษเงินทอนให้ เยี่ยโยวเหยาก็กล่าวอย่างใจกว้างว่าไม่ต้องทอน
เมื่อมองไปที่แผ่นหลังกว้างของเยี่ยโยวเหยาที่เดินอยู่ด้านหน้า ภายในใจของซูจิ่นซีก็เกิดความรู้สึกทั้งเป็นสุขทั้งหนักอึ้ง
ไม่ต้องพูดจาอันใดให้มากความ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่นางต้องดีใจอย่างแน่นอน รู้สึกราวกับหญิงสาวยุคใหม่ที่หาแฟนหนุ่มที่มีน้ำใจและสามารถใช้เงินเดินซื้อของให้นางอย่างใจกว้างได้อย่างไรอย่างนั้น
ส่วนที่รู้สึกหนักอึ้งก็เป็นเพราะว่า ระหว่างนางกับเยี่ยโยวเหยามีหนี้เพิ่มขึ้นอีกแล้ว!
นี่นางจะต้องรอไปจนปีลิงเดือนม้า [3] หรืออย่างไร?
“ซูจิ่นซี ยังไม่มาอีก? ”
เยี่ยโยวเหยารู้สึกได้ว่าซูจิ่นซียังคงยืนอยู่ที่เดิมจึงหันกลับมาเรียกนาง
“ไป ไปแล้วเพคะ! จะไปเดี๋ยวนี้เพคะ! ”
ซูจิ่นซีส่งเสียงตอบรับ แล้วรีบเดินตามไป
“เงินนี้ไม่ต้องคืน” เยี่ยโยวเหยาดูเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของซูจิ่นซี
“โอ้! ”
ซูจิ่นซีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย รู้สึกเบิกบานในหัวใจ
หากไม่ต้องคืน นั่นก็หมายความว่าเขาตั้งใจมอบให้นางน่ะสิ?
ซูจิ่นซีมองไปยังกำไลปี่อั้นบนข้อมือขวาของตนเองอย่างเริงรื่น นี่ก็เป็นสิ่งที่เยี่ยโยวเหยามอบให้นาง!
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็วิ่งสองก้าวไล่ตามไปด้านหน้าของเยี่ยโยวเหยา นางเอ่ยถามด้วยแก้มที่แดงระเรื่อว่า “เยี่ยโยวเหยาเพคะ เหตุใดท่านจึงมอบกำไลข้อมือปี่อั้นและจูอวี๋ให้กับหม่อมฉัน ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังปฏิบัติกับหม่อมฉันอย่างเป็นพิเศษถึงเพียงนี้? เยี่ยโยวเหยา ท่านชอบหม่อมฉันเข้าแล้วใช่หรือไม่เพคะ? ”
……