ห้องโถงด้านหน้ามีทั้งหมดสิบสี่คน ได้แก่ ฮั่วซื่อ ซูเซียนฮุ่ย ซูจวิ้น และผู้ที่กล่าวเมื่อครู่อย่างอนุหลิ่ว อีกทั้งยังมีอนุอีกสี่นางและเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ อีกหนึ่งคน แม่นมอีกสองคน สาวใช้สองคน และบ่าวรับใช้อีกหนึ่งคน
ในบรรดาพวกเขา อนุหลิ่วและอนุอีกสองนางได้ช่วยกล่าวแทนซูจิ่นซี ซูเซียนฮุ่ยยังคงโต้เถียงกับอนุหลิ่วอยู่ตลอดเวลา ส่วนฮั่วซื่อกลับไม่พูดจา ทั้งยังมีอนุอีกสองนางที่ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ
ซูจิ่นซีรู้สึกว่าใกล้ถึงเวลาแล้วจึงเดินเข้าไป
ทันใดนั้นอนุหลิ่วก็เงียบเสียงลง หยุดพูดในทันที
ซูเซียนฮุ่ยมีท่าทีเย่อหยิ่ง นางมองไปทางซูจิ่นซีที่เดินเข้ามา “ซูจิ่นซี เกิดกระไรขึ้นกับเจ้ากันแน่? บอกให้พวกเรามารออยู่ที่นี่ ทว่าพวกเรารอถึงสองชั่วยามเต็มแล้ว ส่งคนไปเร่งเจ้า เจ้าก็ไม่สนใจ เจ้าล้อเล่นกับพวกเราหรือ? ”
ถึงอย่างไรซูเซียนฮุ่ยก็ยังคงเด็กอยู่ ความคิดไม่ลึกซึ้งเท่ากับฮั่วซื่อ ท่าทางที่แสร้งทำเป็นคนดีมาหนึ่งวันคงเสแสร้งต่อไปไม่ไหวแล้ว
ฮั่วซื่อเบิกตากว้าง ใบหน้าจ้องไปที่ซูเซียนฮุ่ยอย่างเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ [1] “เซียนเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท ออกไป! ”
“ท่านแม่…”
ซูเซียนฮุ่ยทำหน้ามุ่ย ไม่ยอมทำตาม
“ออกไป! ”
ฮั่วซื่อถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรซูเซียนฮุ่ยไม่เคยเห็นมารดาแท้ๆ ดุนางเหมือนในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ กอปรกับที่เมื่อวานนางได้เห็นมารดาอบรมน้องชายต่อหน้าธารกำนัล จึงไม่กล้ากระด้างกระเดื่องกับฮั่วซื่อ ดังนั้นซูเซียนฮุ่ยจึงทำได้เพียงถอยออกไปอย่างไม่เต็มใจ
“จิ่นซี เจ้ามาแล้วหรือ? ”
ฮั่วซื่อยิ้มร่าให้ซูจิ่นซี พลางเอ่ยให้ซูจิ่นซีมานั่งด้านข้างตนเอง “เข้ามานั่งเถิด! ”
ซูจิ่นซีนั่งลง สายตาชำเลืองมองไปยังใบหน้าของแต่ละคน
เมื่อครู่ซูจิ่นซีไม่ได้ปรากฏตัวออกมาก็เพื่อที่จะได้ฟังว่าประโยคที่นางพูดเมื่อวานนั้นมีเหตุจูงใจมากน้อยเพียงใด มีกี่คนที่ไม่พอใจต่อฮั่วซื่อ ผู้คนที่จงเกลียดจงชังฮั่วซื่อมีการเคลื่อนไหวกี่คน
ในบรรดาไม่กี่คน มีสามคนที่ได้ยินคำพูดของซูจิ่นซีอย่างชัดเจน
ในนั้นมีอนุสองนางที่เห็นสายตาของซูจิ่นซีมองมา ดวงตาของพวกนางเต็มไปด้วยความคาดหวัง กระตือรือร้นที่จะแสดงความรู้สึกของตนเองกับซูจิ่นซี
ทว่าความทะเยอทะยานของอนุหลิ่วนั้นสูงมาก คิ้วเข้มและตาโตคู่หนึ่งจับจ้องอยู่บนกระจกบานเล็กในมือเสมอ ไม่ชำเลืองมองมาทางซูจิ่นซีด้วยซ้ำ
ทว่าซูจิ่นซีกลับรู้สึกว่าในหมู่คนเหล่านี้ นอกจากฮั่วซื่อแล้ว อนุหลิ่วเป็นผู้ที่ร้ายกาจที่สุด
ไม่ใกล้ชิดกับผู้อื่นมากเกินไป และไม่เปิดเผยความรู้สึกของตนเองให้เห็นมากนัก ดูเหมือนยโสโอหังทว่ากลับคาดเดาไม่ได้
อนุอีกสองนางนิ่งเงียบไม่พูดจาและไม่แสดงความคิดเห็นเช่นกัน ไม่รู้ว่ากำลังคิดหาหนทางใดอยู่
“จิ่นซี! วันนี้เจ้าให้ทุกคนมาเพราะมีเรื่องสำคัญอันใดหรือ? ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างแผ่วเบา “ท่านแม่อย่ารีบร้อน รอประเดี๋ยวท่านก็จะได้ทราบแล้ว”
ขณะที่กล่าว ซูจิ่นซีก็ขยิบตาไปทางฮั่วซื่ออย่างรวดเร็ว
“อ้อ หรือว่ายังต้องรอผู้ใดอีกหรือไม่? ”
ฮั่วซื่อยิ้มถาม
ซูจิ่นซีสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความไม่สบายใจภายใต้แววตาของฮั่วซื่อ นางไม่ได้ตอบคำถามของฮั่วซื่อแต่อย่างใด
ซูจิ่นซีจิบน้ำชาอย่างใจเย็น “ขอถามว่าอนุปี้คือผู้ใดหรือ? ”
“พระชายาเพคะ อนุปี้คือข้าน้อยเองเพคะ”
ในฝูงชนมีสตรีสวมชุดสีมรกตนางหนึ่งก้าวออกมา
ผมถูกรวบขึ้นไปทางด้านหลังศีรษะอย่างราบเรียบเป็นมวยสวยงาม ปักปิ่นเรียบง่าย มองแล้วอายุเพียงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น ไม่หวือหวาจนเกินไปและไม่เรียบง่ายจนเกินไป ทำให้คนมองรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง
เพียงแวบแรกก็มองออกว่านางเป็นสตรีประเภทที่มีความรู้ อ่อนโยน และมีคุณธรรมมาก
ด้านข้างของนางคือเด็กผู้ชายอายุเจ็ดแปดขวบ สวมเสื้อผ้าเรียบหรูสง่างาม ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาช่างเหมือนกับอนุปี้ที่เรียบง่ายอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งไปกว่านั้นดวงตากลมโตก็ดูมีความฉลาดและมีมารยาท
นี่คงเป็นซูอวี้ บุตรชายของอนุปี้
ไม่แปลกใจที่จะเลือกแม่ลูกคู่นี้ให้หนุนหลังนาง ดูเหมือนว่าสายตาของซูจ้งยังไม่แย่เท่าใดนัก อนุปี้กับบุตรชายของนาง เมื่อเทียบกับฮั่วซื่อแม่ลูกแล้วนั้น ยังอยู่ห่างออกไปหลายช่วงถนนเลยทีเดียว
“จิ่นซี? ”
เมื่อฮั่วซื่อเห็นว่าซูจิ่นซีจ้องมองอนุปี้แม่ลูกตลอดเวลา โดยไม่ได้พูดจาอันใด จึงเรียกสติซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีดึงสายตากลับมาอย่างสงบเยือกเย็น นางจิบชาและกล่าวกับอนุปี้ว่า “นั่งลงเถิด! ”
อนุปี้ทำความเคารพอย่างสง่างามต่อหน้าซูจิ่นซี หลังจากนั้นจึงนั่งลง
“ท่านแม่และอนุทุกท่าน เนื่องจากจิ่นซีมีเรื่องเล็กน้อยที่ต้องจัดการในจวนโยวอ๋อง ดังนั้นจึงล่าช้าไปบ้าง ทำให้ทุกท่านต้องรอเป็นเวลานาน ขออภัยด้วย อย่างไรก็ตามวันนี้ที่เรียกทุกท่านมาพบกันที่นี่ตั้งแต่รุ่งเช้านั้น แท้จริงแล้วมีเรื่องที่สำคัญมากต้องประกาศให้ทราบ”
“มีเรื่องสำคัญต้องประกาศหรือ? ”
“เรื่องใดกัน? ”
“พระชายา ท่านจะประกาศเรื่องอันใดกันเพคะ? ”
ทุกคนต่างอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น แม้แต่อนุหลิ่วที่ดูเหมือนไม่สนใจมาโดยตลอดก็ยังเหลือบมองไปยังซูจิ่นซีอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา หลังจากกระตุ้นความอยากรู้ของทุกคนแล้วจึงเหลือบมองไปยังแม่นมฮวา
แม่นมฮวารับรู้เจตนาจากท่าทางของซูจิ่นซี จึงหยิบป้ายคำสั่งเสียของบรรพษุรุษสกุลซูออกจากแขนเสื้อ
ทันใดนั้นผู้คนก็ต่างยืนขึ้นด้วยความตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง ไม่พูดจาอันใดเป็นเวลานาน
ก่อนหน้านี้ที่อนุทั้งสองแสดงความปราถนาดีต่อซูจิ่นซีนั้น บัดนี้พวกนางต่างยกยิ้มอย่างมีความสุข
อนุหลิ่วนั่งบนเก้าอี้ราวกับไม่ได้ให้ความสนใจ
แม้แต่อนุปี้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าปฏิกิริยาตอบกลับไม่ใหญ่โตเท่ากับผู้อื่น นางนั่งบนเก้าอี้อย่างสงบ
ในใจของซูจิ่นซีรู้สึกพอใจอนุปี้เป็นอย่างยิ่ง
ส่วนปฏิกิริยาของฮั่วซื่อนั้น แน่นอนว่าซูจิ่นซีไม่ปล่อยผ่านไปอย่างแน่นอน
ในคราแรก ฮั่วซื่อมีท่าทีประหลาดใจมากเหมือนกับทุกคน ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน นางก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้ด้วยมือทั้งสองที่กำแน่น “จิ่นซี นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ”
หลังจากซูจ้งถูกจับตัวเข้าคุก ป้ายคำสั่งของบรรพบุรุษสกุลซูนั้น ฮั่วซื่อแทบจะพลิกจวนหาทว่าสุดท้ายก็ไม่พบ เดิมทีนางคิดว่าป้ายคำสั่งนี้ไม่อยู่แล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าจะตกไปอยู่ในมือของซูจิ่นซี
ไม่เพียงแต่อยู่ในมือของซูจิ่นซีเท่านั้น ตอนนี้ซูจิ่นซียังนำป้ายคำสั่งนี้ออกมาเปิดเผยต่อหน้าทุกคน นี่นางหมายความว่าอย่างไรกัน?
ที่นางกลับจวนมาเพราะต้องการต่อสู้เพื่อทรัพย์สินของสกุลซูเช่นนั้นหรือ?
ซูจิ่นซีมองไปยังใบหน้าของฮั่วซื่อที่พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ ทว่านางไม่สามารถซ่อนเจตนาร้ายได้ ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา
“ท่านแม่ ท่านกล่าวถึงข้า หมายความว่าอย่างไรกัน? ผู้ใดก็ตามที่มีป้ายคำสั่งตระกูลอยู่ในมือ ผู้นั้นล้วนมีสิทธิ์ดูแลสกุลซู นี่เป็นกฎของบรรพบุรุษสกุลซู ท่านแม่ไม่ทราบหรือ? “
ฮั่วซื่อยกยิ้มมุมปากอย่างฝืนใจ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปในทันที นางไม่สามารถแสร้งทำเป็นยิ้มได้อีกต่อไป “จิ่นซี นี่เจ้ากำลังล้อแม่เล่นใช่หรือไม่? เจ้าคน… ”
ประโยคสุดท้ายของฮั่วซื่อยังกล่าวไม่ทันจบ ทันใดนั้นซูจวิ้นก็ยืนขึ้นและชี้ไปยังซูจิ่นซี กล่าวว่า “ซูจิ่นซี เจ้าไร้ยางอายหรือ? ไม่ต้องกล่าวว่าเจ้าเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังแต่งออกไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะกลับจวนเพื่อแก่งแย่งช่วงชิงทรัพย์สินของสกุลกับข้า จวนโยวอ๋องยากจนถึงขั้นนี้แล้วหรืออย่างไรกัน? ”
มุมปากของซูจิ่นซียังคงยกยิ้มอย่างเย็นชา “แข่งขันกับเจ้าเพื่อทรัพย์สินของสกุลอย่างนั้นหรือ? ซูจวิ้น อย่าลืมว่าตอนนี้เจ้าเป็นเพียงบุตรชายอนุ ดูเหมือนว่าท่านพ่อจะไม่ได้ส่งต่อมรดกของสกุลซูไปยังมือของเจ้าใช่หรือไม่? ”
“หึ ข้าเป็นบุตรของอนุ ไม่ช้าก็เร็วมรดกของสกุลซูก็ต้องเป็นของข้า หากท่านพ่อไม่ส่งต่อให้ข้า เป็นไปได้หรือที่จะถ่ายทอดมรดกของสกุลซูให้เจ้าที่เป็นเพียงคนนอกคนหนึ่ง? ”
“เหอะ เช่นนั้นเจ้าคงคิดไปเองกระมัง? ” ซูจิ่นซียิ้มอย่างเย็นชาและรับป้ายคำสั่งมาจากแม่นมฮวา “หากท่านพ่อต้องการส่งต่อมรดกของครอบครัวให้กับเจ้า เช่นนั้น เหตุใดจึงได้มอบป้ายคำสั่งของสกุลซูให้ข้าเล่า? ”
……
เชิงอรรถ
[1] ความเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ หมายถึง ไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่านของผู้ที่ตนหวังไว้