“โอ้… ”
ซูจิ่นซีร้องตะโกนเสียงดังพลางใช้สองมือปิดหน้าอกและรีบวิ่งหนีไปทันที
เสียงร้องดังสะท้อนไปทั่วคฤหาสน์ องครักษ์ที่รักษาการณ์อยู่นอกประตูต่างตกใจ เร่งรุดเข้ามาในทันที
“ท่านอ๋อง เกิดอันใดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ? ”
“ไม่มีอันใด! ” เยี่ยโยวเหยาพูดเสียงเบา
องครักษ์จึงถอยออกไป
เยี่ยโยวเหยาเรียกองครักษ์เงาเข้ามาอีกครั้ง “ไปตรวจสอบที่หุบเขาร้อยบุปผา พระชายาทำป้ายหยกสลักตัวอักษร ‘จง’ หล่นหาย ไปสืบให้ละเอียด”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
“หากรู้ว่าป้ายหยกอยู่ที่ใดก็รีบนำกลับมามอบให้ข้า อย่าให้พระชายาล่วงรู้”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
องครักษ์เงาหายตัวไปในทันที เยี่ยโยวเหยาหันมองไปทางเรือนอาบน้ำของซูจิ่นซี แล้วเดินกลับมานั่งบนตั่งผ้าไหมเพื่ออ่านจดหมายต่อ
ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เยี่ยโยวเหยาที่เคยเป็นคนเงียบขรึมมาตลอด ตอนนี้กลับมีท่าทีหงุดหงิดไม่สบายใจ เขานั่งมองจดหมายอยู่ครู่ใหญ่ ทว่าแม้แต่จดหมายฉบับเดียวก็อ่านไม่จบ อีกทั้งร่างกายยังรู้สึกกระสับกระส่าย
เยี่ยโยวเหยาวางจดหมายในมือ และเดินเปิดประตูออกไปรับลมเย็น
ซูจิ่นซีวิ่งออกมาจากห้องโถงด้านหน้า เนื่องจากเสียงร้องของนางดังมาก ดังนั้นตามทางที่นางวิ่งไปจึงเรียกหญิงรับใช้ให้ตามมาจำนวนไม่น้อย เมื่อซูจิ่นซีมาถึงประตูทางเข้าบ่ออาบน้ำ หญิงรับใช้ทุกคนก็เดินตามมาด้วย
“พระชายา ท่านเป็นอันใดไปเพคะ? ” หญิงรับใช้สอบถามด้วยความเป็นห่วง
“อยู่ตรงนี้ หยุดอยู่ตรงนี้! พวกเจ้าหยุดอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องเข้าไป! ” ซูจิ่นซีหยุดนิ่ง รีบยืนขวางทาง
หญิงรับใช้ทุกคนยิ่งเกิดความสงสัย ทว่าซูจิ่นซีกลับเปิดประตูเข้าไปและปิดประตูดัง ‘ปัง’ ทันที
หญิงรับใช้แต่ละนางต่างยืนตะลึงและมองหน้ากันอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“โอ้ สวรรค์! ”
หลังจากที่ซูจิ่นซีปิดประตูแล้ว นางก็หยิกไปที่แก้มของตนอย่างแรง
ช่างน่าขายหน้า อับอายขายหน้าไปจนถึงบรรพบุรุษ
ซูจิ่นซีก้มลงมองหน้าอกของตนอีกครั้ง นางไม่ได้สวมใส่อาภรณ์ปิดบังจริงๆ เมื่อย้อนนึกถึงสายตาที่เยี่ยโยวเหยามองนางครั้งสุดท้าย นางก็อยากฉีกหน้าของตนเองและขย้ำให้เหมือนผ้าเช็ดหน้า
ไม่มีหน้าจะพบผู้ใดอีกแล้ว!
น่าอับอายขายหน้า!
เห็นไปถึงสัดส่วนภายใน อับอายขายหน้าไม่มีอันใดเหลือแล้ว!
ซูจิ่นซีเดินไปข้างบ่ออาบน้ำ นางไม่คิดจะถอดเสื้อคลุม ทว่ากลับกระโดดลงบ่ออาบน้ำทันที นางดำลงไปในบ่ออาบน้ำ
แย่ที่สุด กลั้นหายใจให้ตายไปเลย!
หญิงรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านนอกรู้สึกว่าภายในไม่มีการเคลื่อนไหว จึงคิดว่าซูจิ่นซีอาจลื่นล้มหรือเกิดเหตุอันใดขึ้น
“พระชายา ท่านเกิดเหตุอันใดเพคะ พระชายา? ”
เมื่อทุกคนไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากซูจิ่นซีจึงร้อนใจเป็นอย่างมาก หัวหน้าหญิงรับใช้แสดงความกังวลใจพลางพูดว่า “รีบไปทูลท่านอ๋อง พระชายาเกิดเรื่องที่บ่ออาบน้ำ! ”
“เจ้าค่ะ”
กราบทูลท่านอ๋องหรือ?
นางกำลังอาบน้ำ! หากเยี่ยโยวเหยาเข้ามา จะไม่แย่ไปกันใหญ่หรอกหรือ? ซูจิ่นซีรีบขึ้นจากน้ำและตะโกนออกไปทางด้านนอก “ข้าไม่ได้เป็นอันใด! พวกเจ้าแยกย้ายกันไปเถิด! ข้าอาบน้ำเองได้”
เหล่าหญิงรับใช้คลายกังวล ต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เพคะ พระชายา”
เดิมทีซูจิ่นซีอาบน้ำชำระร่างกายเพียงหนึ่งชั่วยามก็เสร็จแล้ว ทว่าซูจิ่นซีเอาแต่เหม่อลอยอยู่ในบ่อน้ำจนใช้เวลาอาบน้ำไปสามชั่วยามเต็ม
ไม่ใช่เพราะเหตุอื่นใด เป็นเพราะยิ่งนางนึกถึงเรื่องเมื่อคืน ยิ่งรู้สึกอับอายขายหน้า
ตอนที่ซูจิ่นซีเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จและเดินออกจากประตู ก็ใกล้ยามจื่อพอดี
“พระชายาเพคะ ท่านอ๋องกำลังรอท่านอยู่ โปรดตามบ่าวมาทางนี้เพคะ! ” ซูจิ่นซีเพิ่งจะเดินออกจากประตูห้องอาบน้ำ หญิงรับใช้ด้านหน้าประตูก็เอ่ยขึ้น
เยี่ยโยวเหยา?
จนถึงเวลานี้ เขายังไม่นอนอีกหรือ?
สวนกว้างขวางมาก อีกทั้งสิ่งปลูกสร้างแต่ละหลังยังมีลักษณะคล้ายกัน ซูจิ่นซีจึงจดจำเส้นทางได้ไม่แม่นยำนัก หลังจากเดินวนไปวนมาอยู่นาน หญิงรับใช้ก็พาซูจิ่นซีมาหน้าตำหนักหลังหนึ่ง
“พระชายา ท่านอ๋องอยู่ด้านในเพคะ” หญิงรับใช้พูดกับซูจิ่นซีด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็ส่งเสียงไปด้านในตำหนัก “ท่านอ๋อง พระชายามาถึงแล้วเพคะ”
“เข้ามาได้! ” เยี่ยโยวเหยาส่งเสียงเย็นชามาจากในตำหนัก
หญิงรับใช้ผลักประตูเพื่อให้ซูจิ่นซีเดินเข้าไป
ซูจิ่นซียกชายกระโปรงก้าวเข้าไปในตำหนัก หญิงรับใช้จึงปิดประตูด้านหลังนางทันที
ภายในตำหนักมืดมากเนื่องจากไม่ได้จุดตะเกียงไฟ ซูจิ่นซีจึงมองเห็นทางเดินไม่ชัดเจนนัก
บุรุษผู้นี้ คิดจะทำอันใดอีก?
“เยี่ยโยวเหยา? ” ซูจิ่นซีตะโกนเรียก
“…”
“เยี่ยโยวเหยา? ”
“…”
“เยี่ยโยวเหยา? ”
“…”
ให้ตายเถิด ซูจิ่นซีรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย ดึกดื่นทั้งยังมืดมิดเช่นนี้ มันน่าหวาดกลัวมากรู้หรือไม่?
ขณะที่ซูจิ่นซีคิดจะเดินออกจากประตูด้วยท่าทีขุ่นเคือง จู่ๆ ตะเกียงบนโต๊ะทางซ้ายก็ถูกจุดขึ้น เยี่ยโยวเหยาสวมเสื้อคลุมลายเมฆสีดำ เอนกายอยู่บนตั่งผ้าไหมด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ท่านคิดจะทำอันใด? หม่อมฉันร้องเรียกตั้งนาน เหตุใดถึงไม่ตอบกลับ หม่อมฉันคิดว่าท่านจะทำพิเรนทร์อันใดอีก! ” ซูจิ่นซีพูดแกมตำหนิ
“มาทางนี้! ” เยี่ยโยวเหยายื่นมือไปหาซูจิ่นซี นอกจากใบหน้าเคร่งขรึมแล้วก็มองไม่เห็นอารมณ์อื่นใด
ซูจิ่นซียังยืนอยู่ตรงจุดเดิม
“ซูจิ่นซี ยังไม่เข้ามาอีกหรือ! ” เยี่ยโยวเหยาเริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย
ซูจิ่นซีจึงเดินเข้าไปหา
เมื่อเดินมาถึงตั่งผ้าไหม เยี่ยโยวเหยาก็คว้ามือของนางไว้ และฉุดกระชาก ซูจิ่นซีร้องอุทานเสียงแหลม นางถูกเยี่ยโยวเหยาโอบรัดจนแน่น
“เยี่ยโยวเหยา ท่านคิดจะทำอันใด? ”
เยี่ยโยวเหยาหรี่ตาทั้งสองข้างลง เขายกนิ้วประคองปลายคางของซูจิ่นซีและพูดว่า “ชายาที่รัก เจ้าสมรสกับข้ามาก็นานแล้ว ดูเหมือนจะยังไม่เคยปรนนิบัติข้าเป็นการส่วนตัวเลยใช่หรือไม่? ”
ปรน… ปรนนิบัติเป็นการส่วนตัวหรือ?
ซูจิ่นซีคิดออกอย่างฉับไว นางรีบพูดขึ้นว่า “เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉันเคยพูดแล้วว่า เรื่องราวระหว่างบุรุษกับอิสตรีต้องเกิดจากความรักของคนทั้งสอง ระหว่างเราสองคน… ”
ซูจิ่นซียังไม่ทันพูดจบประโยค เยี่ยโยวเหยาก็ผละจากการโอบกอดซูจิ่นซี และอุ้มนางเดินไปทางเตียงนอน
ดวงตาทั้งสองของซูจิ่นซีพลันเบิกโพลง นางดิ้นรนสุดชีวิต “เยี่ยโยวเหยา ท่านฟังไม่เข้าใจหรือ? ความรู้สึกระหว่างเราทั้งสองแตกต่างกัน ท่านฟังข้าอธิบาย… ”
“เงียบ! ” เยี่ยโยวเหยาพูดเสียงเย็นชา
ซูจิ่นซีเจ้าคนไม่ได้ความ นางเงียบไปจริงๆ
ดวงตากลมโตงดงามเบิกกว้างดั่งผลองุ่น นางมองใบหน้าหล่อเหลาคมคายของเยี่ยโยวเหยา
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีก็เม้มริมฝีปากพลางพูดด้วยท่าทีเขินอาย “เยี่ยโยวเหยา… ความจริง… ความจริง เห็นแก่รูปโฉมที่หล่อเหลาของท่าน เช่นนี้ดีหรือไม่! อย่างไรเราทั้งสองก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว ส่วนเรื่องความรู้สึกที่มีต่อกัน ตอนนี้ยังไม่มีก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ บ่มเพาะไปด้วยกัน ดีหรือไม่? ”
ระหว่างที่ซูจิ่นซีกำลังพูด เยี่ยโยวเหยาก็อุ้มนางมาที่เตียงนอนเรียบร้อยแล้ว
ซูจิ่นซีกำลังรอคอย คอยฟังคำตอบของเยี่ยโยวเหยา ทว่านางไม่ได้ยินคำตอบของเยี่ยโยวเหยาแต่อย่างใด
ซูจิ่นซีอดหันหลังไปมองเยี่ยโยวเหยาไม่ได้ นางเห็นเพียงเยี่ยโยวเหยากำลังเปลื้องผ้าด้วยท่าทีสง่างาม เสื้อคลุมถูกถอดออกแล้วเหลือเพียงเสื้อชั้นใน หัวใจของซูจิ่นซีเต้นระทึกจนแทบทะลักออกมา นางหันหน้าไปทางอื่นและหลับตาด้วยความเขินอาย
ผ่านไปครู่ใหญ่ ซูจิ่นซีรู้สึกว่าเยี่ยโยวเหยาขึ้นมาบนเตียงแล้ว อีกทั้งเส้นผมของเขายังปลิวไสวผ่านแก้มของนาง หัวใจของนางเต้นไม่เป็นจังหวะ แก้มร้อนผ่าวเหมือนถูกอังกับไฟ นางหายใจถี่จนแทบจะหายใจไม่ออก
ขณะที่เยี่ยโยวเหยาโอบเอวของนางไว้แน่น ร่างกายของนางพลันแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้
“เยี่ย… เยี่ยโยวเหยา” ซูจิ่นซีอดพูดเสียงสั่นเครือไม่ได้