สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 223 ผลสะท้อนกลับของหมุดกร่อนรัก

“แม่นมฮวา! ” ซูจิ่นซีพูดเสียงต่ำแกมตำหนิ แม่นมฮวาจึงปิดปากแต่โดยดี

“ท่านอ๋อง หม่อมฉันอยู่ที่นี่สบายดี ยัง… ยังไม่ต้องย้ายไปตำหนักฝูอวิ๋นเพคะ” ซูจิ่นซีพูด

“แล้วแต่เจ้าเถิด! ต้องการอันใดก็บอกแม่นมฮวากับพ่อบ้าน”

“เพคะ! ”

“ท่านอ๋อง หม่อมฉันยังมีเรื่องจะพูดกับท่าน”

“เรื่องอันใด? ” เยี่ยโยวเหยาหันกลับมา

ซูจิ่นซีชำเลืองมองแม่นมฮวา แม่นมฮวาเข้าใจและถอยออกไปทันที

เยี่ยโยวเหยาเดินกลับมาอีกครั้ง

ซูจิ่นซีนำเรื่องที่ฮั่วซืออวี่ตรวจพบเบาะแสว่าการวางยาพิษในค่ายทหารมีส่วนเกี่ยวข้องกับจวนซู ทั้งยังบอกสิ่งที่พบในเรือนอนุซุน และบอกถึงแผนรับมือของนางกับเยี่ยโยวเหยาไปรอบหนึ่ง

ในคราแรก เยี่ยโยวเหยาไม่เห็นด้วยกับวิธีของซูจิ่นซี เขารู้สึกว่ามันอันตรายเกินไป ทว่าซูจิ่นซีได้โน้มน้าวไปหลายครั้ง เยี่ยโยวเหยาจึงตอบตกลง

“ระมัดระวังหน่อย เช้าวันพรุ่งนี้ข้าจะให้ฉินเทียนพาคนติดตามเจ้าไปด้วยตนเอง”

“เพคะ! ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังคนมาก แค่มีฝีมือก็พอแล้ว”

ทหารไม่ต้องเยอะ ทว่าต้องฝีมือดี

“ได้! ”

เยี่ยโยวเหยาพูดคุยกับซูจิ่นซีอยู่ครู่หนึ่ง

“พิษอั้นหรานเซียวหุนมีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง? ”

แม้ช่วงนี้ซูจิ่นซีจะยุ่งอยู่ตลอด ทว่านางก็ไม่ลืมเรื่องที่เยี่ยโยวเหยาไหว้วาน หากมีเวลานางจะทำให้ดีขึ้น

“ยังไม่มีอันใดคืบหน้าเพคะ! ”

“ค่อยๆ ทำ! ไม่ต้องรีบร้อน! ”

“เพคะ! ” เสียงเตาไฟปะทุดังเป๊าะแป๊ะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการเพิ่มถ่านไฟ หรือเพราะซูจิ่นซีไม่เคยพูดคุยกับเยี่ยโยวเหยาเช่นนี้มาก่อน จึงรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง นางรู้สึกว่าในห้องร้อนผ่าว

“ระยะนี้อาการพระวรกายหลั่งโลหิตของท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างเพคะ? เหมือนว่าไม่มีอาการกำเริบมานานแล้ว” ซูจิ่นซีถาม

ใช่ เป็นเวลานานมากแล้วที่ไม่มีอาการกำเริบ

ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อก่อนเยี่ยโยวเหยามีอาการกำเริบบ่อยครั้ง เขาได้รับความทรมานอย่างมากจากพิษดูดเลือด ทว่าหลังจากที่เขาดูดเลือดซูจิ่นซีไปสองสามครั้ง อาการกำเริบก็ลดน้อยลง

“ให้หม่อมฉันตรวจท่านอ๋องอีกครั้งนะเพคะ! บางทีอาจมีอันตรายอื่นแฝงอยู่”

“ดี! ”

เยี่ยโยวเหยายื่นข้อมือด้านขวาให้ซูจิ่นซี

ซูจิ่นซีจับชีพจรและเปิดระบบถอนพิษเพื่อตรวจอย่างละเอียดไปพร้อมๆ กัน

พิษดูดเลือดในร่างกายของเยี่ยโยวเหยาไม่มีความผิดปกติอันใด มันยังคงเหมือนเดิม แม้ระบบถอนพิษจะตรวจพบพิษ ทว่าไม่สามารถวิเคราะห์ในขั้นต่อไปได้ ยิ่งไม่สามารถบอกวิธีการถอนพิษ

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะระบบถอนพิษในปัจจุบันยังอยู่ระดับต่ำ

มีวิธีการใดที่ทำให้ระบบถอนพิษสามารถเพิ่มระดับขึ้นได้อีกครั้งนะ?

ความจริงแล้ว ซูจิ่นซีเองก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พิษดูดเลือดในร่างกายของเยี่ยโยวเหยากำลังรอการถอนพิษ ปริศนาของพิษอั้นหรานเซียวหุนก็รอการเปิดเผย นางร้อนใจมากจริงๆ

“เป็นเช่นไร? ”

เยี่ยโยวเหยาเห็นซูจิ่นซีมีแววตาหนักใจ ผ่านไปครู่ใหญ่นางยังไม่ได้พูดอันใด จึงถามอย่างแผ่วเบา

“ยังคงต้องรอเพคะ” ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว

นอกจากระบบถอนพิษจะตรวจพบพิษดูดเลือดในร่างกายของเยี่ยโยวเหยาแล้ว การตรวจชีพจรของซูจิ่นซียังพบว่า ชีพจรของเยี่ยโยวเหยามีความผิดปกติเล็กน้อย

“ช่วงนี้ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บอันใดมาบ้างหรือไม่? ”

“ไม่มี! ”

ไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด?

ซูจิ่นซีรู้สึกสับสน ในเมื่อไม่ได้รับบาดเจ็บ เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าชีพจรของเยี่ยโยวเหยาราวกับได้รับบาดเจ็บภายใน

ชีพจรดูอ่อนแออยู่บ้าง ทั้งยังสูญเสียความสมดุลของหยินหยาง

“ยื่นมือซ้ายของท่านให้หม่อมฉันดู”

เยี่ยโยวเหยาหยุดชะงักไปชั่วขณะ เขาไม่ได้ยื่นมือซ้ายออกมา

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ยังต้องตรวจชีพจรมือซ้ายของท่านอีกครั้ง! ”

เยี่ยโยวเหยาจึงเปลี่ยนเป็นมือด้านซ้าย ทว่าเขากำมือไว้ตลอด ไม่ได้แบมือออก

ซูจิ่นซีตรวจอยู่นาน แววตาของนางขึงขัง “ไม่ใช่! ท่านอ๋องต้องได้รับบาดเจ็บแน่นอน ทั้งยังได้รับบาดเจ็บมาสองถึงสามเดือนแล้ว ชีพจรของท่านสับสน ทั้งหนักและยาว ชัดเจนว่าท่านบาดเจ็บที่อวัยวะภายใน เหตุใดจึงร้ายแรงเช่นนี้? ”

เยี่ยโยวเหยาถอนมือออกมาอย่างเงียบงัน เขาเก็บฝ่ามือไว้ในแขนเสื้อ

“เมื่อก่อนข้าต้องต่อสู้ในสนามรบ ร่างกายย่อมมีบาดแผลเก่า ช่วงนี้อากาศหนาว ยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้บาดแผลเก่ากำเริบได้ ข้าเป็นเช่นนี้ทุกปีจนชินแล้ว”

“แผลเก่า? ดูไม่เหมือนเลย! ” ซูจิ่นซีสับสนอย่างมาก

ทว่าเยี่ยโยวเหยาเลี่ยงไม่ให้ซูจิ่นซีพูดต่อ เขาหันหลังคิดจะเดินหนีไป “พอเถิด นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้ารีบพักผ่อนเถิด หากข้าต้องทานยา เจ้าก็เขียนใบสั่งยามอบให้พ่อบ้าน ให้เขาไปจัดเตรียมยา”

“เพคะ! ”

ซูจิ่นซีมองเยี่ยโยวเหยาเดินจากไป นางยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้น

หรือนางจะตรวจชีพจรผิด?

ไม่น่าเป็นไปได้!

แม้นางจะเป็นหมอพิษ ไม่มีทักษะวิชาแพทย์มากนัก ทว่าการแพทย์พื้นฐานของจีน เช่น การดู การดมกลิ่น การสอบถาม และการจับชีพจร รวมถึงด้านต่างๆ ของแพทย์แผนจีนนั้น นางก็เชี่ยวชาญไม่น้อย นอกจากนั้นนางยังมีความรับผิดชอบต่อคนไข้อย่างมากมาโดยตลอด ทั้งยังมีความมั่นใจในตนเอง นางไม่ควรจะเกิดข้อผิดพลาดได้!

ไม่ได้ ครั้งหน้าหากมีโอกาส นางจะต้องไปหาอวิ๋นจิ่นเพื่อทำการพิสูจน์สักครั้ง

เยี่ยโยวเหยาเดินออกจากเรือนอวิ๋นไคด้วยแววตาเย็นชาเป็นอย่างมาก

ดวงดาวเต็มท้องฟ้า สว่างไสวสวยงาม ทว่าในค่ำคืนที่มืดมิดนี้ ร่างของเขากลับยิ่งไร้ความรู้สึกร้อนหนาว

เยี่ยโยวเหยาเดินไปทางตำหนักฝูอวิ๋น พร้อมกับยื่นมือซ้ายของตนออกมาอย่างเชื่องช้า

ในฝ่ามือของเขามีก้อนเนื้อขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองอยู่ บัดนี้มันกลายเป็นสีดำสนิท ลักษณะเช่นนี้เหมือนถูกพิษ ทว่าไม่ใช่พิษ แต่เป็นหมุดกร่อนรักที่เขาใช้กำลังภายในอันแข็งแกร่งควบคุมไว้ ตอนนี้มันเริ่มแสดงอาการออกมาแล้ว

เดิมทีเยี่ยโยวเหยาต้องการกลับไปตำหนักฝูอวิ๋น ทว่าทันใดนั้นเขาก็หันหลังกลับไปทางวิหารวิญญาณ

ภายในวิหารวิญญาณ หมอเทวดาหวาเพิ่งจัดเก็บตำราแพทย์บางส่วนเสร็จ เขากำลังจะเข้านอน จู่ๆ หน้าต่างก็ถูกลมพัดเปิดออก

“ลมในฤดูหนาวนี้นับวันยิ่งรุนแรงขึ้นทุกที! ” หมอเทวดาหวาบ่นพลางเดินออกจากเตียงนอนเพื่อไปปิดหน้าต่าง

หมอเทวดาหวาเพิ่งปิดหน้าต่างเสร็จ กำลังจะหันหลังกลับ ทันใดนั้นเขาก็เห็นเยี่ยโยวเหยานั่งอยู่บนเก้าอี้ราวกับเทพแห่งปีศาจ

เดิมทีหมอเทวดาหวาก็รู้สึกหนาวเย็นเสียดกระดูกสันหลังอยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งหนาวเหน็บขึ้นไปอีก

เขารีบเดินมาด้านหน้าและคำนับเยี่ยโยวเหยา “กระหม่อมคำนับท่านอ๋อง”

“ลุกขึ้นเถิด! ”

“ท่านอ๋องเสด็จในเวลาค่ำมืดเช่นนี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดพ่ะย่ะค่ะ? ”

ตั้งแต่ที่ท่านอ๋องมีพระชายา ปกติแล้วในเวลากลางคืน ท่านอ๋องก็จะกลับไปพักที่ตำหนัก ไม่บ่อยนักที่จะมาเยือนวิหารวิญญาณในยามค่ำคืน

เยี่ยโยวเหยาไม่ได้พูดอันใด เขายื่นฝ่ามือซ้ายของตนไปยังเบื้องหน้าของหมอเทวดาหวา

“ท่าน… ท่านอ๋อง… ” หมอเทวดาหวาตกใจในทันที “เป็น… เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? ”

“มีวิธีแก้ไขหรือไม่? ” เยี่ยโยวเหยาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

หมอเทวดาหวาปาดเหงื่อเย็นที่หน้าผาก เขายื่นมือออกมาตรวจชีพจรให้เยี่ยโยวเหยา “ท่านอ๋องมีอาการเช่นนี้กี่วันแล้วพ่ะย่ะค่ะ? ”

“ยังไม่นาน พบตอนอยู่ที่แคว้นหนานหลี”

หมอเทวดาหวายิ่งตรวจชีพจร ยิ่งขมวดคิ้ว “ท่านอ๋อง เทศกาลฉงหยางวันนั้น เพราะท่านอ๋องมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อพระชายา จึงส่งผลกระทบต่อหมุดกร่อนรักในพระวรกาย เมื่อท่านกลับมาที่วิหารวิญญาณ กระหม่อมเคยบอกกับท่านแล้วว่า การใช้พลังภายในควบคุมหมุดกร่อนรักไว้ชั่วคราวเป็นวิธีที่ไม่ควรทำ ไม่เพียงแต่จะได้รับผลสะท้อนกลับของหมุดกร่อนรักเท่านั้น มันยังทำให้อวัยวะภายในของท่านได้รับความเสียหายอีกด้วย วิธีแก้ไขมีเพียงวิธีเดียวคือ ท่านอ๋องควรอยู่ให้ห่างจากพระชายา เมื่อไม่มีความรู้สึกรักใคร่ ท่านก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด”

“อย่างไรก็ตาม เจ้าก็ได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดา แม้แต่หมุดกร่อนรักอันเล็กเพียงนี้ยังแก้ไขไม่ได้หรือ? ”

ปรักปรำกันชัดๆ!

หัวใจของท่านอ๋องมีแต่ประเทศชาติ ในใจของเขานั้น หมุดกร่อนรักก็เป็นดั่งหยดน้ำในทะเล เล็กน้อยเกินกว่าจะเอ่ยถึง ทว่าหมอเทวดาหวารู้อย่างชัดเจน ในทางการแพทย์แล้ว ไม่มีผู้ใดก้าวข้ามจุดสูงสุดนี้ไปได้

หมอเทวดาหวากล่าวด้วยใบหน้าเสียใจและลำบากใจ “ท่านอ๋อง หมุดกร่อนรักนี้ เจ้าตำหนักเป็นผู้ใส่เข้าไปในร่างของท่าน ในโลกนี้จึงมีเพียงเจ้าตำหนักเท่านั้นที่สามารถถอนพิษได้ แม้กระหม่อมจะช่วยท่านอ๋องควบคุมหมุดกร่อนรักนี้ไว้ได้ชั่วคราว ทว่าก็ยังไร้ประโยชน์ อีกทั้ง… อีกทั้งไม่ช้าก็เร็ว เจ้าตำหนักจะต้องสังเกตเห็น ทางแม่นางหนานกงไม่มีทางปิดบังได้นาน! ”

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset