ขณะที่พูด หมอเทวดาหวาก็คุกเข่าลงบนพื้น พลางร่ำไห้น้ำตาคลอ “แม้กระหม่อมจะทราบว่าท่านอ๋องมีความรู้สึกที่ไม่ธรรมดากับพระชายา ทว่ากระหม่อมยังต้องเตือนท่านอ๋องสักประโยค หลายปีมานี้ สิ่งที่ท่านอ๋องได้มานั้น หาใช่ได้มาโดยง่าย ท่านอ๋องได้โปรดเห็นแก่งานใหญ่เป็นสำคัญ ขอท่านอ๋องใคร่ครวญให้รอบคอบ อย่าให้ความรักหนุ่มสาวมาทำให้ท่านอ๋องละทิ้งจิตวิญญาณที่ภักดีต่อประเทศชาติ! ”
“หึ! ” ทันใดนั้นแววตาของเยี่ยโยวเหยาก็ราวกับปีศาจกระหายเลือด เขาเตะไปที่หน้าอกของหมอเทวดาหวาอย่างหนัก “หากยังกล้าพูดเช่นนี้อีก ข้าจะไม่ไว้ชีวิตเจ้า! ”
ผู้คนที่วิหารวิญญาณต่างรู้นิสัยของเยี่ยโยวเหยาเป็นอย่างดี ตราบใดที่เยี่ยโยวเหยาโกรธ แม้พวกเขาจะมีความกล้าหาญมากเพียงใด ก็ไม่กล้าพูดออกมา
ทว่าครั้งนี้ ไม่รู้หมอเทวดาหวาไปเอาความกล้ามาจากที่ใด แม้แต่ชีวิตของตนก็ไม่ต้องการ ขณะที่เยี่ยโยวเหยากำลังจะเดินจากไป หมอเทวดาหวาก็คลานกับพื้นมาขวางทางเยี่ยโยวเหยาไว้ เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าเยี่ยโยวเหยาพลางพูดว่า “ท่านอ๋อง แม้วันนี้ท่านจะเอาชีวิตกระหม่อม ทว่าคำพูดที่ไม่รื่นหูนั้นล้วนเต็มไปด้วยความภักดี กระหม่อมไม่พูดไม่ได้ หากท่านอ๋องไม่เห็นแก่ประโยชน์อื่นใด ท่านก็ควรครุ่นคิดให้รอบคอบ หลายปีมานี้ เจ้าตำหนักทำให้ท่านต้องทนแบกรับทุกอย่างไว้ อีกทั้งตระกูลหนานกงและตระกูลหลาน ยังมีเหล่าขุนนางที่สละชีวิตเพื่อรากฐานของประเทศ สิ่งเหล่านี้เทียบไม่ได้กับซูจิ่นซีเพียงผู้เดียวเช่นนั้นหรือ? ”
เยี่ยโยวเหยามองหมอเทวดาหวาด้วยสายตาเย็นชาโดยไม่ได้พูดอันใด
แม้ร่างกายของหมอเทวดาหวาจะสั่นเทา ทว่าเขายังพูดตักเตือนต่อไป “ท่านอ๋อง โบราณว่าไว้ ความงามคือหายนะ ถ้าท่านไม่อดทน หากเพื่อซูจิ่นซีแล้วท่านเป็นอันใดไป เหล่าวิญญาณที่ภักดีต่อประเทศชาติจะไม่ปล่อยซูจิ่นซีไว้แน่ พวกเขาจะต้องลุกขึ้นมาสังหารนาง”
“สารเลว! ใครให้เจ้าพูดเช่นนี้? ” เยี่ยโยวเหยาเดือดดาลสุดขีด เขาใช้เท้าเตะไปที่หน้าอกของหมอเทวดาหวาอีกครั้ง
ครั้งนี้เยี่ยโยวเหยาเตะอย่างรุนแรง ร่างของหมอเทวดาหวาทะลุผ่านประตู กระเด็นไปตกที่เรือนด้านใน เขากระอักเลือดออกมาเต็มปาก ดวงตาเริ่มรู้สึกพร่ามัว
เหตุการณ์ใหญ่โตเพียงนี้ ย่อมทำให้องครักษ์ของวิหารวิญญาณหลายคนตื่นตระหนกจนวิ่งเข้ามา ทว่าเมื่อพวกเขาเห็นเยี่ยโยวเหยากำลังลงโทษหมอเทวดาหวาด้วยตนเอง ก็ไม่มีผู้ใดกล้าออกเสียง
“โยวเหยา นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่? ”
ฉินเทียนรีบเดินเข้ามา เขาประหลาดใจอยู่บ้างที่เห็นหมอเทวดาหวานอนอยู่บนพื้นในสภาพเช่นนี้ พี่ชายของเขาเคารพหมอเทวดาหวาอย่างมากมาโดยตลอด เหตุใดวันนี้จึงลงโทษหมอเทวดาหวาด้วยตนเองเช่นนี้?
ทั้งยังโกรธมากอีกด้วย?
“จับไปขังในคุกมืด! ” เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ตอบคำถามของฉินเทียน เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
คุกมืด?
ฉินเทียนและหมอเทวดาหวาต่างตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้างทันที
องครักษ์สองนายที่อยู่ด้านหน้าเข้ามาลากหมอเทวดาหวาออกไป ทว่าฉินเทียนกลับยืนขวางไว้
“โยวเหยา หมอเทวดาหวาทำความผิดอันใด ท่านจึงลงโทษเขาถึงเพียงนี้? ”
ต้องรู้ว่า คุกมืดเป็นสถานที่ที่มีการลงโทษโหดร้ายทารุณที่สุดในวิหารวิญญาณ ปกติแล้วผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ที่นั่นล้วนเป็นสายลับหรือเชลยศึก วิธีการลงโทษนั้นโหดร้ายทารุณอย่างที่สุด หากคนของตนไม่ได้ทำความผิดใหญ่หลวง ปกติแล้วจะไม่คุมขังไว้ในสถานที่แห่งนี้
“แม้จะเป็นเจ้า หากทำความผิดมหันต์ ข้าก็จะไม่ปราณี! ”
ฉินเทียนยืนตะลึงอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง
องครักษ์จึงนำตัวหมอเทวดาหวาออกไป
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้พูดอันใดอีก เขาเดินออกจากวิหารวิญญาณและกลับไปยังจวนโยวอ๋อง
ฉินเทียนไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น เขายังยืนอยู่ที่เดิม ตกอยู่ในภวังค์
เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปแล้ว…
แม้ฉินเทียนจะเรียกชื่อของเยี่ยโยวเหยามาโดยตลอด ทว่าเยี่ยโยวเหยาก็เป็นพี่ชายของเขา… ความสัมพันธ์ทางสายเลือดเช่นนี้ อย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
เมื่อก่อนไม่ว่าฉินเทียนจะทำความผิดอันใด เยี่ยโยวเหยามักจะอดทนและให้อภัย นอกจากนั้นไม่ว่าเยี่ยโยวเหยาจะเข้มงวดกับลูกน้องเพียงใด ทว่าวิธีการโหดร้ายเช่นนี้ เขาจะทำกับคนนอกเท่านั้น เขาไม่เคยใช้วิธีการนี้กับผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตนมาก่อน
ทว่าวันนี้เยี่ยโยวเหยากลับจัดการหมอเทวดาหวาเช่นนี้ ชัดเจนแล้วว่าเขาต้องการให้หมอเทวดาหวาตายอย่างทรมาน
หลังจากที่ซูจิ่นซี สตรีนางนี้ปรากฏตัวขึ้น เยี่ยโยวเหยาก็เปลี่ยนไป การกระทำของเขาล้วนเป็นผลกระทบมาจากสตรีผู้นี้
ซูจิ่นซี คือตัวหายนะ…
หากไม่กำจัดนาง ข้า…ฉินเทียนคงไม่ใช่คนแซ่ฉิน!
ฉินเทียนครุ่นคิด แววตาเริ่มเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมเลือดเย็น เขาค่อยๆ กำหมัดแน่น
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉินเทียนทำตามคำสั่งของเยี่ยโยวเหยา เขานำองครักษ์เงาไปยังจวนโยวอ๋อง เยี่ยโยวเหยาจัดเตรียมองครักษ์เงาไว้ไม่มากนัก กอปรกับคนที่ฉินเทียนพามาอีกสิบกว่าคนก็ล้วนเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่ง
แม้เยี่ยโยวเหยาจะเตรียมลูกน้องที่เป็นยอดฝีมือไว้ ทว่าเขายังไม่วางใจ เขาคิดจะโน้มน้าวซูจิ่นซีให้ใช้วิธีอื่น
ทว่าซูจิ่นซียังคงยืนกราน เยี่ยโยวเหยาจึงจนปัญญาและยอมให้ซูจิ่นซีไป
เพื่อให้แผนล่องูออกจากรูได้ผลดีมากยิ่งขึ้น ซูจิ่นซีจึงเลือกสถานที่เป็นจวนสกุลซู หากทำเช่นนี้ ทุกอย่างจะดูสมจริงยิ่งขึ้น แม้องครักษ์จะทำการหละหลวมจนปล่อยงูเลื้อยเข้าไปโดยง่าย ก็จะไม่เป็นที่สงสัย
โดยปกติแล้ว เหล่าองครักษ์ของจวนโยวอ๋องล้วนเข้มงวด ทว่า จู่ๆ กลับผ่อนคลายหละหลวม อาจทำให้ผู้อื่นสงสัยได้ง่าย
ซูจิ่นซีไปหาอนุปี้และซูอวี้ที่จวนสกุลซูเพื่อช่วยจัดการสิ่งต่างๆ ทั้งยังพาลวี่หลีมาด้วย
“พระชายา รถม้าเตรียมพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านเข้ามารายงาน
“เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉันต้องไปแล้วเพคะ! ” ซูจิ่นซีลุกขึ้น
เยี่ยโยวเหยายังแสดงสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ทว่าไม่ได้พูดอันใด
“วางใจได้เพคะ! มีฉินเทียนและพวกเขาอยู่ด้วย หม่อมฉันจะต้องไม่เป็นอันใด! ท่านรอฟังข่าวดีจากหม่อมฉันได้เลย” ซูจิ่นซีเดินไปด้านข้างเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยายังคงไม่พูดอันใด
ซูจิ่นซีถอนหายใจแรง นางหันหลังเดินไปทางเรือนชิงโยว ทว่ากลับถูกเยี่ยโยวเหยาคว้ามือไว้อย่างกะทันหัน
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากแผ่วเบา นางหันหน้ากลับไป ดวงตาดำขลับคู่หนึ่งมองเยี่ยโยวเหยาด้วยแววตาเป็นประกาย
“ระวังตัวด้วย! ” เยี่ยโยวเหยาพูด
“วางใจเถิดเพคะ! ” ซูจิ่นซีแย้มยิ้มอย่างสดใส
ขณะที่ซูจิ่นซีเดินออกมาจากจวนโยวอ๋อง ฉินเทียนและคนอื่นๆ ก็ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดองครักษ์ธรรมดาของจวนโยวอ๋องแล้ว พวกเขายืนอย่างพร้อมเพรียงอยู่ด้านหลังรถม้า ซูจิ่นซีรู้ว่าสถานะของฉินเทียนไม่ธรรมดา นางจึงให้ความเกรงใจต่อฉินเทียนมาโดยตลอด เมื่อหันไปทางฉินเทียน นางก็ยกยิ้มให้เขาเล็กน้อยและเดินผ่านไป
กลับคาดไม่ถึงว่าฉินเทียนจะยิ้มเยาะอย่างเย็นชา แววตาขึงขังน่ากลัว ทั้งยังซ่อนความอาฆาตเอาไว้อีกด้วย
ซูจิ่นซีเคยชินกับท่าทางเช่นนี้ของฉินเทียน จึงไม่ได้คิดอันใดมากนัก นางขึ้นไปนั่งบนรถม้าตามปกติ
เมื่อถึงจวนสกุลซู อนุปี้กับซูอวี้ก็มารออยู่ที่ประตูใหญ่แล้ว
ซูจิ่นซีเห็นว่าตอนที่อนุปี้คำนับ ร่างกายของนางสั่นคลอนเล็กน้อย ซูจิ่นซีจึงเดินมาด้านหน้าของอนุปี้และประคองนางไว้ กลับคาดไม่ถึงว่ามือของอนุปี้จะเย็นเฉียบถึงเพียงนี้
“ไม่ต้องกลัว! ” ซูจิ่นซีพูด
“เชิญพระชายา! ” อนุปี้พยายามบังคับตนเองให้สงบลง นางเดินนำซูจิ่นซีเข้าไปในจวน
ซูจิ่นซียังคงพักอยู่ที่เรือนฮั่นเซียง ฉินเทียนกับพรรคพวกยืนคุ้มกันอยู่ด้านนอกเรือน
ทันทีที่อนุปี้เดินเข้าประตูมา นางก็คุกเข่าลงบนพื้นและพูดโน้มน้าวซูจิ่นซี “พระชายา หม่อมฉันครุ่นคิดมานาน ยังรู้สึกว่าวิธีนี้เสี่ยงเกินไป ขณะนี้ท่านเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์ จะนำตัวเองเข้ามาเป็นเหยื่อล่อได้อย่างไร? ”
“พี่จิ่นซี เหตุใดพวกเราไม่คิดหาวิธีอื่นดูเล่า! ” ซูอวี้พูดโน้มน้าว
ทว่าซูจิ่นซียังคงดื้อดึง “เรื่องนี้ข้าได้เตรียมการไว้แล้ว เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ ทุกคนต้องร่วมมือเล่นละครกับข้าจนจบ! ไม่ต้องพูดอันใดอีก”
อนุปี้ยังต้องการกล่าวเตือนอีกครั้ง ทว่าแววตาของซูจิ่นซียังมุ่งมั่นไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อคำพูดมาถึงคอหอยแล้ว นางจึงต้องกลืนกลับเข้าไป
“ช่วงนี้สถานการณ์ที่จวนและหอโอสถเป็นอย่างไรบ้าง? ”
แม้ซูจิ่นซีจะต้องการช่วยเหลือจัดการสิ่งต่างๆ ในจวนสกุลซู ทว่าที่ซูจิ่นซีมาครั้งนี้ นางไม่ได้มาเพื่อแผนอำพรางตัวทั้งหมด แต่มาเพื่อช่วยเหลืออนุปี้และซูอวี้อย่างจริงใจ
ตั้งแต่ที่ซูอวี้สืบทอดกิจการของสกุลซู ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาก็เดินทางไปแคว้นหนานหลี เมื่อกลับมาก็ไม่มีโอกาสได้ถามไถ่สถานการณ์ ซูอวี้มีอายุเพียงแปดปี อีกทั้งซูจิ่นซียังไม่รับรู้ถึงความสามารถทั้งหมดของอนุปี้ นางจึงเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย