สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 225 ปลาติดเบ็ดแล้ว

“เมื่อนายท่านไม่อยู่แล้ว เหล่าอนุในจวนต่างต้องการออกจากจวนหรือไม่ก็กลับบ้านของนาง หม่อมฉันจึงตัดสินใจมอบค่าเดินทางและเงินจำนวนหนึ่งให้พวกนางไป ส่วนผู้ใดที่ต้องการอยู่ต่อ ก็ให้พักอยู่ที่เรือนเดิม คุณหนูของแต่ละเรือน ผู้ใดที่แสดงผลงานในการแข่งขันสืบทอดผู้นำของสกุลซูได้ดี หม่อมฉันได้ส่งให้ไปช่วยงานที่หอโอสถแล้ว งานศพของนายท่านและฮูหยินใหญ่นับว่าราบรื่นดี ในจวนตอนนี้แต่ละเรือนต่างปรองดองกันดี ไม่มีปัญหาอันใดเพคะ” อนุปี้กล่าว

ซูจิ่นซีพยักหน้าด้วยความพอใจ

แม้จะมีกฎว่า หลังจากสามีเสียชีวิตไปแล้ว ภรรยาและอนุต้องอยู่ในจวนต่อจนแก่เฒ่าและตายไป ทว่าหากบางคนไม่ต้องการอยู่ในจวนต่อ แต่กลับโดนบังคับให้อยู่ต่อ ภายภาคหน้าอาจสร้างปัญหาใหญ่ได้ ซูจิ่นซีเห็นด้วยอย่างมากกับวิธีของอนุปี้ นางจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ

“แล้วหอโอสถทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง? ” ซูจิ่นซีเอ่ยถาม

ใบหน้าน้อยๆ ของซูอวี้ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “แม้ฝ่าบาทจะมีพระราชโองการยกเลิกคำสั่งห้ามเปิดหอโอสถสกุลซูแล้ว อย่างไรก็ตาม หอโอสถก็เคยถูกราชวงศ์สั่งปิดเพื่อทำการตรวจสอบมาก่อน พวกชาวบ้านทั่วไปกลัวมากจนไม่กล้าเข้ามา ตอนนี้หอโอสถเปิดกิจการมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ทว่าผู้ป่วยที่มารักษายังมีน้อยมาก”

“ดูแล้ว เรื่องที่ถูกราชวงศ์สั่งปิดเพื่อทำการตรวจสอบ ทำให้ชื่อเสียงของหอโอสถสกุลซูเสียหายอย่างมาก” ซูจิ่นซีแสดงใบหน้าเศร้าหมอง

ซูอวี้เม้มปากพูดว่า “ความจริงมันไม่ได้เกี่ยวกับชื่อเสียงของหอโอสถสกุลซูทั้งหมด หลังจากที่หอโอสถถูกปิดเพื่อตรวจสอบและท่านพ่อถูกคุมขัง ฮูหยินใหญ่ได้เลิกจ้างหมอไปจำนวนไม่น้อย วันนี้แม้จะเปิดหอโอสถใหม่อีกครั้ง แน่นอนว่าวิชาแพทย์ของหมอที่ทำการตรวจรักษานั้นเทียบไม่ได้กับเมื่อก่อน นอกจากนั้นหอโอสถอีกหลายแห่งยังขาดแคลนหมออีกด้วย”

“ลองเชิญหมอคนเก่าเหล่านั้นกลับมาแล้วหรือยัง? ”

ซูอวี้ใบหน้าบึ้งตึง ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี

อนุปี้กล่าวอย่างใจเย็น “หม่อมฉันกับอวี้เอ๋อร์ลองดูแล้วเพคะ อีกทั้งยังมีหมอใหญ่สองท่านของพวกเราไปเชิญพวกเขาที่บ้านด้วยตนเอง ในสมัยก่อนพวกเขาได้รับการสั่งสอนจากนายท่าน วิชาการแพทย์นับว่าดีมาก อย่างไรก็ตาม อวี้เอ๋อร์อายุยังน้อย ยังไม่สามารถยืนหยัดได้ เป็นการยากที่จะทำให้ทุกคนเชื่อถือ นอกจากนี้หม่อมฉันก็เป็นเพียงอนุ วันนี้ได้เข้ามาดูแลกิจการของตระกูล ในใจของทุกคนจึงยังมีความสงสัยอยู่บ้าง คนที่เชื่อมั่นในตัวหม่อมฉันนั้นมีไม่มากนัก”

ทั้งหมดนี้เป็นความจริง และยังพุ่งเป้าไปที่อนุปี้กับซูอวี้

ทว่าตอนที่อนุปี้พูดสิ่งเหล่านี้ออกมา นางกลับมีใบหน้าที่สงบไร้กังวล ไม่ได้ดูถูกตนเองจนเกินไปและไม่มีความเกลียดชังแม้แต่น้อย

ภายในใจของซูจิ่นซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมอนุปี้อย่างมาก

ยิ่งไปกว่านั้น ซูจิ่นซียังรู้ด้วยว่า สาเหตุอีกอย่างที่ทำให้หมอเหล่านั้นไม่ต้องการกลับมา และเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดคือ พวกเขาเคยเป็นคนของฮั่วซื่อ

เหตุผลทั้งหมดที่อนุปี้ได้พูดไปนั้น ไม่มีเรื่องนี้อยู่

คนที่ตายไปแล้ว ไยต้องเอ่ยถึงความผิดถูก ในโลกนี้มีไม่กี่คนที่ทำได้เช่นเดียวกับนาง

จิตใจที่อดทนและใจกว้างนั้น ช่างน่าชื่นชมจริงๆ

“ในเมื่อพวกเขาไม่อยากกลับมา พวกเราก็ไม่บังคับ ตอนนี้วิชาแพทย์ของอวี้เอ๋อร์ดีมาก เขาสามารถนั่งรักษาได้แล้ว ข้าจำได้ว่าในจวนมีคนที่ชื่อซูหวั่นหวั่น ฝีมือแพทย์ของนางก็ใช้ได้ นางสามารถมาช่วยงานที่หอโอสถได้เช่นกัน หมอสวี่ก็ยังอยู่ตลอด และเขายังมีความสามารถใกล้เคียงกับท่านพ่อ ทางหอกุ้ยเหรินนั้นเขาคงรับมือได้ ไม่ต้องจัดคนไปที่นั่น ส่วนที่เหลือ… ข้าจะคิดหาวิธีอีกครั้ง! ”

มีความคิดหนึ่งที่ซูจิ่นซีแอบเก็บไว้ในใจ ทว่านางไม่ได้กล่าวอันใดในตอนนี้

“บัญชีที่ขาดทุนอยู่ เจ้าคิดจะทำเช่นไร? ” ซูจิ่นซีถาม

“บัญชีไม่ได้ขาดทุนมากเท่าไรนัก เมื่อก่อนตอนที่นายท่านยังอยู่ พวกเราก็ไม่เคยเป็นหนี้สิน หลังจากที่ฮูหยินใหญ่เข้ามารับช่วงได้ไม่นาน หอโอสถก็ถูกราชวงศ์สั่งปิดเพื่อตรวจสอบ จึงไม่มีการเคลื่อนไหวเท่าไรนัก ทว่าจากช่วงเวลาที่ผ่านมาพบว่าพอมีหนี้สินอยู่บ้าง หม่อมฉันกับอวี้เอ๋อร์ได้แสดงรายการใช้หนี้คืนทั้งหมดแล้ว”

หากเป็นเช่นนี้ ซูจิ่นซีก็วางใจได้แล้ว

นางไม่ได้ถามอันใดอีก และปล่อยให้อนุปี้กับซูอวี้กลับไปก่อน

เวลาว่างไม่มีอะไรทำ ซูจิ่นซีจึงเริ่มขับเคลื่อนระบบถอนพิษ

การเพิ่มระดับอาคมกำไลปี่อั้นต้องอาศัยการสะสมกลีบดอกปี่อั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับโชคชะตา

ทว่าการเพิ่มระดับของระบบถอนพิษนั้น ตอนนี้ซูจิ่นซีเองยังไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของมันเท่าไรนัก ในคราแรก การเพิ่มระดับตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงระดับที่หนึ่งนั้นเป็นเพราะนางทานยาหลิงเซียวตานของหมอเทวดาหวา

หากต้องการให้ระบบถอนพิษเพิ่มระดับขึ้นอีกครั้ง นางต้องใช้วิธีใดกัน?

ซูจิ่นซีนั่งลงบนตั่งผ้าไหมพลางหลับตาทำสมาธิ เริ่มต้น ซูจิ่นซีลองพยายามรวบรวมพลังขับเคลื่อนระบบถอนพิษ ทว่าทดลองอยู่ตลอดทั้งบ่าย กลับไม่มีประโยชน์อันใดแม้แต่น้อย

เมื่อถึงตอนเย็น อนุปี้ให้คนมาเชิญซูจิ่นซีไปรับประทานอาหารที่โถงกลาง ซูจิ่นซีกำลังหิวพอดีจึงไม่คิดถึงเรื่องระบบถอนพิษอีก นางออกไปรับประทานอาหารที่ห้องโถงกลางกับอนุปี้และทุกคน

ที่ห้องโถงกลาง เมื่อก่อนเวลารับประทานอาหาร มีเพียงซูจ้งและฮั่วซื่อ ทั้งยังมีลูกทั้งสองของฮั่วซื่อ นั่นคือซูเซียนฮุ่ยและซูจวิ้นเท่านั้น จึงจะมีคุณสมบัติพอได้ร่วมโต๊ะอาหาร ผู้ที่มีสถานะต่ำต้อยและเป็นลูกนอกสมรสอย่างซูจิ่นซี และอนุปี้กับซูอวี้นั้น ล้วนไม่มีสิทธิเข้าร่วมโต๊ะอาหารนี้

อย่างไรก็ตาม วันนี้พวกเขาก็นั่งอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ?

ไม่เพียงนั่งอยู่ตรงนี้เท่านั้น พวกเขายังกำจัดฮั่วซื่อได้อีกด้วย ทั้งยังควบคุมกิจการสกุลซูทั้งหมดไว้ในมือ

ดังนั้น เมื่อเกิดเป็นคน ไม่ว่าจะอยู่ในจุดต่ำสุดเพียงใด ต้องไม่สูญเสียจิตวิญญาณการต่อสู้และความมั่นใจต่ออนาคตของตน

วันนี้แม้เจ้าจะไม่สามารถบรรลุในสิ่งที่หวังได้ ทว่าต้องมีสักวัน ทุกอย่างอาจอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเจ้าก็เป็นได้ เพียงชีวิตของเจ้ามีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ไม่เคยเลือนหายไป

“พระชายา หม่อมฉันไม่ทราบว่าท่านชอบทานสิ่งใดจึงไปสอบถามจากแม่นางลวี่หลี และได้ทำอาหารเหล่านี้ขึ้นโต๊ะ ท่านลองดูว่าถูกปากหรือไม่” อนุปี้พูดขึ้น

ซูจิ่นซีมองดูใกล้ๆ อย่างละเอียด ทั้งหมดเป็นของที่นางชอบทานจริงๆ

“ลำบากอนุปี้แล้ว ให้บ่าวรับใช้ทำก็ได้ เหตุใดเจ้าต้องทำเองเช่นนี้? ”

“พระชายามีบุญคุณต่อพวกเราสองแม่ลูก หากไม่มีพระชายาก็ไม่มีหม่อมฉันกับอวี้เอ๋อร์ในวันนี้ อีกทั้งพระชายาก็ไม่ได้มาที่จวนบ่อยนัก หม่อมฉันทำอาหารให้พระชายาเสวยด้วยตนเองสักมื้อ เป็นเรื่องที่สมควรแล้วเพคะ”

อนุปี้พูดด้วยความจริงใจเป็นอย่างมาก

“พี่จิ่นซี ไม่ว่าอนาคตจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น อวี้เอ๋อร์กับท่านแม่จะเป็นแรงสนับสนุนให้ท่านอย่างมั่นคงที่สุด จวนสกุลซูจะเป็นบ้านของท่านตลอดไป! ” ซูอวี้น้ำตาคลอเบ้า พูดด้วยใบหน้าจริงใจ

เติบโตมาจนป่านนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของร่างเดิมหรือวิญญาณของซูจิ่นซีที่ทะลุมิติมาจากสามพันข้างหน้า นางก็ยังไม่เคยรู้สึกถึงความอบอุ่นเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยรู้ว่าคำว่า ‘บ้าน’ คำนี้มีความหมายแท้จริงเช่นไร

ทว่าคำพูดของอนุปี้กับซูอวี้ในวันนี้ ทำให้ซูจิ่นซีรู้สึกถึงความอบอุ่นของคำว่า ‘บ้าน’ ขึ้นมาในทันที ภายในใจราวกับมีกระแสน้ำอุ่นไหลผ่าน

“อนุปี้ ตอนนี้เจ้าเป็นใหญ่ในจวนแล้ว ต่อไปหากมีบ่าวรับใช้เรียกเจ้าว่าอนุปี้ คงไม่เหมาะสมเท่าไรนัก เช่นนั้นก็ให้เรียกเจ้าว่า ฮูหยินปี้ เป็นเช่นไร! ”

ความหมายของซูจิ่นซีคือ ให้อนุปี้เป็นนายหญิงใหญ่แห่งจวนสกุลซู

อนุปี้ไม่ได้ถ่อมตัวเกินไปหรือปฏิเสธ นางลุกขึ้นยืนคำนับซูจิ่นซี

“เพคะ! ขอบพระทัยพระชายา”

นี่คือการที่มารดาได้รับเกียรติจากบุตรที่สูงศักดิ์

แม้ภายในจวนที่มีชื่อเสียงกับในวังหลวงจะมีวิธีปฏิบัติที่แตกต่างกันมาก ทว่ารูปแบบเช่นนี้ ไม่ว่าที่แห่งใดล้วนเป็นเหมือนกัน

อาหารมื้อนี้ ซูจิ่นซีทานอย่างสบายใจ และยังทานจนอิ่มมากอีกด้วย

หลังรับประทานอาหารเสร็จ ซูจิ่นซีก็กลับไปที่เรือนฮั่นเซียง ซูอวี้ยังต้องการพูดคุยกับซูจิ่นซีอีก จึงเดินตามซูจิ่นซีไปด้วย

พวกเขาเพิ่งเดินออกมาจากห้องโถงกลางได้ไม่ไกลนัก ทันใดนั้นลมหนาวก็พัดแรงขึ้น

ซูจิ่นซีรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าท่ามกลางลมหนาวที่พัดมานั้นมีบรรยากาศของไอสังหารอยู่ด้วย ใบหน้าของนางสงบนิ่งอย่างมาก ทว่ากลับเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น

ซูอวี้เดินมาด้านข้างซูจิ่นซี และจับมือซูจิ่นซีไว้แน่น

ทันใดนั้น เสียง“กริ๊ก” ก็ดังขึ้น เป็นเสียงอาวุธชนกัน มันดังอย่างชัดเจนที่ข้างหูของซูจิ่นซี

JX2 ที่ซ่อนอยู่ในมุมมืดปรากฏตัวขึ้นในทันที เขาดึงซูจิ่นซีไว้ และสกัดกั้นอาวุธลับที่โจมตีมาทางซูจิ่นซี

จากนั้น JX1 JX3 และJX4 ก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน พวกเขาเข้าต่อสู้กับคนสวมชุดดำปิดหน้าจำนวนสามคนที่กระโจนออกมาจากความมืด

แม้พวกเขาทั้งสามจะสวมชุดสีดำสนิทจนกลืนเข้ากับความมืดมิดยามกลางคืน ทว่าซูจิ่นซีอาศัยจากรูปร่างของคนชุดดำ นางจำทูตซ้ายชุดดำก่อนหน้านี้ได้อย่างแม่นยำ เขาคือหนึ่งในสามคนนี้

ปลาติดเบ็ดแล้ว

แต่ซูจิ่นซีคิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะลงมือเร็วถึงเพียงนี้ ฉินเทียนกับพรรคพวกยังอยู่ที่เรือนฮั่นเซียง

ทำอย่างไรดี?

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset