กระบี่ในมือของฉินเทียนกำลังจะแทงหัวใจของซูจิ่นซี ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายเช่นนี้ จู่ๆ ร่างของเขาก็กระเด็นลอยไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ร่างที่สง่างามดั่งเทพเจ้าของเยี่ยโยวเหยาค่อยๆ เดินเข้ามาหาซูจิ่นซี เมื่อเดินมาถึงข้างกายนาง เขาก็หยุดยืนอยู่เคียงข้างนาง
ฉินเทียนที่ถูกซัดจนกระเด็นไปไกล กระอักเลือดออกมาไม่หยุด เขายกมือกุมหน้าอกพลางมองเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
“ผู้ใดใช้ให้เจ้าแอบอ้างคำสั่งของข้า? ” เยี่ยโยวเหยาถามเสียงเย็นชา
ฉินเทียนกระอักเลือด ทว่ายังประคองตนเองให้ยืนขึ้นมาได้ แสดงว่าแรงเตะเมื่อครู่ เยี่ยโยวเหยายังคงเห็นฉินเทียนเป็นน้องชายของตนอยู่ จึงยั้งเท้าเอาไว้
ฉินเทียนลุกขึ้นยืนพลางยกมือกุมหน้าอก เขาเดินเข้าไปหาเยี่ยโยวเหยาอย่างเชื่องช้า และพูดเสียงแข็งว่า “พี่ ซูจิ่นซี สตรีนางนี้เก็บเอาไว้ไม่ได้ หากท่านเก็บนางไว้ นางจะกลายเป็นหายนะและอันตรายอย่างมาก ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อท่านทั้งสิ้น”
“หุบปาก! ”
เยี่ยโยวเหยาพูดเสียงเย็นชา เขาซัดฝ่ามือใส่ฉินเทียนอีกครั้ง
ฉินเทียนถูกซัดจนนอนกองกับพื้น ทว่าเขายังดึงดันลุกขึ้นพูดอีกว่า “โยวเหยา… แม้… แม้วันนี้นางจะไม่ตายในน้ำมือของข้า ทว่าจะต้องมีสักวัน นางจะต้องตายในเงื้อมมือของมารดาข้า ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนในกองทัพหนานกงหรือในกองทัพตระกูลหลาน ไม่มีใครยินยอมที่จะ… ”
ฉินเทียนยังพูดไม่จบประโยค เยี่ยโยวเหยาก็ซัดฝ่ามือเข้าไปที่หน้าอกของฉินเทียนอีกครั้ง
ครั้งนี้ ฉินเทียนถูกซัดจนสลบไป
“พาเขากลับไปวิหารวิญญาณ หากไม่มีคำสั่งจากข้า ตั้งแต่นี้ต่อไป ไม่อนุญาตให้เขาออกจากวิหารวิญญาณแม้แต่ก้าวเดียว ต่อไปเรื่องทั้งหมดขององครักษ์เงากับกองทัพปีศาจให้จิ้นหนานเฟิงเป็นผู้บัญชาการ”
เยี่ยโยวเหยาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขาขังฉินเทียนไว้ที่วิหารวิญญาณ ทั้งยังยกเลิกหน้าที่รับผิดชอบทั้งหมดของเขา
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
องครักษ์เข้ามาลากตัวฉินเทียนออกไป
เยี่ยโยวเหยาหันไปมองซูจิ่นซีพลางขมวดคิ้วเป็นเกลียว ใบหน้าเช่นนี้ของเขา ดูไม่ออกว่ากำลังเย็นชาหรืออ่อนโยน ทว่าสายตาที่มองมากลับทำให้ซูจิ่นซีรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง
“เยี่ยโยวเหยา ท่าน… ท่านมาได้อย่างไร? ”
“หากข้าไม่มา วันนี้เจ้าคงไม่ได้ตายภายใต้เงื้อมมือของศัตรู ทว่าตายในเงื้อมมือของเจ้าเด็กบ้านั่น” เยี่ยโยวเหยากุมมือของซูจิ่นซีไว้แน่น เขาพานางเดินไปทางด้านนอกของจวนสกุลซู
“ไปที่ใดหรือ? ” ซูจิ่นซีถามขึ้น
“กลับบ้าน! ”
กลับบ้าน?
“แต่ฮูหยินปี้สั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมน้ำแกงร้อนๆ ไว้แล้ว อีกทั้งเวลานี้ก็ดึกมาก เดินทางเวลากลางค่ำจะไม่อันตรายหรือเพคะ? ”
น่าเสียดายที่เยี่ยโยวเหยาไม่ได้สนใจคำพูดของซูจิ่นซีแม้แต่น้อย
ซูจิ่นซีใช้มืออีกข้างหนึ่งจับแขนของเยี่ยโยวเหยาไว้ นางรั้งเยี่ยโยวเหยาอีกครั้งและพูดว่า “เยี่ยโยวเหยา เอาแต่ใจเช่นนี้ไม่ดีนะเพคะ! วันนี้ท่านติดค้างข้าหนึ่งครั้ง ดังนั้นท่านต้องฟังข้า! ”
เมื่อซูจิ่นซีกล่าวเช่นนี้ เยี่ยโยวเหยาจึงหยุดเดิน เขาทำเพียงหันกลับไปมองซูจิ่นซีด้วยสายตาเย็นชาพลางขมวดคิ้วมุ่น ทว่าไม่ได้พูดอันใด
“วันนี้ข้าทำความดีความชอบใหญ่หลวง ข้าจับตัวจงอู่โหวตัวการคนสำคัญให้กับท่าน นอกจากนี้ แม้ฉินเทียนจะแอบอ้างคำสั่งจากท่าน ทว่าเขาก็เป็นคนของท่าน เมื่อครู่ตอนที่เขากำลังจะสังหารข้า เขาได้ทำลายชื่อเสียงของท่านไปแล้ว”
“ดังนั้น? ” เยี่ยโยวเหยาถามกลับแผ่วเบา
ดังนั้น…
เดิมทีซูจิ่นซีพูดจาอย่างกล้าหาญ ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด นางถึงรู้สึกว่าอารมณ์ของเยี่ยโยวเหยา… บุรุษผู้นี้มีบางอย่างผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาตั้งคำถามกลับ มันทำให้ความเชื่อมั่นทั้งหมดของนางสูญสลายไปในทันที นางไม่สามารถพูดอันใดออกมาได้อีก
“ดังนั้นข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน และลงโทษเจ้าให้สาสม… ”
ลงโทษ…
เหตุใด?
นางทำผิดอันใดหรือ?
ทว่าเหตุใด ซูจิ่นซีจึงรู้สึกว่าใบหน้าของเยี่ยโยวเหยานั้นดูขึงขังพิกล?
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซียังคงถามออกไปด้วยความกล้าหาญ “เหตุใดเล่า? ”
เยี่ยโยวเหยาโอบเอวซูจิ่นซีแน่น ดึงให้นางเข้ามาแนบชิดด้านหน้าของตน เขาแสดงท่าทีเย็นชาพลางพูดว่า “เรื่องราวในวันนี้ขอให้เป็นครั้งสุดท้าย ตั้งแต่นี้ต่อไป หากเจ้ากระทำการที่เป็นอันตรายเช่นนี้อีก ก็อย่ามาโทษข้าที่ไร้น้ำใจกับเจ้า! ”
แม้ใบหน้าจะเยือกเย็น แม้ปากคอยพร่ำบ่นว่าจะลงโทษ และแม้คำพูดที่กล่าวออกมานั้นจะดูรุนแรง ทว่าเหตุใดซูจิ่นซีจึงเกิดความรู้สึกอบอุ่นอยู่ภายในใจ?
บุรุษผู้นี้มักเป็นเช่นนี้เสมอ
แม้เขากำลังแสดงท่าทีห่วงใย ทว่ากลับทำใบหน้าขึงขังได้ถึงเพียงนี้
“เยี่ยโยวเหยา ฮูหยินปี้ได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ไม่รู้ว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง อีกทั้ง JX1กับพรรคพวกก็ได้รับพิษเช่นกัน คืนนี้พวกเราพักอยู่ที่จวนสกุลซูก่อนเถิด รอจนถึงพรุ่งนี้เช้าเพื่อให้แน่ใจว่าฮูหยินปี้ไม่เป็นอันตรายอันใดแล้วค่อยไป ดีหรือไม่? ” ซูจิ่นซีพูดเสียงอ่อน
เยี่ยโยวเหยานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้ายังคงเย็นชาเหมือนเดิม ซูจิ่นซีคิดว่าเยี่ยโยวเหยาคงไม่รับปาก กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดออกมาคำหนึ่ง “ตกลง! ”
ซูจิ่นซีดีใจยิ่งนัก ทว่าไม่ได้แสดงออกบนใบหน้า
“ท่านไปรอที่เรือนฮั่นเซียงก่อน ข้าจะไปดูอาการของฮูหยินปี้”
เยี่ยโยวเหยาปล่อยมือซูจิ่นซี นางจึงหันหลังเดินเข้าไปหาฮูหยินปี้
ซูอวี้ได้ทำการฝังเข็มห้ามเลือดให้ฮูหยินปี้แล้ว ทว่าฮูหยินปี้ยังคงหมดสติอยู่ ใบหน้าของนางซีดขาวไร้เลือดฝาดจนดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก
“รีบประคองฮูหยินปี้เข้าไปในเรือนก่อนเถิด! จุดเตาไฟเพิ่มมากขึ้นอีกหน่อย ด้านนอกอากาศหนาว ไม่เป็นผลดีต่ออาการบาดเจ็บ” ซูจิ่นซีออกคำสั่ง
บ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งรีบนำแคร่ไม้ไผ่มายกฮูหยินปี้เข้าไปข้างใน
ซูจิ่นซีไม่เห็นเยี่ยโยวเหยา จึงรู้ว่าเขาไปถึงเรือนฮั่นเซียงแล้ว นางจึงหันไปมองลวี่หลีที่เพิ่งหายจากอาการตกใจ และพูดว่า “ลวี่หลี เจ้ากลับไปปรนนิบัติเยี่ยโยวเหยาที่เรือนฮั่นเซียงก่อน”
“หา? ปรน… ปรนนิบัติท่านอ๋อง… ” เดิมทีใบหน้าของลวี่หลีก็ขาวซีดอยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งซีดขาวไร้สีเลือดจนน่ากลัว นางทำราวกับเห็นผี
น่าเสียดาย ซูจิ่นซีเดินตามบ่าวรับใช้ที่หามฮูหยินปี้เข้าไปยังเรือนด้านในแล้ว คำพูดที่นางบอกกับลวี่หลี เป็นคำสั่งที่กล่าวออกไปตามปกติเท่านั้น
ลวี่หลียืนอยู่ที่เดิมครู่ใหญ่ การแสดงออกบนใบหน้าราวกับจะร่ำไห้
นางกลัวเยี่ยโยวเหยาที่สุด ขณะที่อยู่เรือนชิงโยว นางมักจะหาทางหลีกหนีไปให้ไกลเท่าที่จะทำได้!
ตอนนี้… จะให้นางไปปรนนิบัติเยี่ยโยวเหยา…
ช่างน่าขนพองสยองเกล้าเสียจริง
น่าเสียดายที่ในเวลานี้ ซูจิ่นซีไม่ล่วงรู้ถึงความคิดของลวี่หลีแม้แต่น้อย
ในเรือนของฮูหยินปี้ บ่าวรับใช้รีบเติมเตาไฟให้ความอบอุ่นเพิ่มอีกสี่ตัว ทันใดนั้น ห้องนอนในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บเมื่อถูกจุดไฟขึ้นมาพร้อมกันก็สว่างไสวราวกับแสงอาทิตย์
แม้ซูอวี้จะห้ามเลือดให้กับฮูหยินปี้แล้ว ทว่าสิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการจัดการกับบาดแผล แม้ซูอวี้จะมีอายุเพียงแปดปี ทว่าอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษ ไม่สะดวกเท่าใดนัก ซูจิ่นซีจึงต้องเป็นผู้ลงมือทำ
ซูจิ่นซีต้องการยาที่ใช้รักษาบาดแผลบางส่วน บ่าวรับใช้จึงรีบไปนำมาให้
ในไม่ช้า บ่าวรับใช้ก็นำยาที่จำเป็นมาให้ซูจิ่นซี ซูจิ่นซีรีบตัดเสื้อผ้าบนร่างกายของฮูหยินปี้ออก นางมองเห็นบาดแผลเหวอะหวะตรงหน้า
กระบี่ของฉินเทียนแทงเข้าบาดแผลเดิมที่เพิ่งสมานของฮูหยินปี้อย่างพอดิบพอดี
แผลเดิมรวมกับแผลใหม่ เหตุการณ์นี้อันตรายมาก หากฮูหยินปี้ไม่เข้ามาขวางไว้ คนที่นอนอยู่ตรงนี้คงเป็นซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีเก็บความซาบซึ้งทั้งหมดไว้ในใจ นางรีบจัดการกับบาดแผลของฮูหยินปี้ทันที
รอจนจัดการกับบาดแผลแล้วเสร็จ ซูจิ่นซีจึงเรียกหญิงรับใช้เข้ามาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับฮูหยินปี้ จากนั้นนางก็เดินออกมาจากห้องด้านใน
ซูอวี้รีบเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าเป็นห่วง
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อยพลางพูดว่า “วางใจได้ มารดาเจ้าไม่เป็นอันใดแล้ว ทว่าตั้งแต่นี้ต่อไปห้ามประมาท บาดแผลเกิดที่จุดเดียวกันถึงสองครั้ง มีโอกาสเกิดแผลเป็นสูง ข้าคงไม่ต้องเขียนใบสั่งยาเพื่อพักฟื้นแล้ว เรื่องนี้เจ้ารู้ดีกว่าข้ามากนัก”
“ขอบคุณท่านมาก พี่จิ่นซี”
ซูจิ่นซีไม่ได้พูดตอบอันใด นางทำเพียงลูบศีรษะของซูอวี้ด้วยความเคยชิน
นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก เนื่องจากซูอวี้ไม่คิดหลบหนี
เขาเพียงแสดงท่าทางไม่คุ้นชินเท่านั้น