“กรมขุนนาง! ”
ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องด้วยความตื่นเต้นของทุกคน เจ้ากรมขุนนางลุกขึ้นยืน
เขาก็เป็นเช่นเดียวกับเจ้ากรมอาญา ทำเพียงถวายพระพรแด่องค์ไทเฮาอยู่ตรงที่นั่ง ไม่ได้เดินออกมา และไม่ได้เตรียมของขวัญอวยพรใดๆ
ลำดับต่อมาเป็นกรมพิธีการกับกรมโยธาธิการ
เจ้ากรมโยธาธิการมอบของขวัญอวยพร ส่วนเจ้ากรมพิธีการไม่ได้มอบของขวัญ
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้สลักสำคัญอันใด แม้กรมโยธาธิการจะอยู่ในหกกรม ทว่าไม่มีอำนาจตัดสินใจ
ต่อมาคือ กรมกลาโหม
หากกล่าวถึงอำนาจตัดสินใจ ทันใดนั้นก็มีคนคิดบางอย่างขึ้นมาได้
ทว่าเวลาช่างผ่านไปไวนัก เยี่ยโยวเหยาเลือกได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเลือกถึงกรมกลาโหม ผู้ที่มีความคิดสุขุมต่างเริ่มกลั้นหายใจ บรรยากาศเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นถึงสุดขีด
ไม่มีผู้ใดคาดคิด ครั้งนี้ไม่เพียงเจ้ากรมกลาโหมเท่านั้นที่ลุกขึ้นยืน แม้แต่กองทัพหน่วยเหนือกับกองทัพส่วนกลางก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน
ทุกคนเพิ่งตระหนักได้ว่า กองทัพหน่วยเหนือกับกองทัพส่วนกลางยังไม่ได้แสดงจุดยืน!
พวกเขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับเจ้ากรมกลาโหมเช่นนี้ ต้องการจะทำอันใด?
พวกเขาต้องการเลือกผู้ใด?
“กระหม่อมถวายพระพรไทเฮา! ” เจ้ากรมกลาโหมกุมมือคำนับ
“ถวายพระพรไทเฮา ขอให้พระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง พระชนมายุยืนนาน”
“ถวายพระพรไทเฮา ขอให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญดั่งพระทัยปรารถนา”
ภายใต้บรรยากาศที่น่าตื่นเต้น ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาทำเพียงกล่าวคำถวายพระพรโดยไม่ได้เดินออกจากที่นั่ง และไม่ได้มอบของขวัญ
จากนั้น พวกเขาก็ยกจอกสุราขึ้นมาคำนับเยี่ยโยวเหยาพร้อมกัน เช่นเดียวกับเจ้ากรมอาญาที่แสดงถึงความภักดีซื่อสัตย์
ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงคือ หลังจากที่พวกเขาดื่มสุราแล้ว พวกเขาไม่ได้วางจอกสุราไว้บนโต๊ะ ทว่ากลับเขวี้ยงจอกสุราลงบนพื้นด้านหน้าโต๊ะงานเลี้ยง
หลังจากนั้น รองเจ้ากรมกลาโหมสองนายกับเหล่าขุนนางที่มาร่วมงานเลี้ยงที่เหลือต่างกล่าวคำถวายพระพร ทว่าไม่ได้มอบของขวัญอวยพรใดๆ
โอ้ พระเจ้า!
เรื่องราวเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ตื่นเต้นยิ่งนัก
จนกระทั่งเหตุการณ์สุดท้าย ทำให้ผู้ที่มาร่วมงานต่างงุนงงไปตามๆ กัน
คาดไม่ถึงว่าในจำนวนทั้งหกกรม มีห้ากรมที่อยู่ฝ่ายเยี่ยโยวเหยา โดยเฉพาะกรมกลาโหม
การตัดสินใจของเจ้ากรมกลาโหมเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่งนัก
เนื่องจากเกี่ยวพันถึงการเลื่อนตำแหน่งของขุนนางน้อยใหญ่ทั้งหมดในกองทัพ และเกี่ยวพันถึงการส่งเสบียงและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทหารแต่ละหน่วย ยิ่งไปกว่านั้นยังเกี่ยวพันกับการเพิ่มคุณภาพและความอยู่รอดในกองทัพแต่ละหน่วยอีกด้วย
เพียงอำนาจทางการทหารของกองทัพหน่วยตะวันตก หน่วยใต้ และหน่วยตะวันออก ทั้งสามหน่วยที่แสดงตัวยืนอยู่ฝ่ายฮ่องเต้ จะมีประโยชน์อันใด?
อำนาจการตัดสินใจทั้งหมดของกองทัพยังอยู่ในมือของขุนนางกรมกลาโหมทั้งสิ้น และอำนาจที่สำคัญที่สุดของกรมกลาโหมคือหน่วยกองทัพส่วนกลาง
กองทัพที่ไร้ซึ่งอำนาจทั้งสามหน่วย พวกเขาจะทำอันใดได้?
จากการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจใหม่ในราชสำนัก สามารถสังเกตเห็นได้ทันทีว่า อำนาจด้านการทหารและอำนาจการปกครองล้วนอยู่ในการควบคุมของเยี่ยโยวเหยาแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีเผ่าวิหคคอยหนุนหลังอีกด้วย
เช่นนี้แล้ว… ฮ่องเต้คือผู้ใดและแคว้นนี้เป็นของผู้ใดกันแน่?
สายพระเนตรของฮ่องเต้เผยความสิ้นหวัง ทันใดนั้นพระองค์ก็เอนพระวรกายพิงแท่นประทับ
แม้ไทเฮาจะประทับบนแท่นประทับด้วยท่วงท่ามีราศี สง่างาม ทว่าพระโอษฐ์และพระขนงกลับกระตุกไม่หยุด พระวรกายล้วนสั่นเทา
“โยวอ๋อง โยวอ๋อง กระหม่อมมีตาทว่าไร้แวว เป็นกระหม่อมที่เลอะเลือนไปชั่วครู่ กระหม่อมยอมเลือกฝ่ายโยวอ๋อง ยอมเลือกอยู่ฝ่ายโยวอ๋องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพหลี่แห่งกองทัพหน่วยตะวันตกที่เลือกอยู่ฝ่ายฮ่องเต้ กลับวิ่งออกมาในทันที และมอบตราคำสั่งของกองทัพหน่วยตะวันออกให้เยี่ยโยวเหยา
ในเวลานี้ ฮ่องเต้ทรงหมดหวังโดยสิ้นเชิง
“หลี่ถัง เจ้ามันสุนัขขี้ขลาด ข้าจะสังหารเจ้า! ”
แม่ทัพเห่อหลานแห่งกองทัพหน่วยใต้เห็นหลี่ถังทรยศต่อฮ่องเต้และยอมไปเข้าฝ่ายเยี่ยโยวเหยา เขาจึงหยิบกระบี่ประจำกายที่เอวออกมาและแทงหลี่ถังจนเสียชีวิต
“โอ้… ”
เหล่านางกำนัลตกใจเป็นอย่างมาก ภายในตำหนักเกิดความโกลาหล ทุกคนต่างลุกจากที่นั่ง คิดจะวิ่งออกไปจากตำหนัก ทว่ากลับถูกองครักษ์ของเยี่ยโยวเหยาที่เฝ้าอยู่หน้าตำหนักขวางไว้
แม่ทัพแห่งกองทัพส่วนกลางและแม่ทัพแห่งกองทัพหน่วยเหนือชักกระบี่ประจำกายที่อยู่ข้างเอวออกมา และพุ่งเข้าโจมตีแม่ทัพเห่อหลานกับแม่ทัพอวี่เหวิน
แม่ทัพเห่อหลานกับแม่ทัพอวี่เหวินชักกระบี่ออกมาเช่นกัน พวกเขาไม่มีท่าทียินยอมแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้ตกพระทัยจนพระขนงและพระโอษฐ์กระตุก “โยวอ๋อง… เจ้า… เจ้าคิดก่อกบฏ ต้องการบีบบังคับให้ข้าสละราชบัลลังก์หรือ? ”
ดวงตาเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาค่อยๆ เหลือบขึ้นมอง เขาพูดกับแม่ทัพแห่งกองทัพส่วนกลางและส่วนเหนือว่า “พวกเจ้าทั้งสองคิดจะทำอันใด? วันนี้เป็นงานฉลองวันพระราชสมภพขององค์ไทเฮา พวกเจ้าคิดจะทำลายความสุขขององค์ไทเฮากับฝ่าบาทหรือ? ”
แม่ทัพทั้งสองต่างเก็บกระบี่เข้าฝักด้วยสีหน้าดุดัน
ฮ่องเต้โล่งพระทัยขึ้นเล็กน้อย
คิดไม่ถึงว่าเสียงสังหารของเยี่ยโยวเหยาจะดังขึ้นอีกครั้ง “ฝ่าบาท วันนี้เป็นวันพระราชสมภพขององค์ไทเฮา ไม่ควรเกิดการนองเลือดให้ระคายพระทัย”
คำพูดนี้แสดงให้เห็นถึงความคิดของเยี่ยโยวเหยา และเป็นการตอบคำถามของฮ่องเต้เมื่อครู่นี้
วันนี้เยี่ยโยวเหยาเพียงต้องการแสดงอำนาจให้ฮ่องเต้ได้ประจักษ์ว่า ผู้ใดคือผู้ที่มีอำนาจเหนือแคว้นจงหนิง และผู้ใดคือผู้ที่มีอำนาจในราชสำนักอย่างแท้จริง
ดังนั้น นี่ไม่ใช่การก่อกบฏเพื่อต้องการบีบบังคับให้ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์
ทว่าเยี่ยโยวเหยาต้องการบีบบังคับให้ฮ่องเต้จัดการกับแม่ทัพเห่อหลานที่สังหารแม่ทัพหลี่ถัง
“เยี่ยโยวเหยา ท่านมันชั่วช้า ท่านมันกบฏชิงบัลลังก์” แม่ทัพเห่อหลานสบถด่าเยี่ยโยวเหยา
ทว่าเยี่ยโยวเหยายังคงนั่งพิงพนักพลางมองฮ่องเต้ด้วยใบหน้าเรียบเฉย
จะมีเรื่องใดที่ทำให้สุขกายสบายใจเท่ากับการเห็นฮ่องเต้จัดการคนที่พระองค์วางพระทัยมากที่สุดด้วยพระองค์เองเล่า?
หนวดเคราเรียวงามของฮ่องเต้กระตุก
พระองค์เข้าพระทัยดี ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พระองค์ไม่มีสิทธิ์เลือก
หากพระองค์ไม่จัดการกับแม่ทัพเห่อหลาน เยี่ยโยวเหยาคงไม่จบเพียงเท่านี้แน่นอน
เยี่ยโยวเหยาจะก่อกบฏจริงหรือไม่ หรือต้องการบีบบังคับให้พระองค์สละราชบัลลังก์ ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินพระทัยในครั้งนี้
แม้จะทรงรู้สึกหักห้ามพระทัยไม่ได้ ทว่าฮ่องเต้ยังคงมีพระบัญชาด้วยพระสุรเสียงดุดัน “ทหาร เห่อหลานดูหมิ่นพระเกียรติ สังหารหลี่ถังในตำหนัก มีความผิด… มีความผิดชัดเจน ลากตัวออกไปขังคุก”
สิ้นเสียงพระบัญชาของฮ่องเต้ เจ้ากรมหวัง… เจ้ากรมอาญา และรองเจ้ากรมอาญาอีกสองท่านต่างเข้ามาเก็บอาวุธของเห่อหลานหย่ง และคุมตัวเขาส่งให้องครักษ์นอกตำหนัก
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ทุกคนยืนทำอันใด? วันนี้เป็นวันพระราชสมภพขององค์ไทเฮา ทุกคนควรทำให้องค์ไทเฮาพอพระทัย ขุนนางทั้งหลายได้มอบของขวัญอวยพระพรแด่องค์ไทเฮาแล้ว พระองค์ทรงโปรดปรานหรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยาหัวเราะเสียงดัง แม้เขาจะหัวเราะ ทว่าน้ำเสียงของเขากลับทำให้ผู้คนรู้สึกเย็นยะเยือกและเสียวสันหลัง ทั้งยังทำให้คนที่อยู่ในตำหนักว่านโซ่วรู้สึกถึงแรงกดดันจำนวนมาก ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่สามารถคลายความกังวลลงได้
ไทเฮาทรงแย้มพระสรวล ทว่ารอยแย้มสรวลในครั้งนี้ช่างน่าเกลียดยิ่งกว่าการร้องไห้เสียอีก “ชอบ… ชื่นชอบ”
ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปนั่ง
เยี่ยโยวเหยาทูลฮ่องเต้อีกครั้งว่า “ฝ่าบาท เหล่าขุนนางผู้ใหญ่ทุกท่านล้วนจงรักภักดีและเทิดทูลฝ่าบาทถึงเพียงนี้ ฝ่าบาทควรประทานสุราให้เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่สักจอกดีหรือไม่? ”
ฮ่องเต้ตกพระทัยเล็กน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่ พระองค์ถึงหยิบจอกสุราขึ้นมา พลางตรัสว่า “ข้า… ขอดื่มให้กับขุนนางทุกท่านหนึ่งจอก”
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่อยู่ด้านล่างบางคนหยิบสุราขึ้นมาดื่มอย่างมีความสุข ทว่าบางคนไม่แม้แต่จะจับจอกสุราด้วยซ้ำ
“เสียงเพลงหายไปไหน? ” เยี่ยโยวเหยาพูดเสียงดัง
นักดนตรีที่หยุดขับขานไปแล้ว ต่างเริ่มต้นบรรเลงเสียงเพลงอันครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง
ขณะที่เกิดเรื่องราวมากมาย ซูจิ่นซีมีท่าทีสงบนิ่ง ไม่ได้กระทำอันใด นางนั่งอยู่ด้านข้างเยี่ยโยวเหยาอย่างเงียบงัน รับบทเป็นเพียงพระชายาโยวอ๋องเท่านั้น
ทว่าสายตาของนางกลับจับจ้องเรื่องราวทั้งหมด
สงครามครั้งนี้ เยี่ยโยวเหยารบชนะได้อย่างงดงาม
ที่แท้เมื่อเทียบกันแล้ว เยี่ยโยวเหยาใจแคบยิ่งกว่านางเสียอีก วันนี้เยี่ยโยวเหยาแก้แค้นเรื่องที่ถูกคุมขัง ณ ตำหนักเจิ้นหนานได้อย่างสาแก่ใจยิ่งนัก
แม้เยี่ยโยวเหยาจะทำให้ผู้คนกลัวเกรง ทว่างานเฉลิมฉลองก็ยังดำเนินไปตามปกติ ตำหนักว่านโซ่วในเวลานี้ไม่มีบรรยากาศสนุกสนานครื้นเครงดังเดิม สภาวะอารมณ์ของทุกคนล้วนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นอกจากขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่แสดงความภักดียืนหยัดแน่วแน่อยู่ข้างเยี่ยโยวเหยาแล้ว ขุนนางอีกกว่าครึ่งล้วนแสดงอารมณ์หวั่นเกรงระแวดระวัง
ฮ่องเต้ยังคงเสวยสุราอย่างมีความสุข ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่กล้าทัดทานอันใด ผ่านไปครู่หนึ่งพระองค์ก็ดื่มจนเมามาย
ไม่ทราบว่าฮ่องเต้ไปเสวยสุราเพิ่มกำลังใจมาจากที่ใด และไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด ฮ่องเต้จึงยกจอกสุราเดินไปหาเยี่ยโยวเหยา
ฮ่องเต้คิดจะทำอันใด?
คงไม่ฉวยโอกาสนี้แก้แค้นเยี่ยโยวเหยาหรอกกระมัง?
แม่ทัพแห่งกองทัพหน่วยเหนือและแม่ทัพแห่งกองทัพส่วนกลางต่างกุมกระบี่ในมือแน่น เพื่อเตรียมพร้อม