นางกำนัลและขันทีต่างร้องขอชีวิต แม่นมเจิ้งออกคำสั่งกับเหล่าองครักษ์ด้วยใบหน้าเย็นชา “นำตัวออกไป หากพวกนางหนีไปได้แม้แต่คนเดียว พวกเจ้าก็อย่าคิดว่าจะรอด”
หลังจากที่องครักษ์คุมตัวนางกำนัลกับขันทีออกไปจนหมดแล้ว แม่นมจูจึงมีโอกาสได้สอบถามแม่นมเจิ้ง “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่? เมื่อครู่ข้าเห็นเจ้าสั่งให้คนคุมตัวหลวงจีนทุศีลผู้นั้นออกไปด้วย”
แม่นมเจิ้งหวาดกลัวยิ่งนัก ทว่านางก็สงบจิตใจลงได้ “ตอนนี้พวกเราทำได้เพียงเท่านี้ ต้องปกปิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นทางนี้ไม่ให้แพร่งพรายออกไป ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ผู้ที่อยู่ด้านในไม่ใช่พระชายาโยวอ๋อง ทว่าเป็นหวาหรงจวิ้นจู่”
“กระไรนะ? หวาหรงจวิ้นจู่? ” แม่นมจูตกใจจนความกล้าหายไปหมดสิ้น “เรื่องนี้… เรื่องนี้ไหวหยางจวิ้นจู่เป็นผู้รับผิดชอบไม่ใช่หรือ? กลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร? ”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร เจ้ารีบออกไปขวางทางไทเฮาก่อน ตอนนี้พระนางคงพาคนเดินเข้ามาแล้ว”
ใช่แล้ว!
ตามแผนเดิมของพวกนาง องค์ไทเฮาต้องพาคนเข้ามาด้วย
ทว่าตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หากยังดำเนินตามแผนเดิมต่อไป ผู้ใดจะรู้ว่าท้ายที่สุดจะเกิดอันใดขึ้น
แม่นมจูไม่มีเวลาครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางรีบหันหลังวิ่งไปทางตำหนักว่านโซ่วอย่างรวดเร็ว
ทว่าสายไปเสียแล้ว
ในตำหนักว่านโซ่ว ไทเฮาทรงอ้างว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายนัก จึงให้ขันทีพยุงออกมาจากงานก่อน
หวาหรงจวิ้นจู่สวมเสื้อผ้าไม่เป็นระเบียบ นางวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
ผู้คนจำนวนมากในตำหนักต่างตื่นตกใจ ไทเฮาที่กำลังจะลุกขึ้น สีพระพักตร์พลันซีดเผือดอย่างไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร
“หวาหรง เจ้า… เจ้า… ”
หวาหรงจวิ้นจู่มีท่าทีเจ็บปวดใจ พลางร้องห่มร้องไห้ “เสด็จย่า เหตุใดท่านถึงทำกับข้าเช่นนี้? เพราะเหตุใด? เพราะเหตุใด? ”
เพราะเหตุใด? หวาหรงจวิ้นจู่พูดออกมาหลายต่อหลายครั้ง นางรู้สึกราวกับว่าหัวใจของตนแทบแตกสลาย
“นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่? ”
“เกิดอันใดขึ้นหรือ? เสด็จย่า ท่านจะเสแสร้งไปถึงเมื่อไร? หลวงจีนทุศีลผู้นั้น ข้าเห็นกับตาว่าแม่นมจู… บ่าวรับใช้คนสนิทของท่าน นำตัวเขาออกมาจากตำหนักของเสด็จแม่ ทั้งข้ายังได้ยินกับหูว่ายาปลุกกำหนัดนั่น ท่านใช้ให้แม่นมเจิ้งไปหามา เดิมทีข้าคิดว่าท่านจะใช้มันจัดการกับซูจิ่นซี กลับคิดไม่ถึงว่าเสด็จย่าจะนำมาใช้กับหลานผู้นี้ เพราะเหตุใด? เสด็จย่า หวาหรงเป็นหลานสาวแท้ๆ ของท่าน เหตุใดท่านถึงทำกับหลานเช่นนี้? เพราะเหตุใด? ”
หวาหรงจวิ้นจู่ชี้นิ้วเข้าหาตนเอง นอกจากน้ำเสียงที่แสดงถึงความโศกเศร้าแล้ว ยังแฝงความแข็งกร้าวและดื้อรั้นอีกด้วย
นางเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตนเองสูง หลังจากประสูติ นางก็เป็นสตรีสูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า นางคือองค์หญิง เป็นสตรีผู้มีเกียรติที่เหล่าบุรุษสูงศักดิ์ในใต้หล้าต่างเอาอกเอาใจ ราวกับยืนอยู่บนหอคอยงาช้างอย่างไร้ความกังวล
กลับคิดไม่ถึงว่า วันหนึ่งจะเกิดเรื่องราวเช่นนี้กับนาง และผู้ที่อยู่เบื้องหลังการกระทำในครั้งนี้ คือคนที่เอ็นดูและรักนางมากที่สุด เป็นเสด็จย่าที่นางเคารพมากที่สุด
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?
แม้คำพูดของหวาหรงจวิ้นจู่จะฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก ทว่าไทเฮาสามารถคาดเดาได้ว่าเรื่องราวเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว ทั้งคนที่ถูกทำร้ายกลับเป็นหลานสาวของพระองค์ เรื่องนี้พุ่งเข้าโจมตีไทเฮาอย่างหนักหน่วง พระองค์ทรงอ่อนระทวย ซวนเซถอยหลังไปหลายก้าวจนเกือบจะหกล้ม ทว่าขันทีที่ยืนอยู่ข้างพระวรกายรีบประคองไว้ได้ทัน
“รีบไปตามหาพระชายา” เยี่ยโยวเหยากระซิบสั่งการองครักษ์ข้างกายด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ตอนที่หวาหรงจวิ้นจู่วิ่งออกมาจากตำหนักใน นางหยิบเสื้อผ้าออกมาเพียงชิ้นเดียว เวลานี้นางจึงอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างอันใดกับหยกเปลือยเปล่า ต่อให้โง่เพียงใดก็รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ทว่าทุกคนต่างไม่กล้ากล่าวอันใดมากนัก
“เสด็จย่า ท่านพูดสิ! เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้? เพราะเหตุใด? ท่านทำเช่นนี้เป็นผลดีอันใดต่อท่านหรือ? หลานทำอันใดให้เสด็จย่าไม่พอพระทัยหรือ? ”
หวาหรงจวิ้นจู่เปิดเผยทุกอย่างจนหมดสิ้น นางยังคงดึงดัน ต้องการเหตุผลจากองค์ไทเฮา
ไทเฮาถูกคำถามโจมตีจนพูดอันใดไม่ออก สติสัมปชัญญะเริ่มเลือนลาง
ขันทีที่ยืนประคององค์ไทเฮาก็เป็นคนสนิทข้างพระวรกายของพระองค์เช่นกัน แผนการของไทเฮากับเหล่าแม่นม เขาล้วนทราบดี
เมื่อเห็นหวาหรงจวิ้นจู่เข้าพระทัยองค์ไทเฮาผิด เขาจึงเอ่ยปากพูดด้วยความเสียใจว่า “หวาหรงจวิ้นจู่ เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่พระองค์คิด”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ” จู่ๆ หวาหรงจวิ้นจู่ก็หัวเราะออกมาราวกับคนคลุ้มคลั่ง “ไม่ใช่อย่างที่ข้าคิดอย่างนั้นหรือ? แล้วเป็นเช่นใดเล่า? ”
เสียงของนางทั้งเศร้าโศกและอ้างว้าง ภายในตำหนักเก่าแก่ที่เงียบสงบ เสียงนั้นดังสะท้อนขึ้นเป็นระลอก ดั่งบทเพลงแห่งความโศกเศร้า
สุดท้ายหวาหรงจวิ้นจู่ก็หัวเราะจนน้ำตานองหน้า “เสด็จย่า นี่คือวิธีการของท่านใช่หรือไม่? ช่างเป็นวิธีที่ต่ำทรามที่สุดในราชวงศ์ ตอนที่หม่อมฉันยังเด็ก พระสนมหยางของเสด็จพ่อเคยบอกกับหม่อมฉันว่า สตรีที่กำเนิดในราชวงศ์น่าสงสารมากที่สุด ทว่าข้าไม่เชื่อ วันนี้ข้าได้รับการสั่งสอนแล้ว
หลวงจีนทุศีลผู้นั้นเป็นชายชู้ของเสด็จแม่ ท่านสั่งให้ชายชู้ของเสด็จแม่ทำการหยามเกียรติและศักดิ์ศรีของหลาน ท่านต้องการแก้แค้นเสด็จแม่ เพราะเสด็จแม่เคยสังหารเยี่ยชง หลานรักของท่านใช่หรือไม่? ”
ในตอนนั้น ฮ่องเต้มีพระโอรสองค์หนึ่งพระนามว่า เยี่ยชง เป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลม พระชนมายุเพียงสามปีก็อ่านสี่ตำราห้าคัมภีร์ [1] ได้อย่างคล่องแคล่ว ห้าปีก็แตกฉานในพิชัยสงคราม ไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ แม้แต่ฮองเฮาก็ยังรักใคร่เขาเป็นพิเศษ
ทว่าน่าเสียดาย เขากลับสิ้นพระชนม์ในมือของฮองเฮา
“หวาหรง เจ้า… เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล… อย่าพูดจาเหลวไหล… ”
ไม่ว่าเรื่องหลวงจีนทุศีลที่เป็นชายชู้ของฮองเฮา หรือว่าการตายของเยี่ยชงที่ฮองเฮาเป็นผู้ทำร้าย ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องฉาวโฉ่ภายในราชวงศ์ ไม่ควรเปิดเผยแพร่งพรายออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายในตำหนักว่านโซ่วที่มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ของราชสำนักแคว้นจงหนิงมากมายมาร่วมงาน
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ” หวาหรงจวิ้นจู่หัวเราะเย็นชาแฝงความโศกเศร้า “พระองค์ไม่ต้องการให้หม่อมฉันพูด ทว่าหม่อมฉันจะพูดออกมาให้หมด พูดให้ทุกท่านที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้ยิน ให้พวกเขาได้รู้ว่า องค์ไทเฮาผู้สูงศักดิ์เหนือผู้ใดอย่างท่าน โหดร้ายเพียงใด
เหตุใดขาของเฉินไท่เฟยจึงพิการมากว่ายี่สิบปี ขุนนางทุกท่านคงไม่ทราบใช่หรือไม่? ในปีนั้นหมอหลวงตรวจไม่พบสาเหตุ ทว่าความจริง หัวหน้าหมอหลวงตรวจพบสาเหตุแล้ว แต่กลับถูกไทเฮา หรือก็คือฮองเฮาในตอนนั้นกดดัน จึงไม่กล้าทูลความจริง ทำได้เพียงพูดว่าเป็นโรคไขข้ออักเสบ แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะมีคนวางยาพิษเฉินไท่เฟย… ”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หวาหรงจวิ้นจู่ก็ไม่ได้พูดต่อ นางหยุดพูดครู่หนึ่ง
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ แม้เบื้องหลังเหตุการณ์ในปีนั้นพอจะมีผู้ที่ล่วงรู้อยู่บ้าง ทว่าผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่า วันหนึ่ง ความลับของราชวงศ์ที่โหดร้ายจะถูกเปิดเผยต่อหน้าทุกคน
“ในปีนั้น มีคนวางยาพิษเฉินไท่เฟย… ”
“หวาหรง เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล! ” หวาหรงจวิ้นจู่กำลังจะพูดออกมา ทันใดนั้น ไทเฮาก็ตรัสแทรกด้วยพระสุรเสียงดังก้อง
อย่างไรก็ตาม แม้ไทเฮาจะทรงมีความสามารถเพียงใด ทว่าพระองค์กลับไม่สามารถขัดขวางหัวใจสิ้นหวังราวกับเผาหยกดั่งหิน [2] ได้
“ผู้ที่วางยาพิษเฉินไท่เฟยคือเสด็จย่า! คือไทเฮาที่ผู้คนนับหมื่นต่างเคารพยำเกรงพระองค์นี้” หวาหรงจวิ้นจู่ชี้ไปทางไทเฮาด้วยใบหน้าจริงจัง
ทั้งผู้ที่ทราบและไม่ทราบเหตุการณ์ในปีนั้น ต่างพากันตกตะลึง
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่สำคัญมาก คิดว่าขุนนางทุกท่านคงยังไม่ทราบเป็นแน่” หวาหรงจวิ้นจู่ยังคิดจะพูดอีก
“รีบไป รีบไปอุดปากของนางเดี๋ยวนี้ รีบไป อย่าให้นางพูดจาเหลวไหลออกมาอีก! ไป! ”
ไทเฮาไม่สามารถทนนั่งอยู่บนที่ประทับได้แล้ว พระองค์พอจะเดาได้ว่าหวาหรงจวิ้นจู่จะพูดอันใดออกมา จึงรีบรับสั่งขันทีที่ยืนข้างพระวรกาย
ขันทีเพิ่งเดินมาได้เพียงสองก้าว ตะเกียบข้างหนึ่งก็กระแทกไปที่ขาของขันทีผู้นั้นเสียงดัง ‘เพียะ’ ขันทีมองเยี่ยโยวเหยาที่ลงมือด้วยสายตาตกตะลึง และหมดสติไปในที่สุด
หากเยี่ยโยวเหยาไม่อนุญาต ทุกคนในสถานที่แห่งนี้ก็ห้ามขยับ
……
เชิงอรรถ
[1] สี่ตำราห้าคัมภีร์ ตำราทั้งสี่เล่ม(四书) ประกอบด้วย《大学》(ต้าเสวีย)-ตำราแห่งอุดมศึกษา《中庸》(จงยง)-ตำราคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง《论语》(หลุนอี่ว์)-ตำราบันทึกคำสอนระหว่างขงจื่อกับศิษย์ และ《孟子》(เมิ่งจื่อ)-ตำราบันทึกคำสอนระหวางเมิ่งจื่อกับศิษย์ ส่วนคัมภีร์ทั้งห้า(五经) ประกอบไปด้วย อี้จิง (易经)-คัมภีร์ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงแห่งธรรมชาติ ซือจิง (诗经)-คัมภีร์ว่าด้วยลำนำบทกวี ซูจิง (书经)-คัมภีร์ว่าด้วยประวัติศาสตร์ หลี่จี้ (礼记)-คัมภีร์ว่าด้วยจารีตประเพณี มารยาทกฎเกณฑ์ต่างๆ และชุนชิว (春秋)-คัมภีร์ว่าด้วยบันทึกพงศาวดาร เหตุการณ์สำคัญ
[2] เผาหยกดั่งหิน (อวี้สือจวี้เฝิน) เป็นสุภาษิตจีน ความหมายคือ นำหยกที่เป็นของสูงค่าไปเผารวมกับหินที่เป็นของด้อยค่า แน่นอนว่าย่อมทำให้หยกสูญเสียความงดงามหรือย่อยยับลงได้ เปรียบเปรยถึงการไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดี จนทำให้ของสูงค่าเสียหายมอดม้วย คล้ายสุภาษิตไทยที่ว่า เอาทองไปรู่กระเบื้อง เอาพิมเสนไปแลกเกลือ