สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 33 เจ้าไปให้พ้นหน้าได้แล้ว

        “สาย… สายลับหรือเพคะ? ”

        ซูจิ่นซีโมโหขึ้นมาเล็กน้อย

        “ท่านอ๋อง หยุดทะเลาะกันดีหรือไม่เพคะ? ท่านเคยเห็นสายลับผู้ใดเหมาะสมกับตำแหน่งเท่าข้าอีกหรือไม่? ขาดทุนกับชีวิตการแต่งงานของตนเอง ทั้งยังสามารถถอนพิษให้ท่านอย่างหนักเอาเบาสู้เช่นนี้ด้วย? ”

        ซูจิ่นซีเห็นว่าสีหน้าท่าทางบนใบหน้าของเยี่ยโยวเหยายังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง และยังไม่มีแนวโน้มที่จะเอนเอียงไปตามคำพูดของตน “ท่านอ๋อง อีกสิ่งหนึ่ง ในเมื่อหม่อมฉันสามารถถอนพิษได้ก็สามารถวางยาพิษได้เช่นกัน โดยทั่วไปแล้วผู้เชี่ยวชาญในเรื่องพิษจะไม่ปรากฏตัวระหว่างฆ่าคน ท่านไม่เข้าใจพิษ ถ้าหม่อมฉันอยากจะฆ่าท่านก็ลงมือทำไปนานแล้ว เหตุใดยังให้โอกาสท่านบีบคอซักถามหม่อมฉันถึงสามครั้งห้าครั้งอยู่เช่นนี้? ”

        “ข้าเองก็ส่งคนไปสืบดูแล้ว สกุลซูสืบทอดการแพทย์โดยส่งต่อไปยังรุ่นสู่รุ่นเป็นหลัก เนื่องจากวิชาพิษกลายเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ ในเมื่อเจ้าเป็นคนในสกุลซูแล้วเจ้าไปเรียนวิชาพิษจากที่ใดมา? ความจริงแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่? ”

        เยี่ยโยวเหยาบีบคอของซูจิ่นซีด้วยแรงที่เพิ่มขึ้น เพื่อแสดงถึงอำนาจคุกคาม

        “ท่านอ๋อง ผู้ใดบอกท่านว่า ผู้ที่สามารถแก้พิษได้จะต้องเป็นคนเลวกันเพคะ? แท้จริงแล้วการแก้พิษก็เป็นส่วนหนึ่งของศาสตร์ในทางการแพทย์เช่นกัน เพียงแต่ศาสตร์นี้ไม่รวมอยู่ในการศึกษาแนวทางที่ถูกต้องของยาก็เท่านั้น ข้าเพียงทำนอกเหนือจากนั้นก็เท่านั้นเอง”

        “หึ พูดมาเช่นนี้ สุดท้ายเป็นข้าเองที่ใส่ความเจ้า? ”

        เยี่ยโยวเหยาพ่นลมหายใจอย่างเย็นชาออกมาครั้งหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ

        เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซูจิ่นซีเดาได้แล้วว่าเยี่ยโยวเหยาจะถามสิ่งใดต่อไป นางจึงถือโอกาสอธิบายทุกอย่างพร้อมกันเสียเลย

        “อันที่จริงก็ไม่ถือว่าท่านอ๋องใส่ความหม่อมฉัน ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไม่สามารถเรียนแพทย์ได้เพราะความเจ็บป่วย สกุลซูมองว่าเป็นความอัปยศและผู้คนต่างกล่าวขานว่าการแพทย์ของหม่อมฉันไร้ประโยชน์ นอกจากนี้หม่อมฉันเองก็ไม่เคยสืบต่อทักษะทางการแพทย์ใดๆ จากสกุลซู ที่ท่านอ๋องและผู้คนล้วนไม่เชื่อว่าหม่อมฉันมีทักษะทางการแพทย์นั้นก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผลดีเพคะ”

        “ในเมื่อสกุลซูไม่ได้สอนทักษะแพทย์ให้เจ้า แล้วตัวเจ้าเรียนรู้ทักษะแก้พิษนี้มาจากที่ใด? ”

        ซูจิ่นซีรู้ว่าอย่างไรเสียเยี่ยโยวเหยาจะต้องถามต่อเช่นนี้ ในใจนึกชื่นชมไม่น้อย หากจะให้พูดละก็ แท้จริงแล้วนางได้วางโครงเรื่องในใจไว้อธิบายเรียบร้อยแล้ว

        “คุณชายผู้หนึ่งชื่อหรงจากเทียนอีกู่แอบสอนข้าอย่างลับๆ เขาเตือนข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับผู้ใดทั้งนั้น ท่านอ๋อง วันนี้หากเพราะไม่ใช่ท่านที่สงสัยหม่อมฉัน เรื่องนี้ให้ตายอย่างไรหม่อมฉันก็ไม่มีทางที่จะพูดอย่างแน่นอนเพคะ”

        “ท่านชายหรงแห่งเทียนอีกู่? ”

        ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาหรี่ลงช้าๆ

        “เหตุใดเขาจึงต้องสอนวิชาแพทย์ให้กับคนโง่เขลาอย่างเจ้าด้วย? ”

        โถ่เอ้ย อย่าดูถูกผู้อื่นเช่นนี้สิ!

        คนโง่ นั่นล้วนเป็นเรื่องของเจ้าของร่างเดิม ตอนนี้นางโง่เสียที่ไหนกันเล่า?

        ทว่าสิ่งเหล่านี้ แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บปวด โมโห ซูจิ่นซีก็ทำได้เพียงข่มกลั้นเอาไว้ในใจ

        สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือการกำจัดความสงสัยของเยี่ยโยวเหยาทิ้งเสีย

        “ตอนนั้นหม่อมฉันยังเป็นเด็ก คุณชายหรงบอกแต่เพียงว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับท่านแม่ของหม่อมฉัน จึงได้สอนทักษะการแพทย์ให้แก่หม่อมฉันเพื่อทำตามความปรารถนาสุดท้ายของท่านแม่ สิ่งอื่นก็ไม่ได้พูดอันใดอีก และไม่ให้หม่อมฉันถามอีกเช่นกัน ตอนนั้นหม่อมฉัน… สติปัญญาของหม่อมฉันไม่ฉลาดสักเท่าใดนัก แม้ว่าจะเรียนได้แต่ก็ไม่ค่อยบรรลุมากนัก จนกระทั่งบัดนี้ เรื่องนี้…หลังจากสติฟื้นคืนมา หม่อมฉันก็สามารถย้อนความทรงจำที่คุณชายเคยสั่งสอนเนื้อหาทั้งหมดไว้และสามารถเข้าใจมันได้อย่างไรเล่าเพคะ! ”

        แววตาอันสดใสของซูจิ่นซีดูจริงใจเป็นอย่างมาก

        “เทียนอีกู่ไม่ใช่สถานที่ธรรมดาทั่วไป ในเมื่อคนแซ่หรงเป็นผู้สอนเจ้าด้วยตนเอง เหตุใดจึงต้องสอนวิธีแก้พิษให้เจ้าเพียงอย่างเดียว? ”

        ความคิดของเยี่ยโยวเหยารอบคอบเป็นอย่างมาก บีบเค้นทีละนิดๆ ไม่ว่าจะสงสัยสิ่งใดก็ตามไม่เคยที่จะปล่อยผ่านไป ซูจิ่นซีล้วนเหงื่อตกเมื่อถูกถามเช่นนั้น

        “ท่านอ๋อง เทียนอีกู่เก่งกาจหรือเพคะ? นั่นเป็นสถานที่แบบใดกัน? ดูเหมือนว่าท่านจะรู้จักคุณชาย คณชายและเทียนอีกู่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรหรือเพคะ? ”

        ซูจิ่นซีถามความจริงอย่างตรงไปตรงมา นางไม่รู้จริงๆ จึงถามออกไปเช่นนั้น

        เพียงแต่ไม่มีสิ่งใดไม่เหมาะสม เจ้าของร่างเดิมเคยโง่เขลามาก่อน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

        เยี่ยโยวเหยาทนไม่ไหว ปล่อยมือที่บีบคอซูจิ่นซีออก

        “ทางที่ดีเจ้าอย่าเป็นจารชนเลย มิฉะนั้นข้าจะเป็นผู้ที่ทำให้เจ้าตายทั้งเป็น”

        เมื่อไม่มีเรื่องบังคับขืนใจให้พูดแล้ว ในที่สุดซูจิ่นซีก็สามารถหายใจได้อย่างโล่งอก

        นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีสนทนากันมากมายถึงเพียงนี้ ทว่ากลับทำให้ซูจิ่นซีรู้สึกว่าเท้าข้างหนึ่งของนางกำลังก้าวเข้าประตูนรกอีกครั้ง

        ไม่ว่าเยี่ยโยวเหยาจะพูดกับนางมากเพียงใด นับว่าผ่านด่านนี้ไปได้ชั่วคราว

        ส่วนคุณชายหรงนั้น ซูจิ่นซีเคยได้ยินเรื่องจากปากของลวี่หลีมาสองคราแล้ว เมื่อครู่เพียงแค่ดึงมาเป็นแพะรับบาปร่วมกันชั่วคราว ทว่าก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด คาดไม่ถึงว่าคุณชายหรงที่อยู่ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ล้วนหาความน่าประทับใจใดๆ ไม่พบเลย

        “มองกระไรอยู่? ”

        เยี่ยโยวเหยาถามอย่างใจเย็น

        ซูจิ่นซีถอนหายใจออกมาอย่างเต็มที่ สุดท้ายก็กลับมาที่หัวข้อเดิม

        “ท่านอ๋อง ร่างกายของท่านมีพิษทั้งหมดถึงสามสิบหกชนิด มีบางส่วนที่เพิ่งโดนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ บางส่วนก็อยู่ในตัวท่านมานานแล้ว ท่านดูสิเพคะ หม่อมฉันได้จัดประเภททั้งหมดออกมาให้ท่านแล้ว”

        ซูจิ่นซีถือรายการที่ตนจัดประเภทอย่างดีออกมา อธิบายให้เยี่ยโยวเหยาฟังอย่างละเอียด

        “พิษเหล่านี้ เจ้าสามารถแก้มันได้หรือไม่? ”

        เยี่ยโยวเหยาเลิกคิ้ว ถามซูจิ่นซีด้วยความสงสัย

        “เพียงแค่ท่านอ๋องสามารถหาเครื่องปรุงยาจีนที่หม่อมฉันต้องการมาได้ การแก้พิษส่วนใหญ่ก็มิใช่ปัญหาเลยเพคะ เพียงแต่พิษนี้เรียกว่าพิษดูดเลือด มันค่อนข้างยุ่งยาก ขอเวลาให้หม่อมฉันศึกษาอย่างละเอียดสักหน่อยเพคะ”

        ซูจิ่นซีรู้สึกเสียดายเล็กน้อย

        แสงนัยน์ตาของเยี่ยโยวเหยาหม่นลงทันที พูดอย่างไม่เชื่อเล็กน้อย “คาดไม่ถึงว่าเจ้ารู้จักพิษดูดเลือด? ”

        ซูจิ่นซียิ้มอย่างภาคภูมิใจ “พอรู้อยู่บ้างเพคะ ทว่าก็ไม่ได้เข้าใจทั้งหมด เพียงแต่เคยอ่านเจอในหนังสือโบราณเล่มหนึ่งมาก่อนเพคะ”

        สายตาของเยี่ยโยวเหยาดูแปลกใจแวบหนึ่ง เพียงแต่ซูจิ่นซีไม่ทันได้สังเกต

        “ในเมื่อแก้ได้ ก็ลำดับเครื่องปรุงยาจีนที่ต้องการออกมาเสีย! ”

        เมื่อเผชิญหน้ากับท่าทางที่ยังคงเย็นชาของเยี่ยโยวเหยา ก้นบึ้งในใจของซูจิ่นซีก็รู้สึกหดหู่

        พิษมากมายเพียงนี้ ไม่ใช่ว่าหมอธรรมดาจะสามารถวินิจฉัยออกมาได้ทั้งหมด และก็ไม่ใช่ว่าหมอธรรมดาจะมีวิธีแก้พิษได้ โดยเฉพาะพิษดูดเลือด ยิ่งเมื่อฟังคำพูดของเยี่ยโยวเหยาก็จะเข้าใจได้ว่ามิใช่เรื่องที่หมอธรรมดาจะสามารถรู้ได้

        ทว่าความสามารถที่ล้ำเลิศของนาง คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะไม่มีแม้แต่คำพูดชื่นชมหรือรางวัล

        ช่างน่าน้อยใจเสียจริง!

        ซูจิ่นซีตำหนิเยี่ยโยวเหยาอยู่ในใจ พลางกล่าวตอบรับอย่างสุขุมเยือกเย็นไม่มีท่าทีแสดงถึงความหวาดกลัวใดๆ นางเริ่มนั่งวิเคราะห์ยาพิษแต่ละชนิดอย่างตั้งใจ และยิ่งกว่านั้นคือลำดับประเภทเครื่องปรุงยาจีนที่จำเป็นออกมาทีละอย่าง

        พิษสามสิบหกชนิด พิษแต่ละชนิดที่สอดคล้องกันก็เขียนสั่งยาไว้ด้วยกัน แม้แต่ยาพิษบางอย่างก็ส่งผลกระทบต่อกันภายในร่างกาย ซูจิ่นซีจำเป็นต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบและระบุลำดับในใบสั่งยาให้รวมกันอย่างครอบคลุม

        หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ซูจิ่นซียังคงก้มหน้าก้มตาอยู่กับงานของตน

        เดิมทีเยี่ยโยวเหยาที่รออย่างเบื่อหน่าย ก็โมโหขึ้นมา ตั้งใจที่จะถามซูจิ่นซีว่าเมื่อใดจึงจะเสร็จสิ้น ทว่านึกขึ้นได้ถึงท่าทางของซูจิ่นซีเมื่อนางตรวจชีพจรให้กับตน ไม่รู้เหตุใด ทันใดนั้นอารมณ์ก็ค่อยๆ สงบลงอีกครั้ง

        ดวงตาสีดำเข้มที่ลึกซึ้งคู่หนึ่งหยุดค้างอยู่ที่ซูจิ่นซีซึ่งกำลังทำงานอย่างตั้งใจโดยบังเอิญ

        ไม่ถือว่าเตี้ยและไม่ถือว่าสูง ความสูงพอดิบพอดี ผิวสะอาดเรียบเนียน รูปลักษณ์สวยงาม อารมณ์ดี ท่าทางที่จริงจังตั้งใจกับใบสั่งยาในมือนั่น ประหนึ่งว่าละทิ้งทุกสิ่งที่ไม่เข้าหูและตาของนาง ตัดขาดจากโลกภายนอก ทุกการเคลื่อนไหวของโลกภายนอกล้วนไม่สามารถเข้าไปในโสตประสาทการรับรู้ของนางได้

        ท่าทางเช่นนั้น ไม่ได้ถือว่าดีงามจนเกินคำบรรยาย สามารถทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นกับตาเป็นครั้งแรกรู้สึกราวกับแสงสว่างไสว สามารถทำให้ผู้ที่จ้องมองนานๆ ลืมตาขึ้นมาได้อีก

        เส้นผมที่นุ่มชุ่มชื้นและพลิ้วไสวกระจายตัวตามแก้มชมพูระเรื่อซึ่งประดับไปด้วยเม็ดเหงื่อโปร่งแสง เยี่ยโยวเหยาจ้องมองอย่างใจลอยอีกครั้ง

        ซูจิ่นซีตั้งใจทำงาน ไม่เห็นแม้แต่แววตาของเยี่ยโยวเหยา

        หลังจากนั้นไม่นาน สติของเยี่ยโยวเหยาก็กลับมา ร่างกายรู้สึกหงุดหงิดขึ้นเล็กน้อยจึงเดินเข้าไปยังห้องด้านใน

        คนยังเดินไปได้ไม่ไกล ซูจิ่นซีก็วางพู่กันในมือของนางลง เงยหน้ามองขึ้นมาอย่างเบิกบานใจ

        “ท่านอ๋อง ทำให้ท่านรอนานแล้วเพคะ หม่อมฉันได้ระบุลำดับเครื่องปรุงยาจีนที่จำเป็นทั้งหมดออกมาแล้ว รวมทั้งหมดหนึ่งร้อยสามสิบแปดชนิด ส่วนใหญ่หาได้ไม่ยาก ทว่ามีอยู่สองถึงสามชนิดที่หายากสักหน่อย หม่อมฉันได้ทำเครื่องหมายไว้ให้แล้วเพคะ”

        โดยธรรมชาติแล้วซูจิ่นซีไม่สามารถมอบใบสั่งยาให้แก่เยี่ยโยวเหยาได้ หลังจากศึกษาใบสั่งยาสำหรับการถอนพิษเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงระบุเครื่องปรุงยาจีนที่จำเป็นแยกออกมาต่างหากอีกหนึ่งชุด แล้วยื่นให้เยี่ยโยวเหยาเพียงใบแสดงรายละเอียดลำดับการสั่งยาเท่านั้น

        ด้วยความผิดหวังที่ผ่านมา ซูจิ่นซีจึงไม่คาดหวังที่จะได้รับรางวัลอันใดจากเยี่ยโยวเหยาแล้ว ทว่าคิดไม่ถึงว่าแม้แต่ใบเครื่องปรุงยาจีนที่ซูจิ่นซีถือในมือ เยี่ยโยวเหยาก็ไม่เอาใจใส่ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่หยุดก้าวเดินและไม่หันมามองด้วยซ้ำ กลับเดินตรงเข้าไปยังห้องด้านในทันที

        “เก็บใบสั่งยาไว้ เจ้าไปให้พ้นได้แล้ว! ”

        อ่าวเฮ้ย!

        เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล [1]เช่นนี้เลยหรือ?

        ซูจิ่นซีที่เต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจในความรู้สึกเบิกบานใจและความสำเร็จในผลงาน ทว่าในชั่วพริบตากลับมีความรู้สึกราวกับถูกตีกลางแสกหน้า รู้สึกเหมือนศีรษะถูกราดด้วยน้ำเย็น

        ซูจิ่นซีกำใบสั่งเครื่องปรุงยาจีนในมือแน่นอย่างช้าๆ

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset