สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 38 ยอมตายดีกว่ามีชีวิตอยู่

    “ซูจิ่นซี เจ้ารู้ชะตากรรมของการหลอกลวงข้าหรือไม่? ”

        เมื่อได้เห็นชะตากรรมของหมอหลวงฉู่ด้วยตาของนางเอง ประกอบกับชื่อเสียงเลื่องลือของเยี่ยโยวเหยาที่โหดร้ายและอำมหิตด้วยแล้ว ซูจิ่นซีจะไม่รู้ได้อย่างไรเล่า

        ทว่าแววตาของนางที่มองไปที่เยี่ยโยวเหยาแสดงเจตจำนงเด็ดเดี่ยวไม่เปลี่ยนแปลงและหนักแน่น

        “หม่อมฉันไม่เข้าใจว่าท่านอ๋องพูดอันใดเพคะ ทว่าหากต้องการจะถอนพิษในตัวของเสด็จแม่ จำเป็นจะต้องใช้บัวหิมะเทียนซาน”

        “หากข้าไม่อนุญาตให้รักษาไท่เฟยเล่า? ”

        ซูจิ่นซียิ้มเบาๆ ที่มุมปากของนาง ราวกับสตรีอ่อนช้อย“ไท่เฟยคือเสด็จแม่ของท่านอ๋อง รักษาหรือไม่ อำนาจก็อยู่ในมือของท่านอ๋อง แน่นอนว่าท่านมีสิทธิในการตัดสินใจ ทว่าซู่เฉินเชี่ย [1] ขอบังอาจกล่าวเพิ่มว่า หากยาพิษบนตัวของเสด็จแม่ไม่หมดไปโดยเร็วที่สุด พิษนั้นก็จะสามารถแพร่กระจายได้จนทำให้อาจสวรรคตได้ทุกเมื่อ เมื่อถึงเวลานั้นแม้ว่าเทพเซียนต้าหลัวหรือเทพยดาลงมาโปรด ก็หมดซึ่งหนทางแก้ไข”

        ซูจิ่นซีรู้ว่าเยี่ยโยวเหยาปฏิบัติต่อเฉินไท่เฟยอย่างเย็นชาไม่ต่างจากผู้อื่น ทว่านางก็ไม่เชื่อว่าเยี่ยโยวเหยาจะไม่สนใจชีวิตของเฉินไท่เฟยจริงๆ

        “ซูจิ่นซี บัวหิมะเทียนซานนั้นพรุ่งนี้ข้าจะเป็นคนนำมาให้เจ้ากับมือ ทว่าหากไท่เฟยยังเดินไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าอะไรที่เรียกว่าตายดีกว่ามีชีวิตอยู่”

        เยี่ยโยวเหยาพูดแล้วหันกลับเดินไปที่ห้องโถงใหญ่

        ลมหายใจที่กดดันเหนือศีรษะของนางก็ถอนตัวออกไปในทันที ซูจิ่นซีถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ทว่าในขณะเดียวกันภายในใจของนางก็รู้สึกว่างเปล่าอย่างอธิบายไม่ได้

        ภายใต้แสงแดดที่ส่องประกาย ซูจิ่นซีมองไปยังแผ่นหลังของเยี่ยโยวเหยาที่ทรงพลังงดงามไร้ที่ติใด และเดินตามเขากลับไปที่ห้องโถงใหญ่

        “ถ่ายทอดคำสั่ง คืนนี้ข้ากับซู… พระชายาจะอยู่ที่หนานย่วนชั่วคราว! ”

        เยี่ยโยวเหยานั่งลงบนที่นั่งแล้วออกคำสั่งเสียงเย็น

        เหล่าข้ารับใช้เมื่อได้รับคำสั่งก็รีบไปจัดเตรียมความพร้อม

        เว่ยเหม่ยเจียได้ยินที่เยี่ยโยวเหยาพูดเช่นนั้น ก็เต็มไปด้วยความสุข

        “เสด็จพี่ ท่านทรงอยากเสวยสิ่งใดเพคะ? เว่ยเหม่ยเจียจะไปทำให้ท่านด้วยตนเองเพคะ”

        “เสด็จพี่ ท่านจะอยู่ที่เรือนหนานหลีหรือไม่เพคะ? ข้าจะได้เรียกนางกำนัลให้ไปทำความสะอาด”

        “เสด็จพี่ อาการป่วยของเสด็จป้าท่านไม่ต้องเป็นห่วงนะเพคะ คนดีสวรรค์ย่อมต้องคุ้มครอง เสด็จป้าจะต้องไม่เป็นอันใดอย่างแน่นอนเพคะ”

        น่าเสียดาย เยี่ยโยวเหยาเพียงมองเว่ยเหม่ยเจียเป็นอากาศ ไม่ได้พูดสิ่งใดกับนางเลยสักคำ ทว่านางก็ยังอดทน ฆ่าไม่ยอมตายเช่นเดียวกับแมลงสาบอย่างไรอย่างนั้น นางไม่รู้สึกเก้อเขินเลยแม้แต่น้อย และก็ไม่ได้รู้สึกไม่เหมาะสมอันใดด้วยเช่นกัน พูดเป็นต่อยหอยไม่พักสนทนากับเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่รู้จบ

        ซูจิ่นซีรู้สึกได้ในทันทีเลยว่าเด็กผู้นี้ก็น่าสงสารอยู่เหมือนกัน

        การรักใครสักคนจะต้องใช้ความกล้าหาญมากมายเพียงใด หลังจากถูกอีกฝ่ายเหยียบย่ำหัวใจจนหมดสิ้นไร้ซึ่งความปราณี ทว่านางยังสามารถก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจสิ่งใดได้

        หากลองกลับกันในสถานการณ์เดียวกันนี้ ซูจิ่นซีคงทำไม่ได้อย่างแน่นอน

        เฉินไท่เฟยไม่มีอาการอาเจียนเป็นโลหิตแล้ว ผื่นแดงที่เกิดจากการแพ้ผงหลูเกินก็ลดลงแล้วเช่นกัน เพียงแต่ยังไม่ได้สติก็เท่านั้น

        หลังจากทานอาหารเย็นเยี่ยโยวเหยาก็ต้องการไปพักผ่อนที่เรือนหนานหลี เนื่องจากไม่มีผู้ใดบอกซูจิ่นซีว่านางควรจะพักอาศัยอยู่ที่ใด นางจึงแอบตัดสินใจว่าจะอยู่ในห้องประทับของเฉินไท่เฟย เพื่อที่จะสามารถสังเกตอาการของเฉินไท่เฟยได้ทุกเวลา และระหว่างนั้นก็เตรียมยาสมุนไพรเพื่อรอถอนพิษให้กับเฉินไท่เฟย

        เยี่ยโยวเหยาเดินไปถึงหน้าประตู เมื่อเห็นว่าซูจิ่นซีไม่ขยับ จึงโกรธขึ้นมาทันที “ซูจิ่นซี เจ้ายังไม่ไปอีก? ”

        “เพคะ?” ซูจิ่นซีงง “ไปที่ใดเพคะ? ”

        ซูจิ่นซีรู้สึกถึงความโกรธของเยี่ยโยวเหยา จึงตระหนักขึ้นมาได้ว่าเยี่ยโยวเหยาจะให้นางไปด้วยกันกับเขา

        ถึงแม้ว่าเยี่ยโยวเหยาโตมาอย่างสมบูรณ์แบบและไม่มีผู้ใดเทียบได้ ทว่าซูจิ่นซีก็ไม่กล้าที่จะอยู่ด้วยกันกับเขาจริงๆ

        “คือว่า ท่านอ๋อง ไท่เฟยยังไม่พ้นอันตรายเสียทีเดียว คืนนี้ให้หม่อมฉันอยู่เฝ้าพระนางเถิดเพคะ! ท่านอ๋องเสด็จไปที่เรือนหนานหลีเพื่อพักผ่อนเถิด ไม่ต้องห่วงหม่อมฉันเพคะ”

        เยี่ยโยวเหยาไม่ได้เอ่ยสิ่งใด หันหลังเดินห่างออกไป แม้แต่ประโยคที่ให้ทำตามแผนที่วางไว้ของซูจิ่นซีก็ล้วนไม่ทันได้กำชับข้ารับใช้

        เมื่อมองเงาด้านหลังของเยี่ยโยวเหยาที่กำลังออกไป ซูจิ่นซีก็จัดการกับความรู้สึกภายในใจ นางถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก และเดินเข้าไปในห้องด้านในของเฉินไท่เฟยอย่างผ่อนคลาย

        ในใจของเว่ยเหม่ยเจียคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรให้ได้เข้าไปใกล้เยี่ยโยวเหยา ในเวลานี้นางพยายามที่จะอยู่รอบตัวเยี่ยโยวเหยา ไม่มีความคิดที่จะรบกวนซูจิ่นซีเลย ซูจิ่นซีสั่งข้ารับใช้ทั้งหมดให้ออกไป แล้วเปิดระบบถอนพิษ นางตรวจสอบร่างกายเฉินไท่เฟยทั้งหมดอย่างละเอียด หลังจากยืนยันว่าร่างกายของเฉินไท่เฟยมีเพียงพิษกระดูก ไม่มีพิษอื่นใดที่นางและระบบถอนพิษหาไม่พบแล้ว นางจึงนำวัตถุดิบยาออกมาจากระบบถอนพิษและเริ่มจัดวางของรอบๆ

        ในกลางดึกเมื่อเสียงผู้คนเงียบลง ซูจิ่นซีได้ศึกษาและทำการผลิตยาสองเม็ดให้เฉินไท่เฟยเสวย หลังจากนั้นจึงหยิบเข็มเงินออกมาและเริ่มฝังเข็มให้เฉินไท่เฟย

        แท้จริงแล้วซูจิ่นซีสามารถถอนพิษกระดูกให้เฉินไท่เฟยได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้บัวหิมะเทียนซาน ยาสมุนไพรที่จำเป็นในการใช้ถอนพิษนั้นในระบบถอนพิษของซูจิ่นซีล้วนมีทั้งหมด ยาสองเม็ดที่นางให้เฉินไท่เฟยทานเป็นยาแก้พิษที่นางศึกษาและทำการผลิตขึ้น พิษที่เหลืออยู่ในร่างกายของเฉินไท่เฟยจะต้องได้รับการรักษาโดยการฝังเข็มอีกสองสามครั้งจากซูจิ่นซีจึงจะสามารถหายเป็นปกติ

        ที่ต้องการบัวหิมะเทียนซานมาทำเป็นยานำหลักจริงๆ แล้วเป็นเพียงข้ออ้างที่จะใช้แก้แค้นเยี่ยเซินไท่จื่อเท่านั้น

        ถึงแม้ว่านางจะข้ามภพมาจากโลกอนาคต ทว่าวิญญาณเท่านั้นที่ข้ามภพมา ร่างกายนี้ยังคงดำเนินตามความคิดเจ้าของร่างเดิม ซึ่งเจ้าของร่างเดิมไม่สามารถลืมสิ่งที่เยี่ยเซินทำกับนางให้เจ็บช้ำและอัปยศอดสูได้ แล้วก็เป็นไปมิได้ที่จะไม่เกลียดเลยเช่นกัน

        ประมาณหนึ่งชั่วยามต่อมา ซูจิ่นซีได้ใช้เข็มทองเพื่อบังคับพิษที่ขาของเฉินไท่เฟยไปที่ข้อเท้า เพียงแค่เจาะด้วยเข็มเงินเบาๆ โลหิตพิษก็สามารถไหลออกมาได้

        ซูจิ่นซีรีบเช็ดทำความสะอาดโลหิตพิษ จัดการเก็บกวาดคราบโลหิต และทาแผลด้วยผงยาที่ทำให้เนื้อเยื่อเติบโตอย่างรวดเร็วโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ

        เช้าวันรุ่งขึ้น เยี่ยโยวเหยาที่ไม่ได้ขึ้นราชสำนักมานานคาดไม่ถึงว่าจะปรากฏตัวที่ราชสำนัก และยิ่งไปกว่านั้นยังนำศพของหมอหลวงฉู่หลังจากถูกถลกหนังตัดเส้นเอ็นมาด้วย

        ไม่รู้ว่าใช้วิธีการใด ตอนเที่ยงก็สามารถนำบัวหิมะเทียนซานมาได้อย่างตรงเวลา และยิ่งกว่านั้นยังส่งให้ถึงมือของซูจิ่นซีอีกด้วย

        “ท่านอ๋อง หม่อมฉันต้องการที่จะถอนพิษให้ไท่เฟยเพคะ ต้องการสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ ทั้งยังต้องขอให้ท่านอ๋องและผู้อื่นรออยู่ด้านนอกห้องก่อนนะเพคะ”

        ซูจิ่นซีปฏิเสธที่จะให้ผู้ใดเข้าไปในห้องของเฉินไท่เฟย มีเพียงแค่นางกับเฉินไท่เฟยสองคนเท่านั้นที่เข้าไปอยู่ในห้องได้

        อันที่จริงพิษบนร่างกายของเฉินไท่เฟยถูกถอนพิษไปจนเกือบจะหมดแล้วเมื่อคืนที่ผ่านมา ทว่าในตอนนี้เหตุผลที่นางเข้ามาในห้องชั้นในเพียงลำพังประการแรกคือเพื่อทำการถอนพิษ ประการที่สองสำคัญที่สุดคือ นางจะสามารถคิดวิธีกลืนกินกิ่งบัวหิมะเทียนซานนี่คนเดียวได้อย่างไร

        นี่มันบัวหิมะเทียนซานที่สดใหม่!

        มันเป็นยาสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเฟิงซือกู่ [2] อันล่ำค่าเลยทีเดียว

        ในยุคปัจจุบัน แม้จะพบได้มากในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ทว่าดอกบัวหิมะส่วนใหญ่ในตลาดได้รับการบ่มเพาะขึ้นมาเองทั้งนั้น บัวหิมะที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและการเก็บรักษาให้สดใหม่เช่นนี้นั้นหาได้ยากยิ่งนัก

        น่าเสียดายที่ในร่างกายของซูจิ่นซีไม่มีช่องว่างให้เก็บสะสม ไม่มีวิธีที่สามารถซ่อนดอกบัวหิมะได้ แม้จะมีระบบถอนพิษ ทว่านางก็ยังเป็นคนแรกที่ไม่ชอบระบบถอนพิษที่ไม่มีระบบการจัดเก็บ มิเช่นนั้นละก็ นางก็คงจะรวมบัวหิมะเก็บเข้าระบบถอนพิษไปนานแล้ว

        ก่อนหน้านี้นางเคยฟังที่ผู้เฒ่าถังเหมินเหล่านั้นพูดกันที่ว่า ระบบถอนพิษนี้จะมีระบบการจัดเก็บได้ก็ต่อเมื่อฝึกฝนถึงระดับหนึ่ง ทว่าตอนนี้น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟอยู่ดี!

        จากนั้นซูจิ่นซีจึงได้คิดวิธีการสุรุ่ยสุร่าย ที่จะศึกษาและทำการผลิตดอกบัวหิมะให้เป็นผง เพื่อที่จะซ่อนไว้ในแขนเสื้อชั่วคราว

        นางพึ่งเก็บมันไว้ ยังไม่มีเวลาทันได้ทำความสะอาดถ้วยใบเล็กที่ใช้แล้ว เว่ยเหม่ยเจียก็เปิดประตูเข้ามา

        “พี่สะใภ้ ท่านทำเสียงกุกกุกกักกักกระไรอยู่หรือเพคะ? เสียงดังจริงเชียว! ”

        ในเวลานี้เอง จากมุมของเยี่ยโยวเหยาก็ทันได้เห็นซูจิ่นซีรีบนำสิ่งของบางอย่างใส่ไว้ในแขนเสื้อของนาง

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset