สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 41 รักษาสิ่งนั้นได้หรือไม่

        “ซูจิ่นซี ไม่ว่าเจตนาของเจ้าคือสิ่งใด ข้าจะไม่ให้เจ้าทำมันได้สำเร็จ จะไม่ยอมรับเจ้าในฐานลูกสะใภ้ตลอดไป”

        ซูจิ่นซีทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งใด มือวางเป็นระเบียบ มุมปากยิ้มด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นอ่อนโยน

        “เสด็จแม่ ท่านลองดูสิเพคะ ตอนนี้ขาทั้งสองข้างของท่านมิใช่ว่าดูยืดหยุ่นขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากหรือเพคะ? ”

        เฉินไท่เฟยมองไปที่ซูจิ่นซีอย่างไม่ค่อยเชื่อเสียเท่าไร

        ซูจิ่นมองนางด้วยแววตาที่ให้กำลังใจ

        เฉินไท่เฟยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง นางเพ่งความสนใจทั้งหมดไว้กับขาของตน ใช้แรงทั้งร่างขยับขาอย่างจดจ่อ คาดไม่ถึงว่าปาฏิหาริย์จะปรากฏขึ้นได้จริง……

        ยี่สิบปีที่ผ่านมาขาทั้งสองของนางไม่เคยรู้สึกมาก่อน ไม่คิดจริงๆ ว่าจะสามารถขยับได้เล็กน้อยแล้ว

        ถึงแม้ว่าขอบเขตของการขยับจะได้ไม่มากนัก ทว่าความรู้สึกของเฉินไท่เฟยเห็นชัดเจนว่าขาทั้งสองข้างนี้ของตนเองมีโลหิตอุ่นๆ กำลังไหลเวียนอยู่ และเริ่มรู้สึกได้ทีละนิด

        “ขยับแล้ว สามารถขยับได้แล้ว ขยับได้แล้วจริงๆ … ”

        เฉินไท่เฟยลิงโลดด้วยความดีอกดีใจ ความประหลาดใจและความสุขทั้งหมดปรากฏอยู่บนใบหน้าของนางอย่างชัดเจน

        ซูจิ่นซีแนบสองมือประกบกันอย่างภูมิใจยืนอยู่ข้างเตียงของเฉินไท่เฟย มองดูเฉินไท่เฟยด้วยความรู้สึกสำเร็จที่ไท่เฟยพยายามขยับขาครั้งแล้วครั้งเล่า

        แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ชัดเจนนัก ทว่าการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ป่วยอย่างเฉินไท่เฟยแปลกใจและตื่นเต้น สำหรับซูจิ่นซีในฐานะหมอแล้วก็นับเป็นความสุขที่คุ้มค่าเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน

        แท้จริงแล้วในฐานะหมอคนหนึ่ง ไม่มีความดีเลว ไม่มีมิตรศัตรู มีเพียงผู้ป่วยเท่านั้น

        การได้ช่วยเหลือคนเจ็บ ทำให้ผู้ป่วยมองเห็นถึงความหวัง จึงจะเป็นความสุขในใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับพวกนาง

        ทว่าสิ่งที่ผู้ป่วยเฉินไท่เฟยผู้นี้ลิขิตไว้ไม่สามารถทำให้ซูจิ่นซีสบายใจได้เสียเลย เพราะว่าในตอนที่ซูจิ่นซีมีความสุขที่สุด นางก็ได้ทำการสาดน้ำเย็นใส่ตนทันที

        ขณะที่ซูจิ่นซีกอดแขนของตน รู้สึกถึงความสำเร็จที่สุดในตอนนั้น ใบหน้าของเฉินไท่เฟยก็นิ่งลง

        “ซูจิ่นซี อย่าคิดว่าเป็นเช่นนี้แล้ว จะสามารถทำให้ข้าเชื่อเจ้าได้ เพียงแค่รู้สึกเล็กน้อยเท่านั้น ยังอีกไกลที่จะทำให้เดินได้! หมอที่รักษาขาคู่นี้ของข้าไม่ดี เมื่อถึงเวลานั้นเจ้ายังคงต้องโดนถอดตำแหน่งชายาโยวอ๋องเช่นเดิม”

        ซูจิ่นซีไม่อยากพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นนี้อีก เพื่อที่จะไม่ให้ตนเองรู้สึกอึดอัด ดังนั้นนางจึงเพิกเฉยโดยปริยาย ราวกับว่าไม่ได้ยินอันใดเสียเลย ใบหน้าของนางยังคงยิ้มราวกับฤดูใบไม้ผลิเดือนสามที่สดใส

        “เสด็จแม่ ฝีมือการฝังเข็มของหม่อมฉันนี่ ไม่เพียงแต่จะสามารถขจัดสารพิษในร่างกายเพื่อรักษาขาของท่านนะเพคะ ทว่ายังส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตและขจัดภาวะลิ่มเลือดได้อีกด้วยเพื่อทำให้ขาของท่านดีขึ้นกว่าเดิม! วันนี้เป็นวันที่สองที่ฝังเข็ม นอกจากนี้เมื่อวานท่านยังเสวยยาแก้พิษบัวหิมะเทียนซานไป ตอนนี้ผิวของท่านล้วนดีขึ้นกว่าเดิมแล้วเพคะ ท่านต้องการส่องกระจกหน่อยหรือไม่เพคะ? ”

        “จริงหรือไม่? ยังมีผลลัพธ์เช่นนี้ด้วยหรือ? รีบไปหยิบกระจกมาให้ข้าดูหน่อย! ”

        เฉินไท่เฟยเป็นผู้ที่รักสวยรักงามเป็นอย่างยิ่ง พอพูดถึงความสวยความงาม นางก็เอาเรื่องทั้งหมดวางโยนไว้ด้านหลัง กระทั่งล้วนลืมว่าก่อนหน้านี้ยังคงกลั่นแกล้งซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซียิ้มอย่างเป็นมิตร

        “เป็นเช่นนั้นแน่นอนเพคะ! ”

        พูดจบนางก็หยิบกระจกบานเล็กบนโต๊ะเครื่องแป้งไปให้เฉินไท่เฟย

        เฉินไท่เฟยมองแล้วมองอีก ผิวกระชับและสว่างขึ้นกว่าเดิมไม่น้อยเลยจริงๆ

        “มีผลลัพธ์เช่นนั้นจริงๆ ! โอ้ เจ้ามีวิธีฝังเข็มเพื่อลบเลือนจุดด่างดำหรือไม่? ”

        “มีเพคะ! ”

        “อย่างนั้นมีลดริ้วรอยหรือไม่?”

        “มีเพคะ! ”

        “มีทำให้ผมดำหรือไม่? ”

        “มีเพคะ! ”

        “มี… เพิ่มพูนสิ่งนี้หรือไม่? ”

        เฉินไท่เฟยลืมเรื่องที่เกลียดซูจิ่นซีไปเสียสนิท นางชี้ไปที่หน้าอกราวหยกขาวสว่างชุ่มชื้นของตนเอง ดวงตามองจ้องไปที่ซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซียิ้มอย่างมั่นใจราวกับคนที่ไม่มีพิษมีภัย “มีเพคะเสด็จแม่ มีทุกอย่าง ยังมีทำให้หน้าขาว ทำให้ผอม ทำให้ท่านสามารถมีกล้ามเนื้อหน้าท้องได้อย่างสบายๆ อีกด้วยนะเพคะ! ”

        “กล้ามเนื้อหน้าท้อง? ”

        เป็นศัพท์สมัยใหม่ ซูจิ่นซีหลุดพูดไป เฉินไท่เฟยไม่เคยได้ยินมาก่อน

        “ก็คือมีหน้าอกที่สวย เอวบาง สะโพกผายซึ่งเป็นร่างกายที่สง่างามเพคะ”

        เฉินไท่เฟยยกมือปิดปากด้วยความไม่เชื่อ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “สวรรค์! หากมีวิธีเช่นนี้จริงๆ ข้าก็สามารถชุบชีวิตกลับไปเป็นหญิงสาวอายุน้อยหรือ? มีวิธีดูแลสิ่งนั้นหรือไม่? ”

        “สิ่งไหนเพคะ? ”

        ซูจิ่นซีจงใจขมวดคิ้ว แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ

        “โอ้ย! สิ่งนั้นไง ที่มาทุกเดือนนั้นอย่างไรเล่า! ข้านะ… ”

        เฉินไท่เฟยเข้าไปใกล้ซูจิ่นซีมากขึ้น พูดเบาๆ ข้างหูของซูจิ่นซีอธิบายอาการของตนเอง

        ซูจิ่นซีนับว่าประสบความสำเร็จในก้าวแรกเพื่อเอาชนะแม่สามีได้แล้ว นางยิ้มด้วยความพึงพอใจที่มุมปากของตน

        “เสด็จแม่เพคะ สิ่งที่ท่านเป็นนั้นเรียกว่าวัยหมดประจำเดือน นั่นถือเป็นเรื่องปกติเพคะ! ไม่ต้องกังวลไป รอให้ขาสองข้างของท่านหายดีแล้วหม่อมฉันจะสั่งยาบำรุงรักษาร่างกายให้ท่านเองเพคะ ท่านสามารถเสวยเป็นอาหารตุ๋นยาจีนในระยะยาวได้ อธิบายน้อยกว่านี้อีกสักหน่อยก็คือสามารถทำให้สิ่งนั้นยืดเวลาไปได้ถึงสิบยี่สิบปี เมื่อถึงเวลานั้นผิวพรรณและใบหน้าของท่านจะเต็มไปด้วยสิ่งดีมากขึ้นไปอีกเพคะ”

        “จริงหรือ? จิ่นซี เจ้านี่ดีจริงๆ เจ้าสามารถทำสิ่งใดได้อีก รีบบอกแม่มาเร็วเข้า! ”

        เฉินไท่เฟยจับมือทั้งสองข้างของซูจิ่นซีและดึงนางให้นั่งลงที่ขอบเตียง

        ซูจิ่นซีบอกเฉินไท่เฟยว่านางยังสามารถใช้ยาจีนประดิษฐ์แผ่นพอกหน้า ให้ความรู้ด้านการดูแล และแน่นอนว่านางจะไม่สอนวิธีการประดิษฐ์ที่ชัดเจนให้เฉินไท่เฟยอย่างแน่นอน

        สอนลูกศิษย์เป็นแล้วอาจารย์ก็จะหิวตายสิ ซูจิ่นซีเข้าใจกฎนี้ดี ยิ่งไปกว่านั้นนางยังหวังที่จะใช้ทักษะเหล่านี้เพื่อดึงดูดเฉินไท่เฟยและเพื่อให้นางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับแม่สามีอีกด้วย

        ภายในห้องซูจิ่นซีกับเฉินไท่เฟยคุยกันราวกับถูกชะตาเป็นอย่างมาก มีเสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะๆ

        เว่ยเหม่ยเจียที่อยู่ด้านนอกห้องยิ่งฟังยิ่งรู้สึกเจ็บปวด หน้าเล็กยิ่งย่นก็ยิ่งดำขึ้นเรื่อยๆ

        นางมองไปยังประตูที่ปิดแน่นอย่างไม่อยากจะเชื่อ ฟังเฉินไท่เฟยเรียกชื่อซูจิ่นซีอย่างเสน่หาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ล้วนสงสัยว่าซูจิ่นซีใช้วิธีใดเพื่อทำให้เฉินไท่เฟยหลงเสน่ห์ หรือเป็นเพราะว่าหูของนางเองที่ได้ยินผิดไป

        เฉินไท่เฟยไม่ชอบซูจิ่นซีถึงเพียงนั้น นางได้ยินเฉินไท่เฟยพูดกับหูตนเอง แล้วก็เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน เวลายังไม่ทันถึงครึ่งชั่วยาม เหตุใดท่าทีของเสด็จป้าจึงเปลี่ยนได้รวดเร็วเช่นนี้

        ภายในห้องซูจิ่นซีเรียกเสด็จแม่ เสียงของนางดังมาก ราวกับว่านางตั้งใจต้องการให้เว่ยเหม่ยเจียที่อยู่ด้านนอกได้ยินอย่างไรอย่างนั้น

        ไฟริษยาในใจของเว่ยเหม่ยเจียเริ่มร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง ความเกลียดเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันทันใด แทบรอจะเข้าไปฉีกปากของซูจิ่นซีไม่ไหว

        ครบสองชั่วยามเต็ม ซูจิ่นซีจึงจะออกมาจากห้องของเฉินไท่เฟย

        “เสด็จแม่ หม่อมฉันขอตัวกลับก่อนนะเพคะ พบกันใหม่วันพรุ่งนี้เพคะ ! ”

          “จิ่นซีเอ๋ย! พรุ่งนี้เจ้าต้องมาเร็วหน่อยเล่า? แม่รอเจ้าอยู่นะ! ”

        “เพคะเสด็จแม่! จุ๊บ! ”

        เฉินไท่เฟยกับซูจิ่นซีบอกลากันอย่างสนิทสนมมากในสายตาของเว่ยเหม่ยเจีย นางเริ่มริษยาขึ้นอีกครั้ง แสดงอาการปวดใจแล้วรีบเดินเข้าไป

        “เสด็จป้า ท่านดีขึ้นบ้างหรือไม่ รู้สึกอย่างไรบ้างเพคะ? ”

        “เหม่ยเจียเอ๋ย! เจ้ามาก็ดีแล้ว ไปเอาปิ่นหงส์ของป้ามาให้พี่สะใภ้เจ้าหน่อยสิ แล้วก็ไปส่งพี่สะใภ้เจ้ากลับจวนด้วยเล่า”

        “ปิ่นหงส์? เสด็จป้า ท่านแน่ใจที่จะมอบปิ่นหงส์นี้กับพี่สะใภ้หรือเพคะ? ”

        ใบหน้าของเว่ยเหม่ยเจียเต็มไปด้วยความตกตะลึง เฉินไท่เฟยยังไม่ทันจะตอบ นางก็เริ่มก้มหน้า แสงสว่างวาบในดวงตาของนางสั่นไหวใกล้ที่จะร้องไห้

        ปิ่นหงส์นั้นเป็นของซูสีไทเฮา ในปีนั้นซูสีไทเฮาในฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้ประทานให้เฉินไท่เฟยไว้! นับเป็นของมีค่าของเฉินไท่เฟย แม้แต่เฉินไท่เฟยเองยังไม่อยากที่จะหยิบมันออกมาสวมใส่ จึงได้เก็บไว้ให้เป็นของขวัญวันพบหน้ากับลูกสะใภ้ในอนาคตของนาง

        เฉินไท่เฟยพูดกับเว่ยเหม่ยเจียตลอดว่าในใจของนางยอมรับเพียงตนเป็นลูกสะใภ้ สักวันจะต้องให้เว่ยเหม่ยเจียได้เป็นชายาโยวอ๋อง ดังนั้นเว่ยเหม่ยเจียจึงคิดมาตลอดว่าไม่ช้าก็เร็วปิ่นหงส์นั้นจะต้องเป็นของตนอย่างแน่นอน

        ทว่าคิดไม่ถึงว่าจะยกให้ซูจิ่นซีคนเลวนั้น ทั้งที่พึ่งจะคุยได้เพียงสองชั่วยามก็ถูกหลอกเอาไปได้เสียแล้ว

        นางไม่อยากยินยอมเลยจริงๆ สงสัยว่าเฉินไท่เฟยพูดผิดหรือไม่ ที่ว่าจะมอบปิ่นหงส์นั้นให้ซูจิ่นซี

        “เสด็จป้า ท่านแน่ใจหรือว่าปิ่นหงส์ที่ซูสีไทเฮาประทานให้ ท่านจะมอบมันให้กับพี่สะใภ้? ”

        เพื่อที่จะเตือนสติเฉินไท่เฟย เว่ยเหม่ยเจียกดดันด้วยคำไม่กี่คำ ‘ซูสีไทเฮา’

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset