เยี่ยโยวเหยาไม่พูดอันใดอีก เขาเดินตรงไปที่ด้านนอกของตำหนักจ้งหวาทันที
เมื่อมองดูเงาอันเยือกเย็นแข็งแกร่งที่ห่างออกไป ซูจิ่นซีก็ราวกับกลายเป็นปีศาจ นางทิ้งทุกคนไว้ด้านหลังและไล่ตามเยี่ยโยวเหยาออกไปทันที
“ซูจิ่นซี เจ้ากลับมาหาไท่เฟยเดี๋ยวนี้! ”
“พี่สะใภ้ ท่านไม่รักษาโรคของฮองเฮาแล้วหรือ? ”
“พระชายา! ”
ในขณะที่ซูจิ่นซีกำลังจะหายไปจากสายตาของทุกคน นางก็หันศีรษะกลับไปแล้วกล่าวว่า “หมอหลวงอวิ๋น ท่านช่วยข้าดูแลฮองเฮาก่อน ข้าจะกลับมาให้เร็วที่สุด! ”
จากนั้นก็ไม่มีความคืบหน้าอันใดอีก นางทำเป็นไม่รับรู้สิ่งใด แล้วเดินตามเยี่ยโยวเหยาออกไป
“ท่านอ๋อง ท่านรอหม่อมฉันหน่อยสิเพคะ ท่านอ๋อง… ท่านอ๋อง… ”
เมื่อถึงหน้าประตูวัง ซูจิ่นซีก็ตามเยี่ยโยวเหยาได้ทัน
“ท่านอ๋องพวกเราจะไปที่ใดกันหรือเพคะ? ”
“ไปหาจื่อจู! ”
จื่อจู?
ซูจิ่นซียืนงงไปพักใหญ่ ดูเหมือนว่านางจะยังไม่ทันได้พูดเรื่องจื่อจูกับเยี่ยโยวเหยาเลยนี่!
แล้วเขารู้ได้อย่างไรกัน?
“ท่านอ๋อง คนของเราสอบถามมาได้ว่าจื่อจูนั้นจะถูกประมูลในตลาดมืดในวันนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นข้าน้อยจึงนำสาส์นลับมาส่งมอบให้ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
สาส์นลับ?
เดิมทีก่อนหน้านี้ที่เยี่ยโยวเหยาไม่ยอมพูดในตำหนักจ้งหวามาโดยตลอด และไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบกับคำถามของนางเลยแม้แต่น้อย ก็เพราะเขากำลังสื่อสารอย่างลับๆ กับสายสืบที่อยู่ห่างไกลเองหรอกหรือ!
ดูเหมือนว่าสายสืบของเยี่ยโยวเหยาในตำหนักจ้งหวาจะได้ยินการสนทนาของนางกับอวิ๋นจิ่นและไปรายงานเขา ดังนั้นเขาจึงจัดการทุกอย่างไว้นานแล้ว
“เยี่ยโยวเหยา ท่านจะหล่อเกินไปแล้ว! ”
ซูจิ่นซีตื่นเต้นดีใจ นางโอบแขนของเยี่ยโยวเหยา
ทว่าเยี่ยโยวเหยาดูเหมือนกับสัมผัสถูกไฟฟ้า และสลัดซูจิ่นซีทิ้งไป
การทรงตัวของซูจิ่นซีไม่ค่อยดีนัก เมื่อถูกสลัดทิ้งนางจึงกระเด็นออกไป ดวงตาเห็นว่าจะชนกับด้านหลังของสิงโตหินแล้ว แม้แต่ทหารที่ประตูวังก็ยังประหลาดใจและตกตะลึงในอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีคิดว่าตนเองในครั้งนี้คงจะจบสิ้นแล้ว ทว่าคิดไม่ถึงว่าทันใดนั้นดวงตาของนางกลับมืดลงทันที ความเจ็บปวดที่คาดคิดกลับไม่ส่งผ่านมายังนาง แท้จริงแล้วนางไม่ได้ชนเข้ากับสิงโตหิน ทว่าชนเข้ากับอ้อมกอดที่แสนเย็นชาแทน
พระอาทิตย์ยามอัสดงเปรียบดั่งโลหิต เฉกเช่นไหมสีแดงที่ผสานกับแสงอันงดงาม สาดส่องลงบนใบหน้าด้านข้างของเยี่ยโยวเหยา
ให้ตายเถิด ทุกครั้งที่เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาจนไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไปของเยี่ยโยวเหยาอย่างใกล้ชิดนั้น ซูจิ่นซีล้วนมองอย่างมิได้ตั้งใจราวกับสติหลุดลอย
นี่มันช่าง… หน้าขายหน้าเสียจริง!
เพียงแต่เยี่ยโยวเหยาไม่ให้เวลาซูจิ่นซีได้ ‘บ้าผู้ชาย’ มากเกินไป!
ทันทีที่รับซูจิ่นซีได้ด้วยความเร็วอันยอดเยี่ยม เยี่ยโยวเหยาก็พยุงตัวนางให้ยืนตรงและปล่อยมือในชั่วพริบตา
ภายในใจของซูจิ่นซีพลันเกิดความว่างเปล่าที่อธิบายไม่ได้
ทว่าทหารอารักขาเฝ้าประตูวังที่ห่างไกลออกไปกลับจ้องมองมาด้วยความประหลาดใจ
สวรรค์!
นั่นเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่?
โยวอ๋องผู้ที่ไม่เคยใกล้ชิดสตรี ผู้ที่ไม่เข้าใจความเมตตาสงสารแม้แต่น้อย คาดไม่ถึงว่าจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมารับสตรีที่กำลังจะล้มลงผู้นั้นด้วยตนเอง
ที่แท้ข่าวลือนั้นก็เป็นเรื่องจริง!
โยวอ๋องรักและโปรดปรานพระชายาของเขาจริงๆ !
เยี่ยโยวเหยายังคงเย็นชาเหมือนเดิม และยังคงไม่พูดอันใด เขาหันหลังกลับไปขึ้นรถม้า
“พระชายาเชิญพ่ะย่ะค่ะ! ”
องครักษ์คุ้มกันเชิญให้ซูจิ่นซีขึ้นรถม้า
องครักษ์คุ้มกันผู้นี้ซูจิ่นซีจำได้ ก่อนหน้านี้มีครั้งหนึ่งตอนที่เยี่ยโยวเหยากลับจวน เขาก็ได้พาองครักษ์ผู้นี้มาด้วย ได้ยินแม่นมฮวาบอกว่าเขาชื่อฉินเทียน เป็นหัวหน้าองครักษ์ที่มีฐานะตัวตนที่สำคัญอยู่ข้างกายเยี่ยโยวเหยา
ในเมื่อเขาให้ซูจิ่นซีขึ้นรถม้า นั่นก็อาจเป็นความต้องการของเยี่ยโยวเหยา
ซูจิ่นซียิ้มให้เขาแล้วก้าวขึ้นรถม้าไป
รถม้าเคลื่อนไหวด้วยความเรียบนิ่งตลอดทาง พวกเขาเดินทางเป็นเวลานานกว่าจะหยุดอยู่ที่ทางเข้าร้านขายเครื่องประดับในตรอกหนึ่ง
เยี่ยโยวเหยาลงจากรถม้าแล้วมุ่งตรงเข้าไปในร้านเครื่องประดับ
ซูจิ่นซีงงงวยอยู่บ้างเล็กน้อย ไม่ใช่ว่ามาหาจื่อจูหรอกหรือ?
ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะไปที่ร้านขายยาสิ เหตุใดจึงมาที่ร้านขายเครื่องประดับเล่า?
หรือว่าเยี่ยโยวเหยาอยากซื้อเครื่องประดับ?
ทว่าในไม่ช้า ซูจิ่นซีก็รู้ว่านางกำลังคิดมากเกินไป ทันใดนั้นนางก็ได้เห็นการกระทำฉากหนึ่งที่ทำให้นางตกใจมาก
ฉินเทียนก้าวไปข้างหน้าและพูดบางอย่างที่แปลกมากกับเถ้าแก่ร้านเครื่องประดับ หลังจากนั้นเถ้าแก่ก็พาพวกเขาไปที่สวนหลังบ้านเป็นการส่วนตัว ที่นั่นมีประตูลับอยู่ ซึ่งมันนำไปสู่ชั้นใต้ดิน
ชั้นใต้ดินนั้นเป็นตลาดมืดที่ฉินเทียนพูดไว้ก่อนหน้านี้
ครั้งนี้ ซูจิ่นซีนับมันว่าเป็นประสบการณ์เปิดหูเปิดตาที่ยอดเยี่ยมมากเช่นเดียวกัน
คาดไม่ถึงว่าร้านเครื่องประดับเล็กๆ ธรรมดา ทว่าในชั้นใต้ดินกลับเป็นอีกโลกหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นนกกระจอกตัวเล็ก ทว่าอวัยวะครบสมบูรณ์ [1] ด้านบนมีสิ่งใด ที่นี่ล้วนมี สิ่งใดที่ด้านบนไม่มีทางสร้างได้ ทว่าที่นี่สร้างได้
“เถ้าแก่! ที่นี่ของพวกเจ้ายอดเยี่ยมมาก! ” ซูจิ่นซีกล่าวชม
“ที่นี่นับว่าเป็นสิ่งใด หอจิ่วเทียนเป็นผู้นำในทางนี้ของพวกเรา”
“หอจิ่วเทียน? ”
ซูจิ่นซีอยากเข้าใจมากขึ้น ฉินเทียนกระแอมไอขึ้นมาทันใด เถ้าแก่ผู้นั้นจึงไม่ยอมเอ่ยปากพูดอันใดอีก
“ในเมื่อพวกท่านสามารถหาที่นี่พบก็ควรจะเข้าใจกฎของที่นี่ ผู้ที่มาไม่ว่าจะมีฐานะใด ไม่ว่าจะยากจนหรือต่ำต้อย ทว่าเมื่อออกจากที่นี่แล้ว จะต้องเก็บความลับทุกอย่างของที่นี่ไว้และไม่แพร่งพรายออกไป”
ฉินเทียนพยักหน้า เถ้าแก่ผู้นั้นก็ไม่พูดอันใดให้มากความอีก เขาหันหลังเดินกลับไปที่ทางเดิม
หลังจากนั้นก็มีคุณชายหน้าตาอ่อนช้อยเดินถือพัดเข้ามาตรงหน้าพวกเขา ชายผู้นี้รูปโฉมภายนอกดูทั้งเจ้าเล่ห์และสง่างาม ทว่าเมื่อก้าวเข้ามาใกล้ สีหน้าที่แสดงออกของเขาก็จริงจังขึ้นในทันที
“ข้าน้อยคารวะท่านอ๋อง พระชายา องครักษ์ฉิน! ”
“สถานการณ์ของสนามประมูล เจ้าสอบถามมาอย่างชัดเจนแล้ว? ” ฉินเทียนถาม
“ข้าน้อยเข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว วันนี้จะมีประมูลสิ่งของสามชิ้น ชิ้นแรกคือหม้อหยกสองหูจากราชวงศ์โจวตะวันตก ชิ้นที่สองคือสิ่งที่ท่านอ๋องกับพระชายาตามหา นั่นก็คือสมุนไพรจื่อจู และชิ้นที่สามคือกำไลหนึ่งวง”
ซูจิ่นซีอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเยี่ยโยวเหยาด้วยความเลื่อมใส คาดไม่ถึงว่าสถานที่นี้จะมีคนเช่นเยี่ยโยวเหยาอยู่ สมควรที่จะเป็น ‘อำนาจเหนือโลก’ อย่างแท้จริง!
คุณชายหน้าตาอ่อนช้อยได้พาพวกเขาทั้งสามคนไปยังสนามประมูล สถานที่แห่งนี้แตกต่างจากบ่อนการพนัน งานแสดงสินค้าอัญมณี งานเขียนพู่กัน และงานระบายสีโบราณในโลกที่นางจากมา ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีผู้คนทยอยเข้ามามากมาย
ในกระแสคนที่หลั่งไหลไป พวกเขาทั้งสามคนล้วนถูกเบียดเสียดจากฝูงชน จนกระทั่งได้นั่งลงในตำแหน่งที่เป็นมุมที่ดีซึ่งแสดงให้เห็นทั้งลานการประมูล
เวลาผ่านไปไม่นาน เถ้าแก่ของสถานที่ประมูลแห่งนี้ก็เดินขึ้นมายังเวที เขาตีค้อนเล็กๆ แล้วการประมูลก็เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ
ซูจิ่นซีพบว่าแท้จริงแล้วกฎการประมูลของสมัยโบราณกับสมัยปัจจุบันล้วนไม่ต่างกันเท่าไร เพียงเสนอราคา ชูป้ายเพื่อระบุว่าใครเสนอราคาสูงสุด และสิ่งของที่ประมูลได้ก็จะตกเป็นของคนผู้นั้น
สิ่งของชิ้นแรกคือหม้อหยกสองหูจากราชวงศ์โจวตะวันตก ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาต่างไม่ได้ให้ความสนใจหรือใส่ใจมันเท่าใดนัก ในที่สุดมันก็ถูกประมูลไปในราคาห้าหมื่นตำลึง
รายการประมูลชิ้นที่สองคือจุดประสงค์ของการเดินทางมาที่นี่ของเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี นั่นก็คือ ‘จื่อจู’
“แขกผู้มาเยือนทุกท่าน ต่อจากนี้ไป สิ่งที่พวกเรานำมาประมูลนั้นเป็นสมุนไพรที่มีอยู่น้อยมาก นั่นก็คือจื่อจู คาดว่าผู้ที่อยู่ในทางสายนี้คงทราบดีว่า มีต้นจื่อเพียงต้นเดียวเท่านั้นในโลกใบนี้ที่สามารถให้ผลจื่อจูได้ ต้นจื่อนั้นจะเติบโตเพียงบนหน้าผาสูงชันของภูเขาคุนหลุนเท่านั้น และจะบานในสิบห้าปี ออกผลในยี่สิบปี และสุกในสี่สิบเก้าปี ซึ่งการออกผลของต้นจื่อนั้น จะให้ผลครั้งละหนึ่งผลเท่านั้น เมื่อนับดูแล้วต้องใช้เวลานานถึงแปดสิบเอ็ดปีจึงจะนับว่าเป็นการเติบโตของต้นจื่อต้นนี้”
แม้ว่าคนที่มาประมูลในครั้งนี้จะเข้าใจถึงพื้นฐานที่มาของผลจื่อจูที่จะถูกประมูลในครั้งนี้ ทว่าพวกเขาก็อดที่จะทอดถอนใจไม่ได้เมื่อได้ยินการแนะนำของเถ้าแก่
เพราะว่าจื่อจูนั้นมีค่ามาก
“เริ่มการประมูลสิ่งของชิ้นที่สอง เปิดที่ราคาห้าหมื่นตำลึง! ยกป้ายได้”
หม้อหยกสองหูใบแรกกล่าวกันว่าถูกใช้โดยองครักษ์เสื้อแพรในราชวงศ์โจวตะวันตก ราคาเริ่มต้นถึงห้าพันตำลึง ในที่สุดก็ขายได้ในราคาห้าหมื่นตำลึงโดยไม่คาดคิด ทว่าคาดไม่ถึงว่าราคาเริ่มต้นของผลจื่อจูนั้นคือห้าหมื่นตำลึง ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่ายานี้มีค่ามากจริงๆ
แม้มันจะมีค่ามากเพียงใดก็มักจะมีคนให้ราคาที่สูงขึ้น
“ข้าให้หกหมื่น! ”
“ข้าให้หกหมื่นห้า! ”
“ข้าให้แปดหมื่น! ”
“ข้าให้หนึ่งแสน! ”
“หนึ่งแสนห้าหมื่น! ”
“สองแสน! ”
“สามแสน! ”
……
“ห้าแสน! ”
“หนึ่งล้าน! ”
ในไม่ช้าราคาก็พุ่งสูงขึ้นถึงหนึ่งล้าน ในใจของทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความลำพองและความตื่นเต้น รวมถึงซูจิ่นซีด้วย
การละเล่นทุบเงินนี่มันช่างสนุกสุดยอดจริงๆ
ทว่าในขณะที่กำลังสนุกสนาน ซูจิ่นซีก็ตระหนักถึงประเด็นที่ร้ายแรงอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่ง
ในระหว่างขั้นตอนของการต่อสู้ราคานั้น ซูจิ่นซียังคงขึ้นเสียงของนางแข่งขันกับผู้อื่น ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับทำราวกับคนที่ไม่สนใจเรื่องอันใดเสียอย่างนั้น ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย!
ทว่านี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือนางไม่มีเงิน!
ไม่ต้องพูดถึงเงินที่มากกว่าหนึ่งล้านตำลึง แม้แต่หนึ่งร้อยเหรินหมินปี้ [2] ก็ไม่มี
ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าจะแปลงหน่วยสองหน่วยนี้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้แม้ว่านางจะขายแรงงานค้ำประกันก็ไม่มีค่ามากมายถึงเพียงนั้น
“หนึ่งล้านสองแสน! ”
“หนึ่งล้านสามแสน! ”
……
ราคายังคงเพิ่มขึ้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เยี่ยโยวเหยาก็ยังคงไม่เคลื่อนไหว
จื่อจูเป็นสิ่งที่ซูจิ่นซีต้องการใช้เพื่อรักษาฮองเฮา แต่จะว่าไปแล้ว ความจริงเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเยี่ยโยวเหยาเลยสักนิด
ทว่าเขาคงจะมิใช่ไม่สนใจจริงๆ หรอกกระมัง?
“เยี่ยโยวเหยา! ”
ซูจิ่นซีพูดกับเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่รู้สึกเกรงใจ
“ตนเองเป็นผู้ก่อเรื่องก็ต้องรับผิดชอบเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้าเลย”
ล้านกว่าตำลึงเชียวนะ!
สำหรับซูจิ่นซี นั่นเป็นเงินจำนวนมากทีเดียว และเมื่อคิดดูแล้ว เยี่ยโยวเหยาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องออกเงินให้ซูจิ่นซีจริงๆ เสียด้วย!
ทว่านางไม่มีเงิน
ไม่มีเงินนะ!!!
ทำอย่างไรดี?
ทำอย่างไรดี?
……