“หนึ่งล้านห้าแสนตำลึง! ”
“หนึ่งล้านห้าแสนห้าหมื่นตำลึง! ”
“หนึ่งล้านหกแสนตำลึง! ”
ราคายังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซูจิ่นซีกังวลราวกับมดบนหม้อไฟ
หากไม่มีเงินก็ยากที่จะเป็นบุรุษที่กล้าหาญเสียจริง
ซูจิ่นซีกำมือแน่น ฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ นางนึกถึงโรคของฮองเฮาที่หากไม่มีจื่อจู นางก็ไม่มีทางรักษาให้หายได้ นึกถึงทั้งจวนโยวอ๋องและหนานย่วนที่ถูกนางเดิมพันเอาไว้ และยังนึกถึงว่าหากนางรักษาฮองเฮาไม่หายละก็ ไม่ต้องพูดถึงหน้าตาและศักดิ์ศรีเลย แม้กระทั่งซับในนางและทุนที่จะตั้งมั่นในภพนี้ก็ล้วนหมดสิ้นแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีเกลียดตนเองที่ไม่ใช่เศรษฐีที่ร่ำรวยขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน นางเคียดแค้นชิงชังเสียจนลำไส้ล้วนมีสีคล้ำดำเขียวไปหมด [1]
“จะให้ข้าช่วยเรื่องเงินก้อนนี้กับเจ้าก็ได้ เพียงแต่… ”
“จริงหรือเพคะ? ”
ซูจิ่นซีพอได้ยินเยี่ยโยวเหยาเปิดปากพูดว่าเขาจะจ่ายเงินแทนนาง ดวงตาที่ตื่นเต้นของนางก็วาววับทันที
“เพียงแต่ ข้ามีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง”
“เงื่อนไขอันใดหรือเพคะ ท่านอ๋องรีบพูดออกมาเถิด ขอเพียงหม่อมฉันซูจิ่นซีสามารถทำได้ จะไม่บ่ายเบี่ยงเลยเพคะ”
ซูจิ่นซีเห็นด้วยในทันที นางขอเพียงสามารถถอนพิษให้ผู้อื่นได้ เพราะนอกจากความสามารถถอนพิษที่เป็นจุดเด่นแล้ว นางก็รู้ด้วยใจจริงว่าตนเองไม่มีความสามารถอื่นใดที่จะทำให้ผู้คนนึกถึงเลย
สายตาที่ดำมืดลึกล้ำของเยี่ยโยวเหยาจ้องมองไปยังซูจิ่นซีอยู่นาน ภายในใจมองเพียงซูจิ่นซีด้วยดวงตาที่ไม่สามารถคาดเดาได้เลยแม้แต่น้อย ไม่นานเยี่ยโยวเหยาก็ถอนสายตาออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างแผ่วเบาว่า “ข้ายังคิดไม่ออก รอข้าคิดออกเมื่อไรจึงจะบอกเจ้า ติดไว้ก่อน”
“ได้เพคะ! ”
แม้ว่าซูจิ่นซีจะยอมรับแล้ว ทว่าเสียง “ได้” นี้ไม่มีองค์ประกอบที่มั่นใจ กล้าได้กล้าเสียอยู่เลย เพราะนางรู้สึกว่าสายตาของเยี่ยโยวเหยามองนางแปลกๆ ทว่าไม่สามารถอธิบายได้ว่าแปลกที่ใด ทำให้นางรู้สึกว่าการตกลงตามเงื่อนไขที่ไม่ทราบนี้อาจเป็นหลุมพราง
เยี่ยโยวเหยามองไปที่ฉินเทียน
ฉินเทียนรีบหยุดแสดงสีหน้าที่น่าเหลือเชื่ออย่างรวดเร็วและยกป้ายในมือขึ้น
“สามล้าน! ”
เกิดความเงียบขึ้นทันทีในสนามด้านหน้า ทุกคนหันศีรษะมองมาทางเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี
ผู้ใดกัน?
มีเงินมากมายถึงเพียงนี้?
การประมูลล่าสุดพึ่งจะแค่หนึ่งล้านแปดแสนห้าหมื่น ไม่คิดว่าจะมีคนขึ้นราคาถึงสามล้าน นี่คือจังหวะที่บดขยี้ผู้อื่นโดยตรง!
กฎของการเล่นนี้ไม่ใช่เล่นเพื่อความสนุกหรอกหรือ! แม้ว่าจะมีผู้มั่งคั่งที่สนใจการประมูลสมบัติอยู่บ้างในบางครั้งและไม่ลังเลที่จะเสนอราคาเพื่อให้ได้สมบัติล้ำค่าไป ทว่าไม่มีทางที่จะคว่ำราคาเพิ่มเป็นสองเท่าอย่างจริงจังเช่นนี้
“ดี! คุณชายท่านนี้เสนอสามล้านตำลึง! ยังมีผู้ใดให้มากกว่านี้อีกหรือไม่? ”
เถ้าแก่หายจากอาการตกตะลึงแล้วพูดออกมา
เงินสามล้านนี้ ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถจ่ายได้ คงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะต่อสู้กับเยี่ยโยวเหยาแล้วละ!
“สามล้านตำลึงครั้งที่หนึ่ง…”
“สามล้านตำลึงครั้งที่สอง…”
ทั้งสนามยังคงเงียบ
“สามล้านตำลึง…”
“ข้าให้สี่ล้านตำลึง! ”
สี่ล้านตำลึง?
คุณพระ!
ผู้ใดกัน?
ยังจะมีคนกล้าที่จะสู้กับเยี่ยโยวเหยาอีกหรือ?
ดวงตาที่ตกตะลึงเบิกกว้างของทุกคนกำลังจะตกพื้น ผู้คนต่างหันศีรษะและมองไปยังทิศทางของเสียง
คนผู้นั้นนั่งอยู่ตรงข้ามเยี่ยโยวเหยา
ซูจิ่นซีไม่เคยเห็นผู้ชายที่มีลักษณะเฉพาะตัวราวกับเซียนเช่นเขามาก่อน เขามีรูปลักษณ์ที่เปรียบได้กับเยี่ยโยวเหยา ทว่ารูปลักษณ์ของเขาดูสง่างามราวกับมีรัศมีจางๆ แผ่ออกมา ลักษณะเฉพาะของเขาเหมือนดั่งเมฆลมที่พัดอย่าแผ่วเบา เสื้อผ้าสีขาวราวกับหิมะที่ปราศจากฝุ่น ดั่งเทพผู้อยู่เหนือธรรมชาติ ซึ่งไม่เข้ากันกับบรรยากาศของตลาดมืดแห่งนี้เลย เขานั่งอยู่ตรงนั้น ทว่ากลับไม่มีผู้ใดรู้สึกถึงความผิดปกติ
เมื่อเยี่ยโยวเหยาเห็นสายตาของซูจิ่นซีที่จ้องไปที่ชายชุดขาว ไม่รู้ว่าเหตุใดใบหน้าของเขาจึงเปลี่ยนเป็นสีดำชั่วครู่ และความหนาวเย็นในร่างกายของเขาก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า
ซูจิ่นซีเหมือนว่าจะถูกลมหายใจที่เย็นเฉียบเรียกสติกลับมาได้
นางพึ่งจะหันกลับมา ไม่รู้ว่าเหตุใดเยี่ยโยวเหยาจึงโกรธเกรี้ยวกะทันหัน นางได้ยินเขาตะโกนออกมาด้วยความเย็นชาและโกรธเกรี้ยวว่า “ห้าล้านสองแสนตำลึง! ”
ห้าล้านสองแสนตำลึง?
หัวใจของซูจิ่นซีเต้นแรง ยืนขึ้นทันที
บริเวณโดยรอบแทบจะไม่มีเสียงสิ่งใดเลย แม้ว่าเข็มเงินจะตกลงมาที่พื้นในเวลานี้ ทว่าระยะทางก็อาจยาวนานราวกับตกลงมาจากท้องฟ้าก็เป็นได้
เถ้าแก่สถานที่จัดงานประมูลใช้เวลานานกว่าจะได้สติขึ้นมา เสียงของเขาสะดุดเล็กน้อย
“คุณชายท่านนี้เพิ่มราคาอีกครั้ง และตอนนี้ราคาของจื่อจูก็เพิ่มขึ้นเป็นห้าล้านสองแสนตำลึง ยังมีผู้ใดให้ราคาอีกหรือไม่? ”
“ห้าล้านสองแสนตำลึงครั้งที่หนึ่ง… ”
“ห้าล้านสองแสนตำลึงครั้งที่สอง… ”
“ห้าล้านสองแสนตำลึงครั้งที่สาม… ”
“ตุบ” เสียงค้อนเหล็กตีสรุปราคา ห้าล้านสองแสนตำลึงตกลงขาย
ซูจิ่นซีไม่ได้ยินเสียงผู้คนโดยรอบแม้แต่น้อย นางเห็นเพียงว่ามีคนนำจื่อจูมามอบให้ โดยภายใต้คำสั่งของฉินเทียนมันจึงถูกส่งมายังมือของนาง ทว่าดวงตาของนางยังคงจับจ้องไปที่ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาตั้งแต่ต้นจนจบ
เมื่อครู่นี้ นางมีความคิดสงสัยว่าเยี่ยโยวเหยาจะใช่ผู้ที่ข้ามภพมาจากอีกโลกหนึ่งเช่นเดียวกับนางหรือไม่
ไม่ใช่ว่านางคิดเล็กคิดน้อยที่จับผู้ใดก็สงสัยว่าเป็นผู้ที่ข้ามภพมาแบบนาง เพียงแต่เมื่อสองสามวันก่อน หากคำนวณตามวันเวลาของโลกที่นางจากมา จะพบว่าวันนี้เป็นวันแห่งความรักของจีน!
เยี่ยโยวเหยา เขาไม่ได้ข้ามมาจากโลกนั้นจริงๆ ใช่หรือไม่? เหตุใดเลขสองตัวนี้จึงบังเอิญเกินไปเช่นนี้
เมื่อได้จื่อจูมาแล้ว จะอยู่ประมูลต่อเพื่ออันใด เดิมทีเยี่ยโยวเหยาก็ไม่ได้สนใจสิ่งใดอยู่แล้ว เขาจึงลุกขึ้นเตรียมเดินออกไป ทว่าเมื่อเดินผ่านด้านข้างของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาก็พูดขึ้นว่า “ซูจิ่นซี เจ้าติดข้าห้าล้านสองแสนตำลึง! ”
ซูจิ่นซีมองดูรูปร่างสง่างามที่ชนะทุกสิ่งบนโลกของเยี่ยโยวเหยา ทันใดนั้นนางก็ตะโกนกลับไป “เยี่ยโยวเหยา ท่านทราบหรือไม่เพคะ ว่าห้าสองศูนย์มีความหมายว่าอย่างไร? ”
เยี่ยโยวเหยาหยุดเดินและหันกลับมา เขามองนางด้วยความสงสัย แฝงไปด้วยความโกรธเล็กน้อยและเย็นชา ทว่าไม่มีข้อมูลใดที่จะพิสูจน์ได้ว่าเขาจะตอบคำถามของซูจิ่นซี
หัวใจของซูจิ่นซีเต้น “ตุบตุบ ตุบตุบ” อย่างไม่เป็นจังหวะ นางใช้กำลังบังคับทุกอารมณ์ภายในใจและพยายามยิ้มแบบที่ทำให้ผู้คนสบายใจออกไป “ไม่… ไม่มีอันใดเพคะ ท่านอ๋องพวกเรารีบกลับไปกันเถิดเพคะ! ”
เยี่ยโยวเหยาหันหลังกลับอย่างเงียบเชียบปละเดินนำไปข้างหน้า ซูจิ่นซีจึงถือกล่องที่มีจื่อจูเดินตามอยู่ด้านหลัง
ขณะที่ทั้งสองกำลังจะเดินออกจากสนามประมูลนั้น ข้างหลังของพวกเขาก็มีเสียงเถ้าแก่บอกให้เริ่มการประมูลของล้ำค่าชิ้นที่สาม
“ทุกท่าน วันนี้สิ่งที่จะนำมาประมูลชิ้นที่สาม มันคือของล้ำค่าชิ้นสุดท้ายของการประมูลครั้งนี้ นั่นก็คือสร้อยข้อมือของอาณาจักรฉินที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าอายุของมันจะสั้นกว่าเล็กน้อย ทว่ากล่าวกันว่ากำไลข้อมือนี้มีลักษณะพิเศษบางอย่าง”
เยี่ยโยวเหยาที่กำลังเดินอยู่ด้านหน้าหยุดชะงักทันที เขาหันหลังกลับช้าๆ และมองไปยังกำไลข้อมือที่วางไว้บนแท่น
“ท่านอ๋อง อยากจะให้ข้าน้อยนำกำไลนั้นมาให้หรือไม่? ”
ฉินเทียนพูด
ซูจิ่นซีจึงหันศีรษะไปเหลือบมองกำไลข้อมืออีกสองสามครั้ง
เห็นว่ากำไลข้อมือที่ประกาศต่อหน้าทุกคนนั้นดูเหมือนจะเป็นแค่กำไลข้อมือทองแดงเท่านั้นเอง
ซูจิ่นซีไม่รู้วิธีทำและไม่เข้าใจความเป็นเอกลักษณ์ของสมบัติชิ้นนี้เช่นกัน เพียงแต่รู้สึกว่ากำไลข้อมือนี้ไม่ได้แวววาวเหมือนทอง และไม่สง่างามเท่ากำไลข้อมือหยก ดูเหมือนเป็นแค่กำไลข้อมือธรรมดาเท่านั้น ทว่ากลับให้ความรู้สึกดึงดูดอย่างไรก็ไม่ทราบ โดยเฉพาะลวดลายของดอกปี่อั้น [1] ที่สลักไว้บนกำไลข้อมือนั้น ยิ่งช่วยเพิ่มสีสันที่ลึกลับให้กับกำไลข้อมือ
โดยไม่มีสาเหตุ ทว่าซูจิ่นซีต้องการลองสวมกำไลนั้นบนข้อมือของนาง เหมือนว่านางมีความรู้สึกชอบอย่างอธิบายไม่ถูกกับกำไลข้อมือนี้
แต่เมื่อฟังที่ฉินเทียนถามเยี่ยโยวเหยาเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าเยี่ยโยวเหยาจะสนใจกำไลข้อมือนี้มาก เขาเป็นชายร่างใหญ่ แต่กลับสนใจกำไลข้อมือของสตรีไปทำไมกัน?
ต้องการจะมอบให้นาง? เป็นไปไม่ได้หรอก!
ซูจิ่นซียังไม่หลงตนเองถึงเพียงนั้น
หรือว่าเยี่ยโยวเหยามีคนที่ชอบแล้ว และต้องการจะประมูลกำไลข้อมือนี้ให้กับคนที่ชอบ?
ซูจิ่นซีอดไม่ได้ที่จะมองเยี่ยโยวเหยาด้วยความสงสัย
……